การเดินหน้าจัดตั้งสภาปฏิรูปการเมือง กำลังดำเนินไปในลักษณะถูลู่ถูกัง และแม้จะถูกตอบรับด้วยกลุ่มคนเพียงฝ่ายเดียว หรือเป็นเพียงการตบมือเพียงข้างเดียว แต่รัฐบาลคงดันทุรังออกมาจนได้
กลุ่มที่เห็นต่างประกาศจุดยืนชัด ไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาล เพราะไม่เชื่อว่า สภาปฏิรูปฯ จะนำไปสู่การสร้างความปรองดองในสังคม
แต่เป็นความพยายามสร้างภาพเพื่อกลบเกลื่อนกระแสต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเท่านั้น เพราะถ้าต้องการสร้างความปรองดองจริง ทำไมต้องจุดชนวนความแตกแยกครั้งใหม่
ทำไมไม่ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากสภาฯ ก่อน เพื่อให้ทุกฝ่ายมาร่วมจับเข่าหารือกันว่า ควรจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่
รัฐบาลตั้งธงไว้ชัดเจนแล้วว่า จะต้องออกกฎหมายล้างความผิดให้พวกพ้องก่อน โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านจากฝ่ายใด และแม้จะเสี่ยงต่อการเผชิญหน้า หรือเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง แต่พรรคเพื่อไทยก็ยืนกรานผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ได้
คำประกาศการสร้างความปรองดอง เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ เป็นเพียงการสร้างภาพเท่านั้น แต่ความเป็นจริงกับตรงกันข้าม เพราะรัฐบาลเป็นผู้จุดชนวนความแตกแยกเสียเอง
รัฐบาลเรียกร้องให้คนกลุ่มต่างๆ ฟัง แต่รัฐบาลไม่เคยฟังเสียงใครเลย จึงไม่แปลกที่ไม่มีใครตอบรับเข้าร่วมสภาปฏิรูปฯ เว้นแต่นักการเมืองประเภท “ขี้ข้า” หรือไม่ก็เป็นนักวิชาการและนักการเมืองแก่ที่ยังมีกิเลสในตำแหน่ง
การสร้างความปรองดองในสังคม ไม่ใช่แนวความคิดใหม่ เพราะเคยมีความพยายามมาแล้วจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องล้มเลิกไป
เนื่องจากไม่สามารถอธิบายให้ทุกฝ่ายเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า จะดำเนินแนวทางอย่างไร เพื่อนำไปสู่ความปรองดองที่แท้จริงใด
ใครจะไปเจรจาให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมถอย เลิกเคียดแค้น เลิกคิดจะกลับมากุมอำนาจ และที่สำคัญคือ ยอมรับในกติกาของสังคม
การตระเวนเที่ยวเจรจากับฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ และทึกทักเอาว่า จะสร้างความปรองดองได้ เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน เพราะแม้จะคุยกับคนเพื่อไทยทั้งพรรค คุยกับคนในรัฐบาลทั้งคณะ เจรจาจนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียอมรับในเงื่อนไขได้
ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมเสียคนเดียว แผนการปรองดองต้องล่มสลาย สูญเวลาเปล่าในทันที
เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทั้งชุด พรรคเพื่อไทยทั้งหมดอยู่ภายใต้การบงการของพ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว และรู้กันอยู่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีวันยอมเสียสละ ไม่มีวันถอย ไม่มีวันยอมรับกติกาใดๆ ถ้าตัวเองไม่ได้ประโยชน์
แผนการสร้างความปรองดองที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ รัฐบาลประกาศตัวเป็นเจ้าภาพ จัดตั้งทีมเดินสาย ชักจูง หว่านล้อมให้ใครต่อใครเข้าร่วม เพื่อให้การสร้างภาพดูสมจริงสมจัง
แต่นักการเมืองหรือนักวิชาการที่ตอบรับคำเชิญแทบจะทันที ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่ถูกสังคมประทับตราเป็น “ขี้ข้า” พ.ต.ท.ทักษิณแทบทั้งสิ้น
ที่ดูหน้าใหม่หน่อยมีเพียงนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ซึ่งการตอบรับคำชวน สร้างความประหลาดใจไม่น้อย แต่พอทำความเข้าใจได้
