สิ่งที่จะนำขบวนการฯประชาชนบรรลุสู่ชัยชนะ – เข้าถึงธรรม เดินทางธรรม สร้างทางธรรม !
1. เข้าถึงธรรม – เข้าถึง “กฎภววิสัย” (ธรรมจัดสรร) ที่ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่
2. เดินทางธรรม – ปรับแนวคิดให้สอดคล้องกับกฎภววิสัย (ธรรมจัดสรร) นั่นคือขบวนการประชาชนฯต้องเป็น “เจ้าภาพ” สามัคคี “ทุกฝ่าย” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
3. สร้างทางธรรม – ก็คือการสร้าง “ทางธรรมไทย” ให้ปรากฏเป็นจริง ดำเนินการขับเคลื่อน ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น พัฒนายุทธศาสตร์ ยุทธวิธี รูปแบบวิธีการที่เป็นไปได้จริง เฉพาะหน้านี้คือ การสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมือง และการจัดตั้ง ขึ้นในขบวนการฯประชาชนให้สำเร็จ (แก้ว 3 ประการ)
เมื่อ “ทุกฝ่าย” ร่วมคิดร่วมทำ “ทางธรรมไทย”ย่อมปรากฏเป็นจริง !
การเผชิญหน้ากันระหว่างขบวนการฯประชาชนกับระบอบทักษิณปรากฏชัดยิ่งกว่าครั้งใดๆ เมื่อระบอบทักษิณประกาศเดินหน้า “ผ่าน” พ.ร.บ.นิรโทษฯในสภาฯ ในต้นเดือนสิงหาคมนี้ และ “ท้าชน” กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ที่เตรียมระดมมวลชนสู้ครั้งใหญ่ หากไม่ยอมปฏิบัติตามคำเรียกร้อง 6 ประการ
ประเมินสถานการณ์ดูแล้ว การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น ตราบใดที่ความขัดแย้งระหว่างขบวนการฯประชาชนกับกลุ่มทุนฯระบอบทักษิณยังดำรงอยู่ อีกนัยหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนกว่าการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่ายนี้จะเห็นดำเห็นแดง เห็นผลแพ้ชนะ เพราะเป็นการต่อสู้กับระหว่างฝ่าย “ธรรม” กับ ฝ่าย “อธรรม”
ฝ่ายธรรม คือขบวนการฯประชาชน ต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีกว่า ด้วยการล้มล้างฝ่ายอธรรม ซึ่งก็คือระบอบทักษิณที่กำลังกลืนกินประเทศไทย
ตามหลักสัจธรรมที่ว่า “ธรรมย่อมชนะอธรรม” หรือ “มีธรรม คนช่วยมาก” จึงเชื่อว่า ในที่สุดแล้ว ขบวนการฯประชาชน จะต้องได้รับชัยชนะ
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ขบวนการฯประชาชนจะชนะได้อย่างไร ? ในเมื่อทุกวันนี้ กลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณนับวัน “กระชับอำนาจ” เหนือรัฐไทยในแทบทุกด้าน ทั้งด้านการบริหาร (เป็นรัฐบาล) ด้านนิติบัญญัติ (ใช้เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯผ่านร่างกฎหมายได้ตามต้องการ) ด้านตำรวจ (สร้างรัฐตำรวจ) ด้านตุลาการ (ซื้อตัวบุคคลในวงการตุลาการ) และด้านกองทัพ (ตะล่อมแม่ทัพนายกองเข้าเป็นพวกพ้อง) รวมทั้งใช้กลุ่มมวลชนเสื้อแดง (นปช.)บางกลุ่มเคลื่อนไหวระราน ข่มขู่คุกคาม แสดงความ “ถ่อย เถื่อน” ต่อกลุ่มมวลชนในขบวนการฯประชาชน หรือกระทั่งต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไม่ลดละ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ดูผิวเผินแล้ว ระบอบทักษิณยิ่งใหญ่คับบ้านคับเมือง แทบจะมองไม่เห็นช่องทางว่า จะมีใครต้านทานได้
