xs
xsm
sm
md
lg

ค้าปลีกวูบลดเป้าโต9% จี้รัฐออกมาตรการช่วย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งไทย วูบหนัก ครึ่งปีแรกโตต่ำเป้าแค่ 4% จากเป้า 12% เหตุมูลค่าการบริโภคหายไปจากตลาดกว่า 1.2 แสนล้านบาท ชี้ครึ่งปีหลังทรงๆ ส่งภาพรสวมทั้ปีปรบลดเป้าโตเหลอืแค่ 9% ต่ำวห่ปีที่แวที่เติบโตรวม 12% จ้รัฐบาลออกมาตรการ เรงด่วน 9 ข้อปลุกคามหวัง

นางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯประเมินว่าในช่วงครึ่งปีหลังภาพรวมค้าปลีก-ค้าส่งของไทย ยังคงต้องเผชิญกับแรงกดดันอีกหลายอย่าง หลังจากที่ครึ่งปีแรกภาพรวมค้าปลีก-ค้าส่งไทย ไม่เติบโตตามที่คาดการณ์เอาไว้

โดยเบื้องต้นทางสมาคมฯเองก็คาดการณ์ไว้ว่า อุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งปี 2556 จะเติบโตไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมาหรือประมาณ 10-12% จากที่มีความเชื่อมั่นว่าอุปสงค์ภายในประเทศยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก โดยจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงกว่า 5-6 แสนล้านบาท นอกเหนือจากงบประมาณประจำปี น่าจะทำให้ GDP เติบโตสูงตามไปด้วย

แต่การอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าระบบเศรษฐกิจกลับไม่ก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจตามที่เคยคาดหมายไว้ มีผลต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกค้าส่งในครึ่งปีแรกต่ำกว่าที่คาดไว้ 3-4% จากที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 12% มาอยู่ที่ 9% หรือมูลค่าการบริโภคหายไปกว่า 1.2 แสนล้าน หรือประมาณ 1-2% ของ GDP ในสัดส่วนของการบริโภคภายใน

ขณะที่หนี้ครัวเรือนของผู้บริโภคก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ภาคครัวเรือนเริ่มตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่น การใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน อีกทั้งปริมาณนักท่องเที่ยวคนไทยเองที่เดินทางออกนอกประเทศไปเที่ยงต่างประเทศของครึ่งปีแรกที่เพิ่มถึง 17.7% ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเพื่มขึ้นต่อเนื่องในครึ่งปีหลังนื้ก็เป็นปัจจัยสำคัญทีทำให้เงินไหลออกนอกประเทศ แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยกว่า 12 ล้านคนในครึ่งปีแรก ซึ่งสูงขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับเมื่อปีที่ผ่านมาก็ตาม

อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเรื่องของงบประมาณที่จะนำมากระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกก็มีผลเช่นกัน จากงบประมาณปี 2557 จำนวนกว่า 2 ล้านล้านบาท คาดว่าตุลาคมจะใช้ได้ส่วนนหึ่ง และจะมีเงินไหลเข้ามาในระบบมากกว่า 1.5 ล้านล้านบาทเป็นอย่างต่ำ
สำหรับภาพรวมธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งทั้งปี 2556 นี้ สมาคมฯประเมินว่า ทั้งระบบน่าจะเติบโตแค่ 9% ต่ำกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 12% โดยแยกเป็นกลุ่มซูเปอร์เซ็นเตอร์ เติบโต 7% ต่ำกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 10% กลุ่มคอนวีเนียนสโตร์ เติบโต 12% ต่ำกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 18% กลุ่มดีพาร์ทเมนต์สโตร์ เติบโต 7.5% ต่ำวกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 12% กลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์ เติบโต 11.5% ต่ำกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 18% และกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต เติบโต 8% ต่ำกว่าปีที่แล้วที่เติบโต 10%

