ASTV.ผู้จัดการรายวัน - “หนุ่มเพี้ยน” อ้างเป็นศิษย์ "สมีคำ" โผล่เผาจักรยานยนต์ประท้วงหน้าดีเอสไอ ด้านดีเอสไอประสานสถานทูตสหรัฐฯ เพิกถอนวีซ่า-พาสปอร์ต เปลี่ยนสถานนะเป็น"หลบหนีเข้าเมือง" ก่อนขอหมายศาลบังคับพ่อ-แม่ตรวจดีเอ็นเอ เข้ม!ร้านทอง - เต็นท์รถ หวั่นซุกทอง เบื้องต้นพบเบาะแสเป็นจอมลวงโลก นักหมุนเงิน ฉ้อโกง พร้อมเป็นนักขายมือทอง ด้าน"หลวงปู่พุทธอิสระ" จี้เอาผิดพระชั้นผู้ใหญ่เข่าข่ายรับของโจร
วานนี้ (18 ก.ค.) ที่หน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เปิดเผยว่า เกิดเหตุเผารถจักรยานยนต์ประท้วงบริเวณ หน้าตึกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบ นายสุพรรณ ก้อนหิน อายุ 23 ปี ชาวบ้าน ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ซึ่งอ้างว่าเป็นหลานชายนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) ได้เดินทางขอเข้ายื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้อดีตพระวิรพล ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้รับหนังสือและเชิญตัวออกไปจึงทำให้นายสุพรรณเกิดความไม่พอใจ เดินไปชูป้ายที่เขียนข้อความว่า “มีคนใส่ร้ายหลวงปู่เณรคำ” “ขอความเป็นธรรมให้หลวงปู่เณรคำ” และเกิดอาการคุ้มคลั่งขับรถมอเตอร์โซค์ไปหยุดบริเวณกลางถนนแจ้งวัฒนะด้านปากทางเข้าดีเอสไอ และขว้างหมวกกันน็อคลงบนพื้นถนน จากนั้นจึงจุดไฟเผารถมอเตอร์ไซค์ ของตัวเอง รุ่น สกู๊ปปี้ ไอ ทะเบียน คกท อุบลราชธานี 481ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ประจำป้อมบริเวณดังกล่าว ต้องรีบนำถังดับเพลิงมาดับไฟแต่เนื่องจากเพลิงได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็วทำให้รถเหลือเพียงตัวโครงรถเท่านั้น ส่งผลให้การจราจรบริเวณหน้าดีเอสไอติดขัดต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายสุพรรณขึ้นไปสอบสวนทันที
ภายหลังการสอบสวนประมาณครึ่งชั่วโมงเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสุพรรณไปแจ้งความดำเนินคดีที่สน.ทุ่งสองห้อง โดยเจ้าหน้าที่กำชับให้มีการนำตัวไปตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดด้วย ขณะที่นายสุพรรณไม่ยอมตอบข้อซักถามใด ๆ กับสื่อมวลชน
สำหรับการตรวจสอบประวัติของนายสุพรรณ พบว่าปัจจุบันยังไม่มีงานทำ โดยพักอยู่กับพี่สาวที่ย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 นอกจากนี้ยังพบว่ามีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง โดยรับการรักษาตัวอยู่กับ รพ.มโนรมย์ บางนา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะได้ทำการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด ก่อนจะติดต่อพี่สาวของนายสุพรรณให้นำหลักฐานการรักษาตัวมาแสดง โดยหากทางแพทย์ยืนยันว่าเป็นผู้มีอาการป่วยทางจิตก็จะไม่ต้องถูกดำเนินคดี