ในมุมมองของผู้เขียน ถึงอย่างไรก็ยังเห็นว่า ระบอบทักษิณเป็นเพียง “เสือกระดาษ” อำนาจอิทธิพลของพวกเขาตั้งอยู่บนฐานของ “ความพร่อง” คือพร่องทางคุณธรรม จริยธรรม พร่องทางปัญญา พร่องทางคุณภาพ ยิ่งพวกเขาเหิมเกริม ย่ามใจ ในชัยชนะเหนือ “อำมาตย์” เร่งเกมเพื่อ “เผด็จศึก”ครอบครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยอำนาจเผด็จการในระบบรัฐสภา ก็ยิ่งกระตุ้นแรงต่อต้านขึ้นในหมู่ประชาชนที่ “ทนไม่ไหว” รุนแรงและชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว
อีกนัยหนึ่ง การเร่งเกมของทักษิณ คือตัวกระตุ้นโดยตรงให้เกิดการรวมตัวกันเข้าของประชาชน“ทนไม่ไหว” เป็นกลุ่มก้อน เพิ่มจำนวนมากขึ้น มีขนาดใหญ่มากขึ้น และยกระดับเป้าหมายการต่อสู้ “สูง”ขึ้น เช่น ในที่สุด “ทุกฝ่าย” ก็ประกาศจุดยืนชัดว่า “จะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย”
โดยภาพรวม การสับประยุทธ์ระหว่างขบวนการฯประชาชนกับระบอบทักษิณ ได้ดำเนินมาในครรลองของการ “สร้างอำนาจกำหนด” ของแต่ละฝ่าย เพื่อเอาแพ้เอาชนะกันในบั้นปลาย
นั่นหมายถึงว่า ระบอบทักษิณไม่ยี่หระกับกระบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” แล้ว ไม่ว่าจะมาจาก “ศาล” อะไร เพราะเมื่อพวกเขาแผ่ขยายโครงข่ายอำนาจครอบงำกลไกอำนาจรัฐสำคัญๆหมดแล้ว “ล็อก” บทบาทของเจ้าหน้าที่ในจุดต่างๆได้หมดแล้ว ย่อมทำให้กลไกเหล่านั้น “หมดสภาพ” ที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้ตามกฎกติกาที่ตั้งไว้
เรียกได้ว่า พวกเขาเดินเกมเหนือกฎกติกาใดๆ แล้ว
แต่ถึงที่สุด พวกเขาก็ไม่อาจ “ถึงฝั่ง” เพราะยิ่งเร่งเกม ยิ่งครอบงำกลไกอำนาจรัฐ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการต่อต้าน เกิดการรวมตัวของประชาชนผู้ “ทนไม่ไหว” เร็วและรุนแรงมากขึ้น กว้างขวางยิ่งขึ้น
อีกนัยหนึ่ง การเร่งเกมของระบอบทักษิณ ก็คือ “ปุ๋ย” ชั้นดี ในการหล่อเลี้ยงขบวนการฯประชาชนให้เติบใหญ่ ดังที่ผู้เขียนเคยสรุปแล้วว่า การเกิดขึ้นของระบอบทักษิณ คือที่มาของขบวนการฯประชาชน หรือ“การเร่งเกมของระบอบทักษิณก็คือ เงื่อนไขของความเติบใหญ่ของขบวนการฯประชาชน” ได้พัฒนาเป็น “กฎ”ชัดเจนแล้ว
แต่ทั้งหมดนั้น ใช่ว่าจะดำเนินไปแบบ “เป็นไปเอง” หรือ “ตามยถากรรม” ทั้งนี้ ขบวนกาฯประชาชนจะต้องแสดงบทบาทให้สมกับความเป็น “เจ้าภาพ” ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์นี้
