ASTV ผู้จัดการรายวัน-"สงกรานต์"หอบวัตถุมงคลที่มีเส้นผม "สมีคำ" ส่งดีเอสไอ เพื่อนำไปใช้ตรวจดีเอ็นเอคดีปั๊มสาวจนมีลูก ด้านดีเอสไอเร่งสอบปากคำพระ 5 รูปที่เดินทางไปรับกิจนิมนต์ที่ฝรั่งเศส มั่นใจพยานหลักฐานที่มีส่งฟ้องได้แน่ พร้อมสาวถึงคนที่มีส่วนร่วมหลอกลวงประชาชน พศ. ขีดเส้น 13 ส.ค.นี้ ครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ไม่มาก็ถือว่ายอมรับพ้นจากความเป็นพระ เล็งเสนอแก้ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้ทันสมัย
วานนี้ (7 ส.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้เดินทางมามอบหลักฐานให้กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ ผ่าน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดี ดีเอสไอ เพื่อนำไปใช้ในตรวจพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำ กับเด็กชาย ที่มีหญิงสาวอ้างว่าได้ร่วมหลับนอนกับอดีตพระเณรคำ โดยหลักฐานที่นำมานั้น เป็นวัตถุมงคลที่มีเส้นผมติดอยู่ด้วยหลายเส้น โดยพระเครื่องที่มีเส้นผมติดอยู่นั้น เป็นพระรุ่นชานหมากผสมเกษา ซึ่งพระรุ่นดังกล่าว อดีตพระเณรคำได้เคี้ยวหมากผสมกับเส้นผมสร้างพระรุ่นนี้ขึ้นมา โดยราคาในการเช่าพระรุ่นนี้องค์ละ 15,000บาท ทั้งนี้ ยังนำเศษชิ้นส่วนจีวรของอดีตพระเณรคำมามอบให้ด้วย
"หลักฐานทั้งหมดที่นำมาในวันนี้ ได้มาจากอดีตศิษย์ที่ใกล้ชิดพระเณรคำ นำมาให้ตนเพื่อนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ"
นายอังสุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์คดีความมั่นคง กล่าวถึงการสอบสวนคดีความผิดของนายวิรพลว่า ระหว่างรอการเข้ามอบตัวของอดีตเณรคำ พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบในการดำเนินคดีความผิด จะเร่งสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องทุกปาก เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงให้รัดกุมและชัดเจนทุกประเด็นตามที่ขอศาลอนุมัติหมายจับไว้ โดยจะลงพื้นที่สอบปากคำพระอีก 5 รูปที่เดินทางร่วมคณะกับอดีตเณรคำ ไปรับกิจนิมนต์ที่ประเทศฝรั่งเศสและเดินทางกลับมาก่อน ขณะนี้จำพรรษาอยู่ที่ จ.ชัยภูมิ
ทั้งนี้ จากพยานหลักฐานที่สอบสวนได้ทั้งหมด มั่นใจว่าเพียงพอที่จะสรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องอดีตเณรคำได้ ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อว่าหลังรวบรวมพยานหลักฐานความผิดของอดีตเณรคำชัดเจนแล้ว จะทำให้เห็นภาพผู้เกี่ยวข้องรายอื่น ซึ่งดีเอสไอจะขยายผลไปยังผู้มีส่วนร่วมกระทำความผิดทุกคน โดยเฉพาะฐานความผิดเกี่ยวกับหลอกลวงประชาชน ที่ต้องมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิดแน่นอน
สำหรับฐานความผิดอื่น เช่น กรณีฟอกเงินและยาเสพติด ยังไม่มีมูลเพียงพอในการตั้งข้อหา โดยในส่วนความผิดฐานฟอกเงินอยู่ระหว่างประสานขอข้อมูลและเอกสานการเงินกับธนาคาร เพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวของธุรกรรมอย่างละเอียดว่ามีการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินผิดปกติหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวต้องใช้ระยะสักระยะ เพราะมีเอกสารต้องตรวจสอบจำนวนมาก