**เร่งล่า"ไอ้คำ"เพิกถอนวีซ่า-พาสปอร์ต
ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยถึงการติดตามตัวนายวิรพลว่า ขณะนี้ได้แจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ทราบว่า ศาลได้ออกหมายจับ นายวิรพลแล้ว เพื่อให้ยื่นเรื่องในการเพิกถอนหนังสือเดินทาง และยังได้ประสาน กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแจ้งเพิกถอนหนังสือเดินทางของ นายวิรพล พร้อมประสานไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกา ที่ นายวิรพล พักอาศัย เพื่อยกเลิกวีซ่าด้วย ซึ่งการดำเนินการถอนวีซ่าและหนังสือเดินทาง จะทำให้สถานภาพของ นายวิรพล นั้นเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง และถูกผลักดันออกนอกประเทศนั้นๆ โดยทางดีเอสไอ ได้จัดชุดติดตามที่พร้อมจะเดินทางไปรับตัว นายวิรพล กลับมาดำเนินคดีแล้ว
นอกจากนี้ ดีเอสไอ ยังแปลหมายจับเป็นภาษาอังกฤษ และประสานไปยัง ตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล เพื่อนำเข้าสู่ระบบและให้ช่วยประสานติดตามตัว พร้อมส่งหมายจับไปยัง ป.ป.ส. รวมทั้ง ปปง.เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทั้งนี้ ล่าสุด ดีเอสไอ ตรวจสอบพบว่ามีรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับ นายวิรพล เพิ่มเติมอีกจำนวน 20 คัน มูลค่า 29,267,000 บาท ประกอบด้วย ล๊อตแรกเป็นรถคัมรี่ สีขาวทั้งหมด จำนวน6 คัน ในชื่อของนายวรวิทย์ กุลตังวัฒนา 2 คัน น.ส.เพชรมณี วิริยะสืบพงศ์ 1 คัน นายศุภราช วิริยะสืบพงศ์ 1 คัน นายภณภกร ภวพรรณกร คัน พระวิรพล สุขผล 1 คัน ล๊อตที่ 2 ซื้อรถคัมรี่อีกจำนวน 9 คัน โดยซื้อในชื่อโตโยต้าลิสซิ่ง(ชลบุรี) จำนวน 3 คัน นางปิ่งทิ แทงดิ่ง 1 คัน น.ส.ฐิติชญา ตาตุ้ย 1 คัน น.ส.ชนิตา เวทสรณสุธี 1 คัน บจก.จักรศิลป์ การช่าง จำกัด 1 คัน นายภรเดช โสพรรณพาณิชกุล 1 คัน และพระวิรพล สุขผล 1 คัน นอกจากนี้ ยังมีการซื้อรถคัมรี่ สีดำ 1 คัน ในชื่อนายสุริ สุขผล ซึ่งเป็นน้องชายของ อดีตพระเณรคำ รถกระบะ สีขาว 2คัน ซื้อในชื่อโตโยต้าลิสซิ่ง(ชลบุรี) 1 คัน และในชื่อนายภรเดช โสพรรณพาณิชกุล และยังพบซื้อรถตู้อีก 2คัน ในชื่อนายภรเดช โสพรรณพาณิชกุล1คัน และในชื่อพระวิรพล สุขผล 1 คัน โดยทั้งหมดตามแนวทางการสอบสวนของดีเอสไอเป็นบุคคลใกล้ชิดอดีตหลวงปู่เณรคำ ยกเว้นรถคันที่ยังผ่อนชำระกับบริษัทลิสซิ่ง
**แฉรถญี่ปุ่นแต่งสวย 35 คัน 28 ล้าน
ขณะเดียวกันดีเอสไอยังได้รับแจ้งเบาะแสจากอู่ซ่อมและตกแต่งประดับยนต์แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ที่อดีตพระเณรคำได้เคยมาว่าจ้างให้จัดหารถในตระกูลรถญี่ปุ่นหลากหลายยี่ห้อ หลายรุ่นจำนวน 35 คัน คิดเป็นมูลค่า 28 ล้านบาทแล้วให้ทำการตกแต่งรถตามที่อดีตพระเณรคำต้องการ ต่อจากนั้นก็ให้ลูกศิษย์มารับรถไปมอบแก่บุคคลต่างๆ ซึ่งดีเอสไอจะตามหารถทั้งหมดและสอบปากคำผู้ครอบครองรถ เพื่อตรวจสอบจุดประสงค์ที่พระเณรคำให้รถแก่บุคคลต่างๆ หากเป็นรถที่ไม่เกี่ยวข้องการขบวนการฟอกเงินก็จะไม่ตรวจยึดรถไว้
**”ดีเอสไอ”ลุยค้นรถหรูไอ้คำ เพียบ
วันเดียวกัน ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีสมีคำ ที่ใช้เงินกว่า 95 ล้านบาทซื้อรถเบนซ์หลากหลายรุ่นจำนวน 22 คัน จากบริษัทขายรถเบนซ์วีทีซีมอเตอร์ อ.เมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่ปี 2551-2553 โดยมีราคาเฉลี่ยถูกที่สุดกว่า 1.5 ล้านบาท ไปจนถึงแพงที่สุดคันละกว่า 11 ล้านบาท และพบว่ามีการนำไปใช้เป็นรถป้ายแดงระยะหนึ่งโดยไม่จดทะเบียน จากนั้นจะนำรถกลับมาขายคืนให้ทางบริษัท และได้เงินกลับคืนไปประมาณ 62 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไอได้ประสานขอหลักฐานการซื้อขายกับทางบริษัทเป็นการจ่ายเงินทั้งเช็คและเงินสด เพื่อนำไปตรวจสอบเข้าข่ายการฟอกเงินของพระเณรคำหรือไม่