นั่นคือ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน จะต้องมา “ร่วมคิดร่วมทำ” สร้าง “ทางธรรม” ให้แก่ประเทศไทย
เรื่องของการ “สร้างทางธรรม” นี้ ผู้เขียนได้ทยอยนำเสนอมาเป็นลำดับในคอลัมน์ “มุมมองพันธมิตรฯ”นี้ ทั้งเรื่องการดำเนิน “สงครามมวลชน”สร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้”และก่อตั้ง “สภาการเมืองประชาชน” ทั้งหมดนั้นก็เพื่อนำไปสู่การรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ของกลุ่ม องค์กร ต่างๆ ในขบวนการฯประชาชน เข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ตะลุยตีระบอบทักษิณให้พังพินาศไป แล้วเดินหน้าสร้างการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนด้วย “ระบบสภาประชาชน” เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน บริหารประเทศไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน และผลประโยชน์โดยรวมของประเทศไทย
ยิ่งกว่านั้น ในมุมมองของผู้เขียน การสร้าง “ทางธรรมไทย” ให้ปรากฏเป็นจริง ด้วยความร่วมคิดร่วมทำของ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน คือเส้นทางสายใหญ่ที่จะนำไปสู่การรวมตัวกันเข้าของคนไทยทั้งชาติ ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทางที่ยังประโยชน์สูงสุดแก่คนไทยโดยรวม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เฉพาะในขั้นที่ต่อสู้เอาแพ้เอาชนะกับระบอบทักษิณ ก็คือการรวมตัวกันเข้าของขบวนการฯประชาชนใน “สามมิติ” คือทางความคิด การเมือง และจัดตั้ง (แก้ว 3 ประการ) ซึ่งจะช่วยให้การสับประยุทธ์กับระบอบทักษิณเป็นไปได้อย่างเรียบร้อย ไม่เกิดความแตกแยกวุ่นวายจนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และเป็นฐานรองรับการรวมตัวกันเข้าของคนไทยทั้งชาติในขั้นของการปฏิรูปและพัฒนาประเทศไทย เพื่อสร้างสังคมไทยให้ก้าวหน้าและน่าอยู่สำหรับคนไทยทั้งชาติต่อไป
1. เข้าถึงธรรม – เข้าถึง “กฎภววิสัย” (ธรรมจัดสรร) ที่ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่
2. เดินทางธรรม – ปรับแนวคิดให้สอดคล้องกับกฎภววิสัย (ธรรมจัดสรร) นั่นคือขบวนการประชาชนฯต้องเป็น “เจ้าภาพ” สามัคคี “ทุกฝ่าย” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
3. สร้างทางธรรม – ก็คือการสร้าง “ทางธรรมไทย” ให้ปรากฏเป็นจริง ดำเนินการขับเคลื่อน ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่น พัฒนายุทธศาสตร์ ยุทธวิธี รูปแบบวิธีการที่เป็นไปได้จริง เฉพาะหน้านี้คือ การสร้างความเป็นเอกภาพทางความคิด การเมือง และการจัดตั้ง ขึ้นในขบวนการฯประชาชนให้สำเร็จ (แก้ว 3 ประการ)
เมื่อ “ทุกฝ่าย” ร่วมคิดร่วมทำ “ทางธรรมไทย”ย่อมปรากฏเป็นจริง !
