ASTV ผู้จัดการรายวัน - หลายปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศ กดหุ้นไทยร่วง 44 จุด ตามทุกตลาดทั่วโลก พบพอร์ตโบรกฯ ขายสุทธิ 1.7 พันล้าน จากนักลงทุนชะลอการซื้อ เพื่อรอดูตัวเลขขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯและ เศษฐกิจจีนชะลอตัว ด้านไทยโดนอีก2เด้ง ทั้งบาทอ่อนค่า การเมืองร้อนหลังรัฐเดินหน้า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะที่โครงการลงทุนล่าช้า โบรกฯเตือนแรงขายยังมี หลังผลดำเนินไตรมาส2หลายบริษัทต่ำกว่าคาดการณ์
ดันชนีหุ้นไทยวันนี้(25 ก.ค.)ปรับตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะก่อนปิดตลาดช่วงบ่าย ดัชนีปรับตัวลดลงหนัก ทำให้ปิดตลาดที่ระดับ 1,456.68 จุด ลดลง 44.68 จุด มูลค่าการซื้อขาย56,289.41ล้านบาท ภาพรวมนักวิเคราะห์ประเมินว่าเกิดจากความกังวลในเรื่องตัวเลขการขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ที่จะประกาศคืนนี้ซึ่งมีผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ เพราะหากตัวเลขการจ้างงานปรับตัวลดลง ก็จะมีผลเร่งการตัดสินใจชะลอมาตรการQE3 ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ขณะเดียวกันดัชนีภาคการผลิต(PMI)ของจีนที่ประกาศออกมา ก็ปรับตัวลดลง จึงทำให้เชื่อว่าอัตราการเติบโตของเศษฐกิจจีนในครั้งปีหลัง จะลดลงและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อภาคส่งออกของไทย นอกจากนี้ยังมีความกดดันจากสถาการณ์การเมืองในประเทศ ต่อกรณีการยื่น พ.ร.บ. นิรโทษกรรมของรัฐบาล ในวันที่ 7 สิงหาคม
"ดัชนีหุ้นทั้งเอเชียและยุโรปปรับตัวลดลง เพราะกังวลต่อตัวเลขการขอสวัสดิการว่างงาน ซึ่งหากออกมาดีจะมีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องมาตราการQE ของเฟด ขณะที่เศษฐกิจจีนลดลง ทำให้มีผลต่อการส่งออกของไทย นอกจานี้สถานการณ์ในประเทศเริ่มกลับมาเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดมากขึ้น ทั้งจากความล่าช้าในโครงการภาครัฐ
ตั้งแต่โครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการเงินกู้2ล้านล้านไม่มีความคืบหน้า ปัจจัยภายนอกกดดันให้อัตราการเติบโตทางเศษฐกิจ ชะลอตัวลงจนหลายหน่วยงานออกมาปรับเป้าหมาย ยังมีเรื่อง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเข้ามาเพิ่มน้ำหนัก โดยรวมยังไม่เห็นสัญญาณการกลับเข้ามาซื้ออย่างชัดเจนของนักลงทุนต่างชาติ และช่วงนี้ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง"
ทั้งนี้ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,710.42 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 56.25 ล้านบาท นักลงทั่วไปซื้อสุทธิ 1,399.48 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 367.19 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงอยู่ในแนวลบตลอดทั้งวัน สืบเนื่องมาจากแนวโน้มการเมืองที่ส่อเค้าเริ่มมีปัญหา จากกรณีพรรคเพื่อไทยที่จะดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของนายวรชัย เหมะ เข้าสู่สภาในวาระแรกทันทีที่เปิดสภาใน
วันที่ 7 สิงหาคมนี้ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเข้าสู่สถานการณ์ตึงเครียด เพราะหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ จึงส่งผลให้ตลาดสูญเสียสภาพคล่อง ทั้งนี้ เมื่อดัชนี SET INDEX หลุดจาก 1,500 จุดไปแล้ว ก็ดิ่งลงยาวต่อเนื่องเพราะมีแรงขายทำกำไรอยู่ และอาจจะมีการปรับตัวลงได้อีก
ขณะเดียวกัน บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) ได้ประกาศผลประกอบการออกมาซึ่งต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยนอกจากนี้ ยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกหลายบริษัทที่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ หรือต่ำกว่าที่ประมาณการ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่มีความกังวล และอาจทำให้เกิด
แรงกระตุ้นเทขายทำกำไรในไตรมาสที่ 3 อีกด้วย
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นซึมลงเป็นการขายทำกำไรหุ้นที่ปรับขึ้นมาก่อนหน้าทั้งผู้รับเหมาฯสื่อสาร ยังไม่มีข่าวอื่นเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ ยกเว้นความกังวลการเมืองในประเทศ ขณะที่ตลาดเอเชียบวกลบค่อนข้างแคบ สำหรับทิศทางวันนี้(26ก.ค.) ยังไม่มีข่าว