**ขอหมายศาลบังคับตรวจดีเอ็นเอพ่อแม่
ขณะเดียวกันดีเอสไอได้เข้าขอหมายศาลจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อไปขอเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากจากบิดามารดาของพระเณรคำที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร นำมาเปรียบเทียบกับหญิงสาวและเด็กที่ระบุว่าเป็นภรรยากับบุตรที่เกิดจากสมีคำ หลังจากเมื่อวานบรรดาญาติพระเณรคำไม่ยินยอมให้มีการเก็บตัวอย่างดังกล่าว
**สอบ "ร้านทอง - เต็นท์รถ"หวั่นซุกอีก
นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้างานข้อมูลและการวิเคราะห์ สำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอ พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนเดินทางไปที่ร้านทองทรงเจริญ ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลฯ ซึ่งแนวทางการสอบสวนพบว่าร้านทองทรงเจริญ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับซื้อทองรูปพรรณของเณรคำ ซึ่งมีการติดต่อทำธุรกิจด้วย โดยมีการติดต่อรับซื้อทองที่เณรคำได้รับบริจาคมาแล้วนำมาขายให้ขณะเดียวกันร้านทองทรงเจริญยังเป็นเจ้าของหมู่บ้านเพชรไพลิน ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนชยางกูร หมู่ 23 ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี หลังจากแนวทางการสืบสวนดีเอสไอ ทราบว่า นายวิรพลซื้อบ้านไว้ให้พี่ชายและน้องชาย เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา จริงหรือไม่ พร้อมตรวจสอบว่ามีการนำเงินอะไรมาซื้อ เป็นเงินของมูลนิธิหรือเงินบริจาคหรือไม่หรือเป็นเงินส่วนตัว หากพบว่ามีการนำเงินที่ได้จากการบริจาคมาซื้อบ้าน ดีเอสไอก็จะอายัดต่อไป
ด้านนางเกศินี โอบอ้อมกุล อายุ 51 ปี เจ้าของร้านทองทรงเจริญ กล่าวว่าเป็นเจ้าของโครงการหมู่บ้านหมู่บ้านเพชรไพลินจริงโดยยืนยันว่าเมื่อปี 2553 พระเณรคำได้ให้ตำรวจทางหลวงคนซึ่งเป็นคนสนิทมาติดต่อขอเช่าและซื้อบ้าน 3 หลัง โดยบ้านหลังแรกมีพ่อแม่และญาติของนายวิรพลเข้ามาพักอาศัย ส่วนอีก 2 หลังแจ้งว่าจะขอซื้อ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ได้6-7เดือนก็ย้ายออกไป ส่วนบ้าน2หลังไม่มีการติดต่อชำระเงินหรือโอนบ้านแต่อย่างใด จึงได้เอาบ้านกลับคืนจากการครอบครองของเณรคำให้ขนย้ายข้าวของออกจากบ้านและคิดค่าเสียหาย 2 แสนบาท ส่วนประเด็นเรื่องนำทองมาขายที่ร้านนางเกศินี โอบอ้อมกุล ยืนยันว่าไม่มีการนำทองมาขายเพื่อซื้อบ้านแต่อย่างใด หลังสอบปากคำแล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เดินทางไปตรวจสอบร้านรับซื้อ -ขาย-แลกเปลี่ยนรถยนต์มือสองหจก.ภรณ์เจริญมอเตอร์ของนายธนิต ศรีธัญญรัตน์. ตั้งอยู่ที่ ถนนเลี่ยงเมือง ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลฯ และหจก.มงคล คาร์เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ที่ 11 หมู่ที่ 18 ถ.ชยางกูร ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลฯ ของนายมงคล จุลทัศน์ เพื่อสอบปากคำเจ้าของเต้นท์หลังมีข้อมูลพบว่าเป็นผู้รับจัดไฟแนนซ์รถยนต์ของนายวิรพล ซึ่งทั้งสองร้านให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถหรูหรือการจัดไฟแนนซ์รถยนต์ของเณรคำแต่อย่างใด