การเผชิญหน้ากันระหว่างขบวนการฯประชาชนกับระบอบทักษิณปรากฏชัดยิ่งกว่าครั้งใดๆ เมื่อระบอบทักษิณประกาศเดินหน้า “ผ่าน” พ.ร.บ.นิรโทษฯในสภาฯ ในต้นเดือนสิงหาคมนี้ และ “ท้าชน” กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ที่เตรียมระดมมวลชนสู้ครั้งใหญ่ หากไม่ยอมปฏิบัติตามคำเรียกร้อง 6 ประการ
ประเมินสถานการณ์ดูแล้ว การเผชิญหน้ากันครั้งนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น ตราบใดที่ความขัดแย้งระหว่างขบวนการฯประชาชนกับกลุ่มทุนฯระบอบทักษิณยังดำรงอยู่ อีกนัยหนึ่ง เป็นการเผชิญหน้ากันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จนกว่าการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่ายนี้จะเห็นดำเห็นแดง เห็นผลแพ้ชนะ เพราะเป็นการต่อสู้กับระหว่างฝ่าย “ธรรม” กับ ฝ่าย “อธรรม”
ฝ่ายธรรม คือขบวนการฯประชาชน ต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีกว่า ด้วยการล้มล้างฝ่ายอธรรม ซึ่งก็คือระบอบทักษิณที่กำลังกลืนกินประเทศไทย
ตามหลักสัจธรรมที่ว่า “ธรรมย่อมชนะอธรรม” หรือ “มีธรรม คนช่วยมาก” จึงเชื่อว่า ในที่สุดแล้ว ขบวนการฯประชาชน จะต้องได้รับชัยชนะ
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ขบวนการฯประชาชนจะชนะได้อย่างไร ? ในเมื่อทุกวันนี้ กลุ่มอำนาจในระบอบทักษิณนับวัน “กระชับอำนาจ” เหนือรัฐไทยในแทบทุกด้าน ทั้งด้านการบริหาร (เป็นรัฐบาล) ด้านนิติบัญญัติ (ใช้เสียงส่วนใหญ่ในสภาฯผ่านร่างกฎหมายได้ตามต้องการ) ด้านตำรวจ (สร้างรัฐตำรวจ) ด้านตุลาการ (ซื้อตัวบุคคลในวงการตุลาการ) และด้านกองทัพ (ตะล่อมแม่ทัพนายกองเข้าเป็นพวกพ้อง) รวมทั้งใช้กลุ่มมวลชนเสื้อแดง (นปช.)บางกลุ่มเคลื่อนไหวระราน ข่มขู่คุกคาม แสดงความ “ถ่อย เถื่อน” ต่อกลุ่มมวลชนในขบวนการฯประชาชน หรือกระทั่งต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไม่ลดละ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ดูผิวเผินแล้ว ระบอบทักษิณยิ่งใหญ่คับบ้านคับเมือง แทบจะมองไม่เห็นช่องทางว่า จะมีใครต้านทานได้
ในมุมมองของผู้เขียน ถึงอย่างไรก็ยังเห็นว่า ระบอบทักษิณเป็นเพียง “เสือกระดาษ” อำนาจอิทธิพลของพวกเขาตั้งอยู่บนฐานของ “ความพร่อง” คือพร่องทางคุณธรรม จริยธรรม พร่องทางปัญญา พร่องทางคุณภาพ ยิ่งพวกเขาเหิมเกริม ย่ามใจ ในชัยชนะเหนือ “อำมาตย์” เร่งเกมเพื่อ “เผด็จศึก”ครอบครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จ ด้วยอำนาจเผด็จการในระบบรัฐสภา ก็ยิ่งกระตุ้นแรงต่อต้านขึ้นในหมู่ประชาชนที่ “ทนไม่ไหว” รุนแรงและชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว
อีกนัยหนึ่ง การเร่งเกมของทักษิณ คือตัวกระตุ้นโดยตรงให้เกิดการรวมตัวกันเข้าของประชาชน“ทนไม่ไหว” เป็นกลุ่มก้อน เพิ่มจำนวนมากขึ้น มีขนาดใหญ่มากขึ้น และยกระดับเป้าหมายการต่อสู้ “สูง”ขึ้น เช่น ในที่สุด “ทุกฝ่าย” ก็ประกาศจุดยืนชัดว่า “จะล้มล้างระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย”
โดยภาพรวม การสับประยุทธ์ระหว่างขบวนการฯประชาชนกับระบอบทักษิณ ได้ดำเนินมาในครรลองของการ “สร้างอำนาจกำหนด” ของแต่ละฝ่าย เพื่อเอาแพ้เอาชนะกันในบั้นปลาย
