ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยรีบาวนด์ 10 จุด รับข่าวตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ -ญี่ปุ่น -จีน ออกมาดี แต่แรงขายยังไม่หยุด รายย่อยเข้าช่อนฝ่ายเดียว โบรกฯชี้สถานการณ์ซีเรีย และการประชุมเฟด เพื่อความชัดเจนในQE3 ยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดสู่ขาลง อีกทั้งความตรึงเครียดทางการเมืองในประเทศ และบาทที่อ่อนค่ายังช่วยกดดัน ประเมินวันนี้(6ก.ย.) อาจเห็นการรีบาวนด์ต่อ ส่วนกรณีปัญหาพอร์ตโบรกฯเหลื่อมล้ำรายย่อย สมาคมบล.เตรียมนำข้อมูลจากก.ล.ต.เข้าหารือสมาชิก หาทางแก้ไขสัปดาห์หน้า
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(5ก.ย.) ปรับตัวในแดนบวก รีบาวนด์จากวันก่อนหน้าที่ปรับตัวลดลง จากความกังวลต่อมาตรการQE3 ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดจากธนาคารกลางสหรับ(เฟด) ว่าจะยุติมาตรการ หรือลดวงเงินการซื้อคืนพันธบัตรลงเท่าใด นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลจากความตรึงเครียดในซีเรีย อีกทั้งปัจจัยเงินบาทที่อ่อนค่า จากการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ โดยปิดที่ระดับ 1,313.49 จุด เพิ่มขึ้น 10.28จุด หรือ 0.79% มูลค่าการซื้อขาย 33,449.77 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,326.56 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,306.48 จุด ทั้งนี้พบว่า มีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 723.98 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 498.14 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 200.67 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ขายสุทธิ 25.18 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ประเมินการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีว่า ได้รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่ประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาดี ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศมีการปรับตัวขึ้น จากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศซีเรียและสหรัฐฯ ทำให้ตลาดอยู่ในลักษณะรีบาวน์ทางเทคนิค หลังจากปรับตัวลดลงไปแรง นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า หุ้นไทยรีบาวนด์หลังจากปรับตัวลงไป 2 วันติดต่อกัน แม้จะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างในระหว่างเทรด ส่วนตลาดหุ้นอื่นส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกและทรงตัวรับ Sentiment จากต่างประเทศเรื่องข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ, จีน และยูโรโซนที่ออกมาดี แต่ยังมีแรงกดดันอยู่จากปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้งสถานการณ์ซีเรียที่สหรัฐจะมีการประชุมสภาคองเกรสในวันที่ 9 ก.ย.นี้ และการประชุมเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย.
โดยระหว่างที่รอคอยปัจจัยดังกล่าวนักลงทุนคงเข้ามาลงทุนเก็งกำไรกันบ้าง ทำให้แนวโน้มวันนี้ (6ก.ย.) ดัชนียังมีโอกาสรีบาวนด์ต่อ แนวรับ 1,305 จุด แนวต้าน 1,330 จุด นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภาพรวมของบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังผันผวน แกว่งตัวตามปัจจัยข่าวทั้งบวกและลบในแต่ละวัน ทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีกจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับซีเรีย การถอนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE รวมถึงปัจจัยการเมืองภายในประเทศ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะไม่ลดลงในระดับมากนัก เนื่องจากเมื่อมองไปในระยะข้างหน้าประเมินดัชนีฯ เทียบกับโอกาสการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี2557 ซึ่งคาดว่า P/E จะอยู่ที่ระดับ 11-12 เท่า น่าจะทำให้นักลงทุนคุณค่ากลับเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งยังมีโอกาสดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1,500-1,550 จุดได้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย จะมีการนัดหารือกับบริษัทสมาชิกภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาเกณฑ์การซื้อขายของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (Prop Trade) ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ หลังจากที่ได้หารือกับสำนักงาน ก.ล.ต. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอข้อมูลจาก ก.ล.ต. เพื่อนำมาระดมความเห็นจากบริษัทสมาชิก ขณะเดียวกัน กรณีมีผู้เสนอให้ Prop trade ไปเทรดกับโบรกเกอร์อื่น เพื่อป้องกับความเหลื่อมล้ำกับรายย่อยเรื่องค่าคอมมิชชั่น อาจเป็นแนวทางหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะใช้แนวทางนี้หรือไม่