**หลวงปู่พุทธอิสระ จี้สอบพระชั้นผู้ใหญ่รับของโจร
ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือ หลวงปู่พุทธอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ สมเด็จพระวันรัต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต และกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อให้ตรวจสอบเจ้าคณะภาค เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งพระอุปัชฌาย์ ของนายวิระพล ซึ่งพระทั้งหมด ได้มีการละเมิดจรรยาพระสังฆาธิการ ปกปิดอาบัติ และรับของโจร ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยสงฆ์ อาบัติสังฆาทิเสส เนื่องจากมีส่วนรู้เห็นการกระทำผิดของนายวิระพล และรับสิ่งของที่ได้มาโดยมิชอบ จึงต้องการให้เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ตรวจสอบพฤติกรรม
"การรับของโจร เมื่อพิสูจน์ได้ว่า นายคำ เป็นโจรในคราบผ้าเหลือง ปล้นสะดมศรัทธาชาวบ้านตลอด 10 กว่าปี แล้วทรัพย์นั้นไปตกในมือใครก็ถือว่ารับของโจร ต้องคืนให้กับหลวงหรือผู้ที่บริจาค" หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวต่อว่า ถ้าเจ้าคณะปกครอง พระสงฆ์ จะต้องปกครองพระสงฆ์ให้อยู่ในทำนองครองธรรม ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยทำให้เกิดความเสียหายต่อวงการศาสนา ถ้าหากเขาทำตามหน้าที่ ตรงไปตรงมาอย่างถูกต้อง เพียง 7 วัน ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุต หรือ มหานิกาย จะต้องได้รับการแก้ไข ไม่ปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อขนาดนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมเด็จพระวันรัต ติดกิจนิมนต์ ได้มีตัวแทนพระในวัดบวรนิเวศ รับเรื่องไว้ ให้สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช โดย หลวงปู่พุทธอิสระ บอกว่า อาตมาจะส่งหนังสือผ่านทางไปรษณีย์มาถึงสมเด็จพระวันรัต อีกครั้งหนึ่ง
ด้าน พระสุทธิสารเมธี กล่าวว่า ไม่ได้รับคำสั่งจากพระเถระให้เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว อาจจะทำให้ถูกตำหนิถึงความไม่เหมาะสมได้ จึงอยากให้หลวงปู่พุทธอิสระเข้าใจด้วย แต่จะรับหนังสือนี้ไว้แล้วจะส่งต่อไปตามลำดับขั้นตอนต่อไป
**จี้ตรวจสอบรับดอกไม้พระราชทาน
นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองประธาน คณะกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า พบข้อมูลสำคัญ ที่อยากให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ดำเนินการตรวจสอบ หรือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ คลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่อ้างว่าเป็นดอกไม้พระราชทานมาถวายอดีตพระวิรพล ในสมัยที่ยังไม่ถูกปรับอาบัติปาราชิก โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเพื่อนำถวายที่วัดป่าขันติบารมี สาขา 101 บ้านหัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2555 มีการโพสต์ลงในยูทูป เฟซบุ๊ก รวมทั้งมีการโพสต์รูปงานนี้ในเว็บของวัดป่าขันติธรรมด้วย
