บิวท์ ทู บิวด์ ชี้ปัจจัยลบรุมเร้า รถคันแรกดูดกำลังซื้อบ้าน เผยครึ่งปีแรกตลาดรับสร้างบ้านชะลอตัว แถมเจอวิกฤตแรงงานเชื่ออนาคตบ้านแพงแน่ พร้อมเป้ายอดขายจาก 900 ล้านบาท เหลือ 800 ล้านบาท ครึ่งปีหลังบ้านไซส์เล็กราคาไม่เกิน 2 ล้านลุยตลาด
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีแรกสถานการณ์ไม่ค่อยดีนักจากปัจจัยลบหลายประการ โดยเฉพาะโครงการรถคันแรกได้ดึงกำลังซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทไปจำนวนมาก ทำให้บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายการดำเนินงานลง โดยตั้งเป้ายอดขายของทั้งกลุ่ม ได้แก่ บิวท์ ทู บิวด์, บริษัท บางกอง เฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด และบริษัท สมอลล์เฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด รวมทั้งปี 800 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ที่ 900 ล้านบาท โดยยอดในช่วงครึ่งปีแรกสามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60% โดยเป้าหมายที่เหลืออีก 500 ล้านบาทในครึ่งปีหลังนั้น บริษัทฯ จะพยายามตีตื้นขึ้นมาหลังจากออกบูทงานรับสร้างบ้าน และออกบูทงานบ้านและสวน
นอกจากปัญหาปัจจัยลบที่มากระทบธุรกิจแล้ว ยังมีปัญหาวิกฤตแรงงานซึ่งเป็นปัญหาที่ยังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน โดยปัญหาดังกล่าวเริ่มมีผลมาตั้งแต่ 5-10 ปีที่ผ่านมา ที่สภาวะแรงงานในธุรกิจก่อสร้างเริ่มขาดแคลนมากขึ้น และมาเห็นผลชัดเจนมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่วิกฤตน้ำท่วมในปี 2554 ทำให้เกิดปัญหาแรงงานอย่างหนักและส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวมเป็นอย่างมาก เกิดภาวะแข่งขันแย่งชิงแรงงาน ทำให้แรงงานขาดแคลนอย่างหนัก กอปรกับในช่วงต้นปี 2556 รัฐบาลได้ทำนโยบายประชานิยมปรับขึ้นค่าแรงงาน 300 บาททั่วประเทศ ส่งผลให้แรงงานที่เข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมก่อสร้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลับสู่ถิ่นฐานเพื่อใช้แรงงานในชุมชนของตนเองมากขึ้น มีผลทำให้ธุรกิจทั้งขนาดกลาง และขนาดเล็กหลายแห่งที่ปรับตัวไม่ทันจนหลายรายต้องปิดกิจการไปอย่างน่าเสียดาย
อีกทั้งโครงการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการจำนำข้าวจำนำข้าว 15,000 บาท/ตัน โครงการป้องกันน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ที่อยู่ระหว่างพิจารณาก็ล้วนมีผลทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อภาพรวมวิกฤตแรงงานในประเทศทั้งปัจจุบัน และในอนาคต
“วิกฤตแรงงานขาดแคลน ค่าแรงแพง จะทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบจนบางรายต้องปิดกิจการ บ้านราคาแพงขึ้นมาก ไทยจะเป็นเหมืองขนาดใหญ่ที่คนต้องหันไปอาศัยอยู่บนตึก คอนโดฯ เพราะบ้านแนวราบมีราคาแพง แต่แนวโน้มนี้จะเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป”
ในส่วนของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ มีการวางแผนและดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด และโชคดีที่มีเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านด้วยระบบสำเร็จรูป (พรีแฟบ) ซึ่งช่วยคลี่คลายปัญหาแรงงานให้ใช้แรงงานน้อยลง สามารถสร้างบ้านได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังลดค่าก่อสร้างให้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง 2556 ไปจนถึงปลายปี นี้จะเป็นโอกาสที่ดีของผู้ที่จะปลูกสร้างบ้าน เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวจากปัจจัยรอบด้าน มีแรงงานเข้าสู่ระบบมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้ราคาบ้านในตลาดค่อนข้างนิ่ง และเป็นราคาที่เหมาะสม โดยเชื่อว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ราคาบ้านจะยังไม่ปรับสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปีหน้าวิกฤตแรงงานน่าจะกลับมาอยู่ในช่วงวิกฤตอีกครั้งหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีการขยายตัว ซึ่งแน่นอนว่าราคาบ้านจะต้องปรับสูงขึ้นตาม และหากจะให้ราคาบ้านกลับมาถูกเหมือนเดิมคงเป็นไปได้ยาก
ด้านการวางกลยุทธ์ทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ยังคงเน้นทำตลาดครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกเซกเมนต์ตามนโยบายหลักของบริษัทฯ แต่จะวางกลยุทธ์เพิ่มเติมในส่วนของการวางเป้าหมายให้บริษัท สมอลล์เฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด ขึ้นเป็นเจ้าตลาดรับสร้างบ้านขนาดเล็กในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ตลาดรับสร้างบ้านในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านนั้น ยังมีความต้องการในส่วนของผู้บริโภคอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีบริษัทรับสร้างบ้านในกลุ่มนี้น้อยมาก ดังนั้น กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ จึงต้องการที่จะเข้าไปเพิ่มแชร์ในส่วนนี้ให้มากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีความมั่นใจในเทคโนโลยี และระบบการก่อสร้างของกลุ่มบริษัทฯ ว่าจะสามารถบริการได้ดีอย่างมีคุณภาพ และราคาไม่แพง และด้วยศักยภาพในการก่อสร้างบ้านคุณภาพด้วยระบบสำเร็จรูป พร้อมทั้งการดีไซน์แบบบ้าน โดยมีดีไซน์บ้านที่หลากหลายมากกว่า 20 แบบ ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อการขึ้นเป็นเจ้าตลาดบ้านขนาดเล็กได้ไม่ยาก.
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีแรกสถานการณ์ไม่ค่อยดีนักจากปัจจัยลบหลายประการ โดยเฉพาะโครงการรถคันแรกได้ดึงกำลังซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทไปจำนวนมาก ทำให้บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายการดำเนินงานลง โดยตั้งเป้ายอดขายของทั้งกลุ่ม ได้แก่ บิวท์ ทู บิวด์, บริษัท บางกอง เฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด และบริษัท สมอลล์เฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด รวมทั้งปี 800 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ที่ 900 ล้านบาท โดยยอดในช่วงครึ่งปีแรกสามารถสร้างยอดขายได้แล้ว 300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60% โดยเป้าหมายที่เหลืออีก 500 ล้านบาทในครึ่งปีหลังนั้น บริษัทฯ จะพยายามตีตื้นขึ้นมาหลังจากออกบูทงานรับสร้างบ้าน และออกบูทงานบ้านและสวน
นอกจากปัญหาปัจจัยลบที่มากระทบธุรกิจแล้ว ยังมีปัญหาวิกฤตแรงงานซึ่งเป็นปัญหาที่ยังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน โดยปัญหาดังกล่าวเริ่มมีผลมาตั้งแต่ 5-10 ปีที่ผ่านมา ที่สภาวะแรงงานในธุรกิจก่อสร้างเริ่มขาดแคลนมากขึ้น และมาเห็นผลชัดเจนมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่วิกฤตน้ำท่วมในปี 2554 ทำให้เกิดปัญหาแรงงานอย่างหนักและส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวมเป็นอย่างมาก เกิดภาวะแข่งขันแย่งชิงแรงงาน ทำให้แรงงานขาดแคลนอย่างหนัก กอปรกับในช่วงต้นปี 2556 รัฐบาลได้ทำนโยบายประชานิยมปรับขึ้นค่าแรงงาน 300 บาททั่วประเทศ ส่งผลให้แรงงานที่เข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมก่อสร้างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลกลับสู่ถิ่นฐานเพื่อใช้แรงงานในชุมชนของตนเองมากขึ้น มีผลทำให้ธุรกิจทั้งขนาดกลาง และขนาดเล็กหลายแห่งที่ปรับตัวไม่ทันจนหลายรายต้องปิดกิจการไปอย่างน่าเสียดาย