นายพิชัยถอยห่างจากเวทีการเมืองไปนาน ไม่มีบทบาทอะไรเหลืออยู่ เมื่อมีตำแหน่งมาล่อ เมื่อถูกเชิดให้มีความสำคัญอีกครั้ง จึงคว้าไว้ทันที
เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะร่วมในการปาหี่ครั้งนี้ ถึงแม้จะอายุมาก แต่นายพิชัยจะไม่รู้หรือว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เล่ห์จัดขนาดไหน
นายพิชัยเชื่อจริงๆ หรือว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์มุ่งมั่นที่จะทำให้สังคมไทยเกิดความปรองดองเหนือสิ่งอื่นใด ตั้งใจจะนำความปรองดองมากกว่านำพ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน
สำหรับกลุ่มที่ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือในการ “ปาหี่” ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ จะถูกป้ายสีทันที ถูกกล่าวหาจากบรรดา “ขี้ข้า” พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นตัวถ่วง เป็นคนที่ไม่อยากเห็นความปรองดอง
ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากเห็นสังคมเกิดความปรองดอง ใครบ้างล่ะที่ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข แต่จะให้ร่วมมือกับคนที่สร้างความแตกแยก จะให้ตกเป็นเครื่องมือของการสร้างภาพ เพื่อประคับประคองอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้คงอยู่ต่อไป มีแต่คนบ้าๆ หรือคนประเภทขี้ข้าเท่านั้นที่ยอม
แผนการเดินหน้าตั้งสภาปฏิรูปการเมือง แม้รู้ทั้งรู้กันว่า เป็นการสร้างประเด็น เพื่อเบี่ยงกระแสการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และเป็นการ “ปาหี่” ระดับชาติครั้งใหม่
แต่แม้จะรู้ทั้งรู้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ดื้อด้านพอที่จะทำ และแม้จะรู้ทั้งรู้ว่า คนที่ร่วม “ปาหี่” ครั้งนี้ ล้วนเป็นสาย “ขี้ข้า” ทักษิณ แต่ก็จะดันทุรังจนได้
ใครไม่เล่นด้วย “ยิ่งลักษณ์” ตบมือข้างเดียวก็เอา ด้านเสียอย่างเดียว ทำได้ทุกอย่าง
กลุ่มที่เห็นต่างประกาศจุดยืนชัด ไม่ขอร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาล เพราะไม่เชื่อว่า สภาปฏิรูปฯ จะนำไปสู่การสร้างความปรองดองในสังคม
แต่เป็นความพยายามสร้างภาพเพื่อกลบเกลื่อนกระแสต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเท่านั้น เพราะถ้าต้องการสร้างความปรองดองจริง ทำไมต้องจุดชนวนความแตกแยกครั้งใหม่
ทำไมไม่ถอนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมออกจากสภาฯ ก่อน เพื่อให้ทุกฝ่ายมาร่วมจับเข่าหารือกันว่า ควรจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่
รัฐบาลตั้งธงไว้ชัดเจนแล้วว่า จะต้องออกกฎหมายล้างความผิดให้พวกพ้องก่อน โดยไม่ยอมฟังเสียงคัดค้านจากฝ่ายใด และแม้จะเสี่ยงต่อการเผชิญหน้า หรือเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง แต่พรรคเพื่อไทยก็ยืนกรานผ่าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ได้
คำประกาศการสร้างความปรองดอง เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อ เป็นเพียงการสร้างภาพเท่านั้น แต่ความเป็นจริงกับตรงกันข้าม เพราะรัฐบาลเป็นผู้จุดชนวนความแตกแยกเสียเอง
รัฐบาลเรียกร้องให้คนกลุ่มต่างๆ ฟัง แต่รัฐบาลไม่เคยฟังเสียงใครเลย จึงไม่แปลกที่ไม่มีใครตอบรับเข้าร่วมสภาปฏิรูปฯ เว้นแต่นักการเมืองประเภท “ขี้ข้า” หรือไม่ก็เป็นนักวิชาการและนักการเมืองแก่ที่ยังมีกิเลสในตำแหน่ง
การสร้างความปรองดองในสังคม ไม่ใช่แนวความคิดใหม่ เพราะเคยมีความพยายามมาแล้วจากกลุ่มคนที่ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องล้มเลิกไป