วานนี้ (18 ก.ค.) ที่หน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เปิดเผยว่า เกิดเหตุเผารถจักรยานยนต์ประท้วงบริเวณ หน้าตึกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบ นายสุพรรณ ก้อนหิน อายุ 23 ปี ชาวบ้าน ต.กลาง อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ซึ่งอ้างว่าเป็นหลานชายนายวิรพล สุขผล หรืออดีตพระวิรพล ฉัตติโก (หลวงปู่เณรคำ) ได้เดินทางขอเข้ายื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้อดีตพระวิรพล ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้รับหนังสือและเชิญตัวออกไปจึงทำให้นายสุพรรณเกิดความไม่พอใจ เดินไปชูป้ายที่เขียนข้อความว่า “มีคนใส่ร้ายหลวงปู่เณรคำ” “ขอความเป็นธรรมให้หลวงปู่เณรคำ” และเกิดอาการคุ้มคลั่งขับรถมอเตอร์โซค์ไปหยุดบริเวณกลางถนนแจ้งวัฒนะด้านปากทางเข้าดีเอสไอ และขว้างหมวกกันน็อคลงบนพื้นถนน จากนั้นจึงจุดไฟเผารถมอเตอร์ไซค์ ของตัวเอง รุ่น สกู๊ปปี้ ไอ ทะเบียน คกท อุบลราชธานี 481ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ประจำป้อมบริเวณดังกล่าว ต้องรีบนำถังดับเพลิงมาดับไฟแต่เนื่องจากเพลิงได้ลุกไหม้อย่างรวดเร็วทำให้รถเหลือเพียงตัวโครงรถเท่านั้น ส่งผลให้การจราจรบริเวณหน้าดีเอสไอติดขัดต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวนายสุพรรณขึ้นไปสอบสวนทันที
ภายหลังการสอบสวนประมาณครึ่งชั่วโมงเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสุพรรณไปแจ้งความดำเนินคดีที่สน.ทุ่งสองห้อง โดยเจ้าหน้าที่กำชับให้มีการนำตัวไปตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดด้วย ขณะที่นายสุพรรณไม่ยอมตอบข้อซักถามใด ๆ กับสื่อมวลชน
สำหรับการตรวจสอบประวัติของนายสุพรรณ พบว่าปัจจุบันยังไม่มีงานทำ โดยพักอยู่กับพี่สาวที่ย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 นอกจากนี้ยังพบว่ามีอาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้าอย่างรุนแรง โดยรับการรักษาตัวอยู่กับ รพ.มโนรมย์ บางนา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะได้ทำการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด ก่อนจะติดต่อพี่สาวของนายสุพรรณให้นำหลักฐานการรักษาตัวมาแสดง โดยหากทางแพทย์ยืนยันว่าเป็นผู้มีอาการป่วยทางจิตก็จะไม่ต้องถูกดำเนินคดี
**เร่งล่า"ไอ้คำ"เพิกถอนวีซ่า-พาสปอร์ต
ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยถึงการติดตามตัวนายวิรพลว่า ขณะนี้ได้แจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ทราบว่า ศาลได้ออกหมายจับ นายวิรพลแล้ว เพื่อให้ยื่นเรื่องในการเพิกถอนหนังสือเดินทาง และยังได้ประสาน กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อแจ้งเพิกถอนหนังสือเดินทางของ นายวิรพล พร้อมประสานไปยังสถานทูตสหรัฐอเมริกา ที่ นายวิรพล พักอาศัย เพื่อยกเลิกวีซ่าด้วย ซึ่งการดำเนินการถอนวีซ่าและหนังสือเดินทาง จะทำให้สถานภาพของ นายวิรพล นั้นเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง และถูกผลักดันออกนอกประเทศนั้นๆ โดยทางดีเอสไอ ได้จัดชุดติดตามที่พร้อมจะเดินทางไปรับตัว นายวิรพล กลับมาดำเนินคดีแล้ว