นางสาวบุษบากล่าวต่อว่า ปัจจัยที่จะมีผลต่ออุตสาหกรรมค้าปลีก-คส่ง ในช่วงครึ่งปีหลังมีประเด็นหลักๆสรุปได้ดังนี้ 1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงาน ว่า การบริโภคของภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ที่มีการเติบโต 3.9% ซึ่งต่ำจากเป้าหมายที่มีการประมาณการว่าจะเติบโต 6% และการบริโภคภาคเอกชนลดลงต่อเนื่อง โดยในเดือนเมษายน มีการเติบโต 1.8% และหดตัว 0.2% ในเดือนพฤษภาคม
2. ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจจาก 4.3-5.3% เหลือ 3.8-4.3% โดยประเมินว่าธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค ธุรกิจค้าปลีก รถยนต์ และ อสังหาริมทรัพย์
3. สมาคมฯเห็นว่า รัฐบาลควรมีมาตรการเสริมออกมาดูแลเศรษฐกิจไทย นอกเหนือจากมาตรการทางการเงิน (อัตราดอกเบี้ย ) และ มาตรการทางการคลัง ( การลดหย่อนภาษี ) มากระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ซึ่งเชื่อว่าจะแผ่วลงในทุกภาคส่วน ยกเว้น การท่องเที่ยวและ การค้าชายแดน ที่ยังคงดีอยู่
4. ในครึ่งปีหลัง สมาคมฯเชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเห็นการขยายตัวของสินเชื่อ เริ่มช้าลง ซึ่งมีผลจากหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น และจะเป็นแรงกดดันให้ช่วงครึ่งปีหลังนี้ ภาคครัวเรือนจะเริ่มมีการตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวัน

อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมฯต้องการเสนอมาตรการต่างๆให้รัฐบาลนำไปพิจารณาปฎิบัติ ดังนี้ 1. รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการเร่งด่วนในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยการตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น นับตั้งแต่ หมวดอาหาร ค่าโดยสาร ค่าเชื้อเพลิง
2. รัฐต้องมีมาตรการส่งเสริมการค้าชายแดนอย่างชัดเจน โดยพิจารณาผ่อนผันการเปิดด่านต่างๆและอำนวยความสะดวกในลักษณะ single window
3. รัฐต้องหามาตรการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในการจับจ่ายและการลงทุน
4. ควรเร่งศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของโครงการบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 350,000 ล้านบาท ให้เสร็จโดยเร็ว
5. รัฐบาลควรเปิดช่องให้ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs Bank) เข้ามาช่วยดูแลกลุ่มธุรกิจ SME ในลักษณะ Fast Track เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
6. รัฐต้องกำหนดนโยบายและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนเพื่อที่จะผลักดันให้การท่องเที่ยวบรรลุ 2.2 ล้านล้านบาท โดยให้ประเทศไทยเป็น Shopping Destination ของ Asia in All Segments
7. อยากให้รัฐบาลมีมาตรการสนับสนุนผู้ค้าปลีกไทยไปลงทุนในอาเชี่ยนอย่างชัดเจน เพราะ การที่ผู้ค้าปลีกไทยสามารถไปขยายธุรกิจในอาเชี่ยน นั่นหมายถึง จะมีผู้ประกอบซัพพลายเออร์ตามไปขยายธุรกิจด้วยเป็นพันๆราย
8. รัฐบาลต้องกำหนดให้ BOI เป็นศูนย์กลางประสานการลงทุนในอาเชี่ยนในลักษณะ one stop service แบบ JETRO ของญี่ปุ่น
9. มาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวปีนี้ ซึ่งคาดว่า จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศกว่า 26 ล้านคน สมาคมฯขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาลดภาษีนำเข้าสินค้า Luxury Brand (Apparel, leather and footwear, Costmetic and Fragrance ) ลงมาในระดับร้อยละ 0-5 เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายช้อปปิ้งของนักท่องเที่ยวต่างประเทศให้เพิ่มขึ้น และเพื่อจูงใจให้นักช้อปปิ้งไทยจับจ่ายภายในประเทศแทนที่จะนำเงินตราไปใช้จ่ายยังต่างประเทศ
เพราะจากรายงานของ Global Blue คนไทยไปจับจ่ายสินค้า Duty Free ในภาคพื้นยุโรป เพิ่มขึ้นถึง 56% ในเดือนมกราคม และเพิ่มขึ้น 18% ในเดือนกุมภาพันธ์ และเพิ่มขึ้น 38% ในเดือนมีนาคมคม ซึ่งจัดเป็น อันดับ 6 รองมาจากนักช้อปชาว จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และอเมริกา
กำลังโหลดความคิดเห็น