นั่นหมายถึงว่า ระบอบทักษิณไม่ยี่หระกับกระบวนการ “ตุลาการภิวัฒน์” แล้ว ไม่ว่าจะมาจาก “ศาล” อะไร เพราะเมื่อพวกเขาแผ่ขยายโครงข่ายอำนาจครอบงำกลไกอำนาจรัฐสำคัญๆหมดแล้ว “ล็อก” บทบาทของเจ้าหน้าที่ในจุดต่างๆได้หมดแล้ว ย่อมทำให้กลไกเหล่านั้น “หมดสภาพ” ที่จะปฏิบัติหน้าที่ได้ตามกฎกติกาที่ตั้งไว้
เรียกได้ว่า พวกเขาเดินเกมเหนือกฎกติกาใดๆ แล้ว
แต่ถึงที่สุด พวกเขาก็ไม่อาจ “ถึงฝั่ง” เพราะยิ่งเร่งเกม ยิ่งครอบงำกลไกอำนาจรัฐ ก็ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการต่อต้าน เกิดการรวมตัวของประชาชนผู้ “ทนไม่ไหว” เร็วและรุนแรงมากขึ้น กว้างขวางยิ่งขึ้น
อีกนัยหนึ่ง การเร่งเกมของระบอบทักษิณ ก็คือ “ปุ๋ย” ชั้นดี ในการหล่อเลี้ยงขบวนการฯประชาชนให้เติบใหญ่ ดังที่ผู้เขียนเคยสรุปแล้วว่า การเกิดขึ้นของระบอบทักษิณ คือที่มาของขบวนการฯประชาชน หรือ“การเร่งเกมของระบอบทักษิณก็คือ เงื่อนไขของความเติบใหญ่ของขบวนการฯประชาชน” ได้พัฒนาเป็น “กฎ”ชัดเจนแล้ว
แต่ทั้งหมดนั้น ใช่ว่าจะดำเนินไปแบบ “เป็นไปเอง” หรือ “ตามยถากรรม” ทั้งนี้ ขบวนกาฯประชาชนจะต้องแสดงบทบาทให้สมกับความเป็น “เจ้าภาพ” ทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์นี้
นั่นคือ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน จะต้องมา “ร่วมคิดร่วมทำ” สร้าง “ทางธรรม” ให้แก่ประเทศไทย
เรื่องของการ “สร้างทางธรรม” นี้ ผู้เขียนได้ทยอยนำเสนอมาเป็นลำดับในคอลัมน์ “มุมมองพันธมิตรฯ”นี้ ทั้งเรื่องการดำเนิน “สงครามมวลชน”สร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้”และก่อตั้ง “สภาการเมืองประชาชน” ทั้งหมดนั้นก็เพื่อนำไปสู่การรวมตัวกันครั้งยิ่งใหญ่ของกลุ่ม องค์กร ต่างๆ ในขบวนการฯประชาชน เข้าเป็น “กำปั้นยักษ์” ตะลุยตีระบอบทักษิณให้พังพินาศไป แล้วเดินหน้าสร้างการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนด้วย “ระบบสภาประชาชน” เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลของประชาชน บริหารประเทศไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชน และผลประโยชน์โดยรวมของประเทศไทย
ยิ่งกว่านั้น ในมุมมองของผู้เขียน การสร้าง “ทางธรรมไทย” ให้ปรากฏเป็นจริง ด้วยความร่วมคิดร่วมทำของ “ทุกฝ่าย”ในขบวนการฯประชาชน คือเส้นทางสายใหญ่ที่จะนำไปสู่การรวมตัวกันเข้าของคนไทยทั้งชาติ ร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปในทิศทางที่ยังประโยชน์สูงสุดแก่คนไทยโดยรวม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เฉพาะในขั้นที่ต่อสู้เอาแพ้เอาชนะกับระบอบทักษิณ ก็คือการรวมตัวกันเข้าของขบวนการฯประชาชนใน “สามมิติ” คือทางความคิด การเมือง และจัดตั้ง (แก้ว 3 ประการ) ซึ่งจะช่วยให้การสับประยุทธ์กับระบอบทักษิณเป็นไปได้อย่างเรียบร้อย ไม่เกิดความแตกแยกวุ่นวายจนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ และเป็นฐานรองรับการรวมตัวกันเข้าของคนไทยทั้งชาติในขั้นของการปฏิรูปและพัฒนาประเทศไทย เพื่อสร้างสังคมไทยให้ก้าวหน้าและน่าอยู่สำหรับคนไทยทั้งชาติต่อไป