นอกจากนี้ ดีเอสไอ ยังแปลหมายจับเป็นภาษาอังกฤษ และประสานไปยัง ตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล เพื่อนำเข้าสู่ระบบและให้ช่วยประสานติดตามตัว พร้อมส่งหมายจับไปยัง ป.ป.ส. รวมทั้ง ปปง.เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทั้งนี้ ล่าสุด ดีเอสไอ ตรวจสอบพบว่ามีรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับ นายวิรพล เพิ่มเติมอีกจำนวน 20 คัน มูลค่า 29,267,000 บาท ประกอบด้วย ล๊อตแรกเป็นรถคัมรี่ สีขาวทั้งหมด จำนวน6 คัน ในชื่อของนายวรวิทย์ กุลตังวัฒนา 2 คัน น.ส.เพชรมณี วิริยะสืบพงศ์ 1 คัน นายศุภราช วิริยะสืบพงศ์ 1 คัน นายภณภกร ภวพรรณกร คัน พระวิรพล สุขผล 1 คัน ล๊อตที่ 2 ซื้อรถคัมรี่อีกจำนวน 9 คัน โดยซื้อในชื่อโตโยต้าลิสซิ่ง(ชลบุรี) จำนวน 3 คัน นางปิ่งทิ แทงดิ่ง 1 คัน น.ส.ฐิติชญา ตาตุ้ย 1 คัน น.ส.ชนิตา เวทสรณสุธี 1 คัน บจก.จักรศิลป์ การช่าง จำกัด 1 คัน นายภรเดช โสพรรณพาณิชกุล 1 คัน และพระวิรพล สุขผล 1 คัน นอกจากนี้ ยังมีการซื้อรถคัมรี่ สีดำ 1 คัน ในชื่อนายสุริ สุขผล ซึ่งเป็นน้องชายของ อดีตพระเณรคำ รถกระบะ สีขาว 2คัน ซื้อในชื่อโตโยต้าลิสซิ่ง(ชลบุรี) 1 คัน และในชื่อนายภรเดช โสพรรณพาณิชกุล และยังพบซื้อรถตู้อีก 2คัน ในชื่อนายภรเดช โสพรรณพาณิชกุล1คัน และในชื่อพระวิรพล สุขผล 1 คัน โดยทั้งหมดตามแนวทางการสอบสวนของดีเอสไอเป็นบุคคลใกล้ชิดอดีตหลวงปู่เณรคำ ยกเว้นรถคันที่ยังผ่อนชำระกับบริษัทลิสซิ่ง
**แฉรถญี่ปุ่นแต่งสวย 35 คัน 28 ล้าน
ขณะเดียวกันดีเอสไอยังได้รับแจ้งเบาะแสจากอู่ซ่อมและตกแต่งประดับยนต์แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ที่อดีตพระเณรคำได้เคยมาว่าจ้างให้จัดหารถในตระกูลรถญี่ปุ่นหลากหลายยี่ห้อ หลายรุ่นจำนวน 35 คัน คิดเป็นมูลค่า 28 ล้านบาทแล้วให้ทำการตกแต่งรถตามที่อดีตพระเณรคำต้องการ ต่อจากนั้นก็ให้ลูกศิษย์มารับรถไปมอบแก่บุคคลต่างๆ ซึ่งดีเอสไอจะตามหารถทั้งหมดและสอบปากคำผู้ครอบครองรถ เพื่อตรวจสอบจุดประสงค์ที่พระเณรคำให้รถแก่บุคคลต่างๆ หากเป็นรถที่ไม่เกี่ยวข้องการขบวนการฟอกเงินก็จะไม่ตรวจยึดรถไว้
**”ดีเอสไอ”ลุยค้นรถหรูไอ้คำ เพียบ
วันเดียวกัน ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค (ดีเอสไอ) กล่าวถึงกรณีสมีคำ ที่ใช้เงินกว่า 95 ล้านบาทซื้อรถเบนซ์หลากหลายรุ่นจำนวน 22 คัน จากบริษัทขายรถเบนซ์วีทีซีมอเตอร์ อ.เมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่ปี 2551-2553 โดยมีราคาเฉลี่ยถูกที่สุดกว่า 1.5 ล้านบาท ไปจนถึงแพงที่สุดคันละกว่า 11 ล้านบาท และพบว่ามีการนำไปใช้เป็นรถป้ายแดงระยะหนึ่งโดยไม่จดทะเบียน จากนั้นจะนำรถกลับมาขายคืนให้ทางบริษัท และได้เงินกลับคืนไปประมาณ 62 ล้านบาท ซึ่งดีเอสไอได้ประสานขอหลักฐานการซื้อขายกับทางบริษัทเป็นการจ่ายเงินทั้งเช็คและเงินสด เพื่อนำไปตรวจสอบเข้าข่ายการฟอกเงินของพระเณรคำหรือไม่