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีนายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความของอดีตพระวิรพล แจ้งว่า อดีตพระวิรพลจะขอมอบตัวกับดีเอสไอ แต่ปรากฎว่าแจ้งเลื่อนการมอบตัวออกไปเป็นสัปดาห์หน้าว่า การเข้ามอบตัวของอดีตพระวิรพล ดีเอสไอเป็นผู้ดำเนินการและพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ แต่วันที่ 13 ส.ค.นี้ จะครบกำหนด 30 วัน หากยังไม่มอบตัวหรือว่าไม่ยอมมายื่นอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าคณะปกครองที่มีสั่งให้สึกและการขับออกจากสังกัด หากพ้นกำหนดดังกล่าวถือว่าไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมประชุมกับดีเอสไอ เพื่อหารือเรื่องการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์ โดยนำบทเรียนและปัญหากรณีอดีตพระวิรพลมาหารือกันนั้น เป็นการหารือในกรอบกว้างๆ ว่าจะมีวิธีการอย่างไรจะป้องกันปัญหาลักษณะนี้ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก และพูดคุยว่ามีหนทางใดบ้างที่จะเป็นการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งประเด็นในการแก้ไขกฎหมายยังคงต้องหารือกับฝ่ายต่างๆ หลายครั้ง ส่วนตัวมองว่าจากนี้ไปต้องมีการวิเคราะห์และสรุปปัญหาเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบในการดูแลพระสงฆ์ ที่กฎหมายยังมีช่องไม่รัดกุม
“เบื้องต้นน่าจะแบ่งเป็น 2 ประเด็นหลักๆ ได้แก่ การทบทวนข้อกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่บังคับใช้มาแล้ว แต่พบว่าในปัจจุบันไม่สามารถบังคับใช้ได้ หรือว่าไม่มีการระบุไว้ในกฎหมายชัดเจน เรื่องกำหนดเวลา อำนาจหน้าที่ของผู้ดำเนินการ อย่างเช่น ระยะเวลาเรื่องการสร้างวัดและอนุญาตที่ยังมีช่องว่างของกฎหมาย อีกประเด็นที่ต้องพูดคุยกัน คือ ปัญหาใหม่ที่ยังไม่มีกฎหมายออกมาบังคับใช้ อาทิ การห้ามพระสงฆ์ขับรถ ซึ่งในกฎหมายไม่มีระบุห้ามไว้ เป็นต้น หลังจากนี้ ต้องหารือกับทุกฝ่ายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะเท่าที่ทราบตอนนี้ มีการเสนอแก้และร่างพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ออกมาหลายฉบับมาก รวมถึงฉบับ พศ. ด้วยจึงต้องพูดคุยกันในรายละเอียดว่าจะเลือกหรือว่าใช้ฉบับของใคร” นายนพรัตน์กล่าว
วานนี้ (7 ส.ค.) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้เดินทางมามอบหลักฐานให้กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี ดีเอสไอ ผ่าน พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ รองอธิบดี ดีเอสไอ เพื่อนำไปใช้ในตรวจพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกของนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระเณรคำ กับเด็กชาย ที่มีหญิงสาวอ้างว่าได้ร่วมหลับนอนกับอดีตพระเณรคำ โดยหลักฐานที่นำมานั้น เป็นวัตถุมงคลที่มีเส้นผมติดอยู่ด้วยหลายเส้น โดยพระเครื่องที่มีเส้นผมติดอยู่นั้น เป็นพระรุ่นชานหมากผสมเกษา ซึ่งพระรุ่นดังกล่าว อดีตพระเณรคำได้เคี้ยวหมากผสมกับเส้นผมสร้างพระรุ่นนี้ขึ้นมา โดยราคาในการเช่าพระรุ่นนี้องค์ละ 15,000บาท ทั้งนี้ ยังนำเศษชิ้นส่วนจีวรของอดีตพระเณรคำมามอบให้ด้วย
"หลักฐานทั้งหมดที่นำมาในวันนี้ ได้มาจากอดีตศิษย์ที่ใกล้ชิดพระเณรคำ นำมาให้ตนเพื่อนำมามอบให้กับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ"
นายอังสุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้าศูนย์ข้อมูลและวิเคราะห์คดีความมั่นคง กล่าวถึงการสอบสวนคดีความผิดของนายวิรพลว่า ระหว่างรอการเข้ามอบตัวของอดีตเณรคำ พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบในการดำเนินคดีความผิด จะเร่งสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องทุกปาก เพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงให้รัดกุมและชัดเจนทุกประเด็นตามที่ขอศาลอนุมัติหมายจับไว้ โดยจะลงพื้นที่สอบปากคำพระอีก 5 รูปที่เดินทางร่วมคณะกับอดีตเณรคำ ไปรับกิจนิมนต์ที่ประเทศฝรั่งเศสและเดินทางกลับมาก่อน ขณะนี้จำพรรษาอยู่ที่ จ.ชัยภูมิ