อะไรที่จะมีนัยสำคัญ ช่วงนี้ทั้งในและต่างประเทศเป็นเรื่องผลประกอบการ ส่วน Fund flow ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เวลาเข้าซื้อสุทธิก็ยังไม่มาก ขายก็ไม่มากจะเป็นเม็ดเงินในประเทศมากกว่าที่เข้ามาซื้อจากกองทุนต่างๆ แนะนำรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวดีกว่าเพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่
ดันชนีหุ้นไทยวันนี้(25 ก.ค.)ปรับตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะก่อนปิดตลาดช่วงบ่าย ดัชนีปรับตัวลดลงหนัก ทำให้ปิดตลาดที่ระดับ 1,456.68 จุด ลดลง 44.68 จุด มูลค่าการซื้อขาย56,289.41ล้านบาท ภาพรวมนักวิเคราะห์ประเมินว่าเกิดจากความกังวลในเรื่องตัวเลขการขอสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ ที่จะประกาศคืนนี้ซึ่งมีผลให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจ เพราะหากตัวเลขการจ้างงานปรับตัวลดลง ก็จะมีผลเร่งการตัดสินใจชะลอมาตรการQE3 ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ขณะเดียวกันดัชนีภาคการผลิต(PMI)ของจีนที่ประกาศออกมา ก็ปรับตัวลดลง จึงทำให้เชื่อว่าอัตราการเติบโตของเศษฐกิจจีนในครั้งปีหลัง จะลดลงและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งจะส่งผลต่อภาคส่งออกของไทย นอกจากนี้ยังมีความกดดันจากสถาการณ์การเมืองในประเทศ ต่อกรณีการยื่น พ.ร.บ. นิรโทษกรรมของรัฐบาล ในวันที่ 7 สิงหาคม
"ดัชนีหุ้นทั้งเอเชียและยุโรปปรับตัวลดลง เพราะกังวลต่อตัวเลขการขอสวัสดิการว่างงาน ซึ่งหากออกมาดีจะมีผลต่อการตัดสินใจในเรื่องมาตราการQE ของเฟด ขณะที่เศษฐกิจจีนลดลง ทำให้มีผลต่อการส่งออกของไทย นอกจานี้สถานการณ์ในประเทศเริ่มกลับมาเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดมากขึ้น ทั้งจากความล่าช้าในโครงการภาครัฐ
ตั้งแต่โครงการบริหารจัดการน้ำ โครงการเงินกู้2ล้านล้านไม่มีความคืบหน้า ปัจจัยภายนอกกดดันให้อัตราการเติบโตทางเศษฐกิจ ชะลอตัวลงจนหลายหน่วยงานออกมาปรับเป้าหมาย ยังมีเรื่อง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเข้ามาเพิ่มน้ำหนัก โดยรวมยังไม่เห็นสัญญาณการกลับเข้ามาซื้ออย่างชัดเจนของนักลงทุนต่างชาติ และช่วงนี้ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง"
ทั้งนี้ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 1,710.42 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 56.25 ล้านบาท นักลงทั่วไปซื้อสุทธิ 1,399.48 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 367.19 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงอยู่ในแนวลบตลอดทั้งวัน สืบเนื่องมาจากแนวโน้มการเมืองที่ส่อเค้าเริ่มมีปัญหา จากกรณีพรรคเพื่อไทยที่จะดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับของนายวรชัย เหมะ เข้าสู่สภาในวาระแรกทันทีที่เปิดสภาใน
วันที่ 7 สิงหาคมนี้ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมเข้าสู่สถานการณ์ตึงเครียด เพราะหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ จึงส่งผลให้ตลาดสูญเสียสภาพคล่อง ทั้งนี้ เมื่อดัชนี SET INDEX หลุดจาก 1,500 จุดไปแล้ว ก็ดิ่งลงยาวต่อเนื่องเพราะมีแรงขายทำกำไรอยู่ และอาจจะมีการปรับตัวลงได้อีก
ขณะเดียวกัน บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. (PTTEP) ได้ประกาศผลประกอบการออกมาซึ่งต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยนอกจากนี้ ยังมีบริษัทจดทะเบียนอีกหลายบริษัทที่ผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ หรือต่ำกว่าที่ประมาณการ ส่งผลให้นักลงทุนส่วนใหญ่มีความกังวล และอาจทำให้เกิด
แรงกระตุ้นเทขายทำกำไรในไตรมาสที่ 3 อีกด้วย
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นซึมลงเป็นการขายทำกำไรหุ้นที่ปรับขึ้นมาก่อนหน้าทั้งผู้รับเหมาฯสื่อสาร ยังไม่มีข่าวอื่นเข้ามาอย่างมีนัยสำคัญ ยกเว้นความกังวลการเมืองในประเทศ ขณะที่ตลาดเอเชียบวกลบค่อนข้างแคบ สำหรับทิศทางวันนี้(26ก.ค.) ยังไม่มีข่าว
อะไรที่จะมีนัยสำคัญ ช่วงนี้ทั้งในและต่างประเทศเป็นเรื่องผลประกอบการ ส่วน Fund flow ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เวลาเข้าซื้อสุทธิก็ยังไม่มาก ขายก็ไม่มากจะเป็นเม็ดเงินในประเทศมากกว่าที่เข้ามาซื้อจากกองทุนต่างๆ แนะนำรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวดีกว่าเพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่