เนื่องจากไม่สามารถอธิบายให้ทุกฝ่ายเห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้ว่า จะดำเนินแนวทางอย่างไร เพื่อนำไปสู่ความปรองดองที่แท้จริงใด
ใครจะไปเจรจาให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยอมถอย เลิกเคียดแค้น เลิกคิดจะกลับมากุมอำนาจ และที่สำคัญคือ ยอมรับในกติกาของสังคม
การตระเวนเที่ยวเจรจากับฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ และทึกทักเอาว่า จะสร้างความปรองดองได้ เป็นเพียงแค่ความเพ้อฝัน เพราะแม้จะคุยกับคนเพื่อไทยทั้งพรรค คุยกับคนในรัฐบาลทั้งคณะ เจรจาจนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรียอมรับในเงื่อนไขได้
ถ้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมเสียคนเดียว แผนการปรองดองต้องล่มสลาย สูญเวลาเปล่าในทันที
เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ทั้งชุด พรรคเพื่อไทยทั้งหมดอยู่ภายใต้การบงการของพ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว และรู้กันอยู่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีวันยอมเสียสละ ไม่มีวันถอย ไม่มีวันยอมรับกติกาใดๆ ถ้าตัวเองไม่ได้ประโยชน์
แผนการสร้างความปรองดองที่ถูกปลุกขึ้นมาใหม่ รัฐบาลประกาศตัวเป็นเจ้าภาพ จัดตั้งทีมเดินสาย ชักจูง หว่านล้อมให้ใครต่อใครเข้าร่วม เพื่อให้การสร้างภาพดูสมจริงสมจัง
แต่นักการเมืองหรือนักวิชาการที่ตอบรับคำเชิญแทบจะทันที ส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่ถูกสังคมประทับตราเป็น “ขี้ข้า” พ.ต.ท.ทักษิณแทบทั้งสิ้น
ที่ดูหน้าใหม่หน่อยมีเพียงนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ซึ่งการตอบรับคำชวน สร้างความประหลาดใจไม่น้อย แต่พอทำความเข้าใจได้
นายพิชัยถอยห่างจากเวทีการเมืองไปนาน ไม่มีบทบาทอะไรเหลืออยู่ เมื่อมีตำแหน่งมาล่อ เมื่อถูกเชิดให้มีความสำคัญอีกครั้ง จึงคว้าไว้ทันที
เพราะไม่มีเหตุผลใดที่จะร่วมในการปาหี่ครั้งนี้ ถึงแม้จะอายุมาก แต่นายพิชัยจะไม่รู้หรือว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์เล่ห์จัดขนาดไหน
นายพิชัยเชื่อจริงๆ หรือว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์มุ่งมั่นที่จะทำให้สังคมไทยเกิดความปรองดองเหนือสิ่งอื่นใด ตั้งใจจะนำความปรองดองมากกว่านำพ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน
สำหรับกลุ่มที่ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือในการ “ปาหี่” ปฏิรูปการเมืองครั้งใหม่ จะถูกป้ายสีทันที ถูกกล่าวหาจากบรรดา “ขี้ข้า” พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นตัวถ่วง เป็นคนที่ไม่อยากเห็นความปรองดอง
ใครบ้างล่ะที่ไม่อยากเห็นสังคมเกิดความปรองดอง ใครบ้างล่ะที่ไม่ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข แต่จะให้ร่วมมือกับคนที่สร้างความแตกแยก จะให้ตกเป็นเครื่องมือของการสร้างภาพ เพื่อประคับประคองอำนาจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้คงอยู่ต่อไป มีแต่คนบ้าๆ หรือคนประเภทขี้ข้าเท่านั้นที่ยอม
แผนการเดินหน้าตั้งสภาปฏิรูปการเมือง แม้รู้ทั้งรู้กันว่า เป็นการสร้างประเด็น เพื่อเบี่ยงกระแสการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และเป็นการ “ปาหี่” ระดับชาติครั้งใหม่
แต่แม้จะรู้ทั้งรู้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ดื้อด้านพอที่จะทำ และแม้จะรู้ทั้งรู้ว่า คนที่ร่วม “ปาหี่” ครั้งนี้ ล้วนเป็นสาย “ขี้ข้า” ทักษิณ แต่ก็จะดันทุรังจนได้
ใครไม่เล่นด้วย “ยิ่งลักษณ์” ตบมือข้างเดียวก็เอา ด้านเสียอย่างเดียว ทำได้ทุกอย่าง