ทั้งนี้ จากพยานหลักฐานที่สอบสวนได้ทั้งหมด มั่นใจว่าเพียงพอที่จะสรุปสำนวนเพื่อส่งฟ้องอดีตเณรคำได้ ส่วนบุคคลอื่นๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อว่าหลังรวบรวมพยานหลักฐานความผิดของอดีตเณรคำชัดเจนแล้ว จะทำให้เห็นภาพผู้เกี่ยวข้องรายอื่น ซึ่งดีเอสไอจะขยายผลไปยังผู้มีส่วนร่วมกระทำความผิดทุกคน โดยเฉพาะฐานความผิดเกี่ยวกับหลอกลวงประชาชน ที่ต้องมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิดแน่นอน
สำหรับฐานความผิดอื่น เช่น กรณีฟอกเงินและยาเสพติด ยังไม่มีมูลเพียงพอในการตั้งข้อหา โดยในส่วนความผิดฐานฟอกเงินอยู่ระหว่างประสานขอข้อมูลและเอกสานการเงินกับธนาคาร เพื่อตรวจสอบความเคลื่อนไหวของธุรกรรมอย่างละเอียดว่ามีการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินผิดปกติหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวต้องใช้ระยะสักระยะ เพราะมีเอกสารต้องตรวจสอบจำนวนมาก
นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีนายสุกิจ พูนศรีเกษม ทนายความของอดีตพระวิรพล แจ้งว่า อดีตพระวิรพลจะขอมอบตัวกับดีเอสไอ แต่ปรากฎว่าแจ้งเลื่อนการมอบตัวออกไปเป็นสัปดาห์หน้าว่า การเข้ามอบตัวของอดีตพระวิรพล ดีเอสไอเป็นผู้ดำเนินการและพิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ แต่วันที่ 13 ส.ค.นี้ จะครบกำหนด 30 วัน หากยังไม่มอบตัวหรือว่าไม่ยอมมายื่นอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าคณะปกครองที่มีสั่งให้สึกและการขับออกจากสังกัด หากพ้นกำหนดดังกล่าวถือว่าไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมประชุมกับดีเอสไอ เพื่อหารือเรื่องการปรับปรุงกฎระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมายเกี่ยวกับคณะสงฆ์ โดยนำบทเรียนและปัญหากรณีอดีตพระวิรพลมาหารือกันนั้น เป็นการหารือในกรอบกว้างๆ ว่าจะมีวิธีการอย่างไรจะป้องกันปัญหาลักษณะนี้ ไม่ให้เกิดขึ้นอีก และพูดคุยว่ามีหนทางใดบ้างที่จะเป็นการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งประเด็นในการแก้ไขกฎหมายยังคงต้องหารือกับฝ่ายต่างๆ หลายครั้ง ส่วนตัวมองว่าจากนี้ไปต้องมีการวิเคราะห์และสรุปปัญหาเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบในการดูแลพระสงฆ์ ที่กฎหมายยังมีช่องไม่รัดกุม
“เบื้องต้นน่าจะแบ่งเป็น 2 ประเด็นหลักๆ ได้แก่ การทบทวนข้อกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่บังคับใช้มาแล้ว แต่พบว่าในปัจจุบันไม่สามารถบังคับใช้ได้ หรือว่าไม่มีการระบุไว้ในกฎหมายชัดเจน เรื่องกำหนดเวลา อำนาจหน้าที่ของผู้ดำเนินการ อย่างเช่น ระยะเวลาเรื่องการสร้างวัดและอนุญาตที่ยังมีช่องว่างของกฎหมาย อีกประเด็นที่ต้องพูดคุยกัน คือ ปัญหาใหม่ที่ยังไม่มีกฎหมายออกมาบังคับใช้ อาทิ การห้ามพระสงฆ์ขับรถ ซึ่งในกฎหมายไม่มีระบุห้ามไว้ เป็นต้น หลังจากนี้ ต้องหารือกับทุกฝ่ายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะเท่าที่ทราบตอนนี้ มีการเสนอแก้และร่างพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ออกมาหลายฉบับมาก รวมถึงฉบับ พศ. ด้วยจึงต้องพูดคุยกันในรายละเอียดว่าจะเลือกหรือว่าใช้ฉบับของใคร” นายนพรัตน์กล่าว