**ขอหมายศาลบังคับตรวจดีเอ็นเอพ่อแม่
ขณะเดียวกันดีเอสไอได้เข้าขอหมายศาลจังหวัดอุบลราชธานีเพื่อไปขอเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากจากบิดามารดาของพระเณรคำที่บ้านทรายมูล ต.ทรายมูล อ.พิบูลมังสาหาร นำมาเปรียบเทียบกับหญิงสาวและเด็กที่ระบุว่าเป็นภรรยากับบุตรที่เกิดจากสมีคำ หลังจากเมื่อวานบรรดาญาติพระเณรคำไม่ยินยอมให้มีการเก็บตัวอย่างดังกล่าว
**สอบ "ร้านทอง - เต็นท์รถ"หวั่นซุกอีก
นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ หัวหน้างานข้อมูลและการวิเคราะห์ สำนักคดีความมั่นคงดีเอสไอ พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนเดินทางไปที่ร้านทองทรงเจริญ ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลฯ ซึ่งแนวทางการสอบสวนพบว่าร้านทองทรงเจริญ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับซื้อทองรูปพรรณของเณรคำ ซึ่งมีการติดต่อทำธุรกิจด้วย โดยมีการติดต่อรับซื้อทองที่เณรคำได้รับบริจาคมาแล้วนำมาขายให้ขณะเดียวกันร้านทองทรงเจริญยังเป็นเจ้าของหมู่บ้านเพชรไพลิน ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนชยางกูร หมู่ 23 ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลราชธานี หลังจากแนวทางการสืบสวนดีเอสไอ ทราบว่า นายวิรพลซื้อบ้านไว้ให้พี่ชายและน้องชาย เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา จริงหรือไม่ พร้อมตรวจสอบว่ามีการนำเงินอะไรมาซื้อ เป็นเงินของมูลนิธิหรือเงินบริจาคหรือไม่หรือเป็นเงินส่วนตัว หากพบว่ามีการนำเงินที่ได้จากการบริจาคมาซื้อบ้าน ดีเอสไอก็จะอายัดต่อไป
ด้านนางเกศินี โอบอ้อมกุล อายุ 51 ปี เจ้าของร้านทองทรงเจริญ กล่าวว่าเป็นเจ้าของโครงการหมู่บ้านหมู่บ้านเพชรไพลินจริงโดยยืนยันว่าเมื่อปี 2553 พระเณรคำได้ให้ตำรวจทางหลวงคนซึ่งเป็นคนสนิทมาติดต่อขอเช่าและซื้อบ้าน 3 หลัง โดยบ้านหลังแรกมีพ่อแม่และญาติของนายวิรพลเข้ามาพักอาศัย ส่วนอีก 2 หลังแจ้งว่าจะขอซื้อ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ได้6-7เดือนก็ย้ายออกไป ส่วนบ้าน2หลังไม่มีการติดต่อชำระเงินหรือโอนบ้านแต่อย่างใด จึงได้เอาบ้านกลับคืนจากการครอบครองของเณรคำให้ขนย้ายข้าวของออกจากบ้านและคิดค่าเสียหาย 2 แสนบาท ส่วนประเด็นเรื่องนำทองมาขายที่ร้านนางเกศินี โอบอ้อมกุล ยืนยันว่าไม่มีการนำทองมาขายเพื่อซื้อบ้านแต่อย่างใด หลังสอบปากคำแล้ว ต่อมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เดินทางไปตรวจสอบร้านรับซื้อ -ขาย-แลกเปลี่ยนรถยนต์มือสองหจก.ภรณ์เจริญมอเตอร์ของนายธนิต ศรีธัญญรัตน์. ตั้งอยู่ที่ ถนนเลี่ยงเมือง ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลฯ และหจก.มงคล คาร์เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ที่ 11 หมู่ที่ 18 ถ.ชยางกูร ต.ขามใหญ่ อ.เมืองอุบลฯ ของนายมงคล จุลทัศน์ เพื่อสอบปากคำเจ้าของเต้นท์หลังมีข้อมูลพบว่าเป็นผู้รับจัดไฟแนนซ์รถยนต์ของนายวิรพล ซึ่งทั้งสองร้านให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถหรูหรือการจัดไฟแนนซ์รถยนต์ของเณรคำแต่อย่างใด