อีกทั้งโครงการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการจำนำข้าวจำนำข้าว 15,000 บาท/ตัน โครงการป้องกันน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 2 ล้านล้านบาท ที่อยู่ระหว่างพิจารณาก็ล้วนมีผลทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อภาพรวมวิกฤตแรงงานในประเทศทั้งปัจจุบัน และในอนาคต
“วิกฤตแรงงานขาดแคลน ค่าแรงแพง จะทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยได้รับผลกระทบจนบางรายต้องปิดกิจการ บ้านราคาแพงขึ้นมาก ไทยจะเป็นเหมืองขนาดใหญ่ที่คนต้องหันไปอาศัยอยู่บนตึก คอนโดฯ เพราะบ้านแนวราบมีราคาแพง แต่แนวโน้มนี้จะเกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป”
ในส่วนของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ มีการวางแผนและดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด และโชคดีที่มีเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้านด้วยระบบสำเร็จรูป (พรีแฟบ) ซึ่งช่วยคลี่คลายปัญหาแรงงานให้ใช้แรงงานน้อยลง สามารถสร้างบ้านได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังลดค่าก่อสร้างให้น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็นอีกด้วย
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง 2556 ไปจนถึงปลายปี นี้จะเป็นโอกาสที่ดีของผู้ที่จะปลูกสร้างบ้าน เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวจากปัจจัยรอบด้าน มีแรงงานเข้าสู่ระบบมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้ราคาบ้านในตลาดค่อนข้างนิ่ง และเป็นราคาที่เหมาะสม โดยเชื่อว่าในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ราคาบ้านจะยังไม่ปรับสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในปีหน้าวิกฤตแรงงานน่าจะกลับมาอยู่ในช่วงวิกฤตอีกครั้งหากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมีการขยายตัว ซึ่งแน่นอนว่าราคาบ้านจะต้องปรับสูงขึ้นตาม และหากจะให้ราคาบ้านกลับมาถูกเหมือนเดิมคงเป็นไปได้ยาก
ด้านการวางกลยุทธ์ทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังของ กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ยังคงเน้นทำตลาดครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกเซกเมนต์ตามนโยบายหลักของบริษัทฯ แต่จะวางกลยุทธ์เพิ่มเติมในส่วนของการวางเป้าหมายให้บริษัท สมอลล์เฮ้าส์ บิวเดอร์ จำกัด ขึ้นเป็นเจ้าตลาดรับสร้างบ้านขนาดเล็กในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ตลาดรับสร้างบ้านในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านนั้น ยังมีความต้องการในส่วนของผู้บริโภคอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีบริษัทรับสร้างบ้านในกลุ่มนี้น้อยมาก ดังนั้น กลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ จึงต้องการที่จะเข้าไปเพิ่มแชร์ในส่วนนี้ให้มากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีความมั่นใจในเทคโนโลยี และระบบการก่อสร้างของกลุ่มบริษัทฯ ว่าจะสามารถบริการได้ดีอย่างมีคุณภาพ และราคาไม่แพง และด้วยศักยภาพในการก่อสร้างบ้านคุณภาพด้วยระบบสำเร็จรูป พร้อมทั้งการดีไซน์แบบบ้าน โดยมีดีไซน์บ้านที่หลากหลายมากกว่า 20 แบบ ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อการขึ้นเป็นเจ้าตลาดบ้านขนาดเล็กได้ไม่ยาก.