ตลาดหุ้นไทยวานนี้(5ก.ย.) ปรับตัวในแดนบวก รีบาวนด์จากวันก่อนหน้าที่ปรับตัวลดลง จากความกังวลต่อมาตรการQE3 ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดจากธนาคารกลางสหรับ(เฟด) ว่าจะยุติมาตรการ หรือลดวงเงินการซื้อคืนพันธบัตรลงเท่าใด นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลจากความตรึงเครียดในซีเรีย อีกทั้งปัจจัยเงินบาทที่อ่อนค่า จากการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ โดยปิดที่ระดับ 1,313.49 จุด เพิ่มขึ้น 10.28จุด หรือ 0.79% มูลค่าการซื้อขาย 33,449.77 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,326.56 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,306.48 จุด ทั้งนี้พบว่า มีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 723.98 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 498.14 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 200.67 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ขายสุทธิ 25.18 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ประเมินการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีว่า ได้รับปัจจัยบวกจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ที่ประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาดี ประกอบกับราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศมีการปรับตัวขึ้น จากความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศซีเรียและสหรัฐฯ ทำให้ตลาดอยู่ในลักษณะรีบาวน์ทางเทคนิค หลังจากปรับตัวลดลงไปแรง นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า หุ้นไทยรีบาวนด์หลังจากปรับตัวลงไป 2 วันติดต่อกัน แม้จะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้างในระหว่างเทรด ส่วนตลาดหุ้นอื่นส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวกและทรงตัวรับ Sentiment จากต่างประเทศเรื่องข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ, จีน และยูโรโซนที่ออกมาดี แต่ยังมีแรงกดดันอยู่จากปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้งสถานการณ์ซีเรียที่สหรัฐจะมีการประชุมสภาคองเกรสในวันที่ 9 ก.ย.นี้ และการประชุมเฟดในวันที่ 17-18 ก.ย.
โดยระหว่างที่รอคอยปัจจัยดังกล่าวนักลงทุนคงเข้ามาลงทุนเก็งกำไรกันบ้าง ทำให้แนวโน้มวันนี้ (6ก.ย.) ดัชนียังมีโอกาสรีบาวนด์ต่อ แนวรับ 1,305 จุด แนวต้าน 1,330 จุด นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภาพรวมของบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังผันผวน แกว่งตัวตามปัจจัยข่าวทั้งบวกและลบในแต่ละวัน ทำให้ดัชนีมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีกจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับซีเรีย การถอนมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือ QE รวมถึงปัจจัยการเมืองภายในประเทศ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะไม่ลดลงในระดับมากนัก เนื่องจากเมื่อมองไปในระยะข้างหน้าประเมินดัชนีฯ เทียบกับโอกาสการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี2557 ซึ่งคาดว่า P/E จะอยู่ที่ระดับ 11-12 เท่า น่าจะทำให้นักลงทุนคุณค่ากลับเข้ามาลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยทำให้ดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งยังมีโอกาสดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบ 1,500-1,550 จุดได้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย จะมีการนัดหารือกับบริษัทสมาชิกภายในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาเกณฑ์การซื้อขายของบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (Prop Trade) ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ หลังจากที่ได้หารือกับสำนักงาน ก.ล.ต. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรอข้อมูลจาก ก.ล.ต. เพื่อนำมาระดมความเห็นจากบริษัทสมาชิก ขณะเดียวกัน กรณีมีผู้เสนอให้ Prop trade ไปเทรดกับโบรกเกอร์อื่น เพื่อป้องกับความเหลื่อมล้ำกับรายย่อยเรื่องค่าคอมมิชชั่น อาจเป็นแนวทางหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะใช้แนวทางนี้หรือไม่