**หลวงปู่พุทธอิสระ จี้สอบพระชั้นผู้ใหญ่รับของโจร
ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระสุวิทย์ ธีรธัมโม หรือ หลวงปู่พุทธอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อ สมเด็จพระวันรัต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รักษาการแทนเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต และกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อให้ตรวจสอบเจ้าคณะภาค เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี รวมทั้งพระอุปัชฌาย์ ของนายวิระพล ซึ่งพระทั้งหมด ได้มีการละเมิดจรรยาพระสังฆาธิการ ปกปิดอาบัติ และรับของโจร ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำผิดวินัยสงฆ์ อาบัติสังฆาทิเสส เนื่องจากมีส่วนรู้เห็นการกระทำผิดของนายวิระพล และรับสิ่งของที่ได้มาโดยมิชอบ จึงต้องการให้เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต ตรวจสอบพฤติกรรม
"การรับของโจร เมื่อพิสูจน์ได้ว่า นายคำ เป็นโจรในคราบผ้าเหลือง ปล้นสะดมศรัทธาชาวบ้านตลอด 10 กว่าปี แล้วทรัพย์นั้นไปตกในมือใครก็ถือว่ารับของโจร ต้องคืนให้กับหลวงหรือผู้ที่บริจาค" หลวงปู่พุทธอิสระ กล่าวต่อว่า ถ้าเจ้าคณะปกครอง พระสงฆ์ จะต้องปกครองพระสงฆ์ให้อยู่ในทำนองครองธรรม ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยทำให้เกิดความเสียหายต่อวงการศาสนา ถ้าหากเขาทำตามหน้าที่ ตรงไปตรงมาอย่างถูกต้อง เพียง 7 วัน ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุต หรือ มหานิกาย จะต้องได้รับการแก้ไข ไม่ปล่อยให้ปัญหายืดเยื้อขนาดนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมเด็จพระวันรัต ติดกิจนิมนต์ ได้มีตัวแทนพระในวัดบวรนิเวศ รับเรื่องไว้ ให้สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช โดย หลวงปู่พุทธอิสระ บอกว่า อาตมาจะส่งหนังสือผ่านทางไปรษณีย์มาถึงสมเด็จพระวันรัต อีกครั้งหนึ่ง
ด้าน พระสุทธิสารเมธี กล่าวว่า ไม่ได้รับคำสั่งจากพระเถระให้เป็นผู้รับหนังสือดังกล่าว อาจจะทำให้ถูกตำหนิถึงความไม่เหมาะสมได้ จึงอยากให้หลวงปู่พุทธอิสระเข้าใจด้วย แต่จะรับหนังสือนี้ไว้แล้วจะส่งต่อไปตามลำดับขั้นตอนต่อไป
**จี้ตรวจสอบรับดอกไม้พระราชทาน
นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ รองประธาน คณะกรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า พบข้อมูลสำคัญ ที่อยากให้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ดำเนินการตรวจสอบ หรือสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ คลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ที่อ้างว่าเป็นดอกไม้พระราชทานมาถวายอดีตพระวิรพล ในสมัยที่ยังไม่ถูกปรับอาบัติปาราชิก โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเพื่อนำถวายที่วัดป่าขันติบารมี สาขา 101 บ้านหัวเขา อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2555 มีการโพสต์ลงในยูทูป เฟซบุ๊ก รวมทั้งมีการโพสต์รูปงานนี้ในเว็บของวัดป่าขันติธรรมด้วย