ASTVผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นไทยเตรียมลุยโรดโชว์ต่างประเทศ เฟ้นหานักลงทุนรายใหม่ในประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อกระจายความเสี่ยงจากเม็ดเงินกระจุกในนักลงทุนกลุ่มเดียว จี้รัฐเร่งเดินเครื่องนโยบายโครงสร้างพื้นฐานกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมคงเป้าบัญชีนักลงทุนรายใหม่ทั้งปีที่ 96,000 บัญชี แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะซบเซาตามตลาดหุ้นโลก
ดร.ภากร ปีตะธวัชชัย รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มองทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง น่าจะเติบโตในระดับ 4-5% ซึ่งในปีที่แล้ว จะเติบโตจากภาคการบริโภคในประเทศที่สูงมาก และภาคการส่งออกยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ปีนี้การบริโภคในประเทศอาจปรับตัวลดลง เนื่องจากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในสถานะที่ยังไม่ฟื้นตัว นักลงทุนต่างประเทศย้ายแหล่งเงินทุนกลับไปยังต่างประเทศ และสถานการเงินบาทแข็งค่า
สำหรับการปรับประมาณการจีดีพีของหน่วยงานต่างๆ มาอยู่ที่ 4-5% ต่ำกว่าปีก่อนที่ 5.6% ยมีสาเหตุมาจากการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวลง และส่วนที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ทำให้ตัวเลขภาคการส่งออกลดลงไปด้วย เพราะ 70% ของจีดีพีของประเทศไทยมาจากการส่งออก ทั้งนี้ ในส่วนของครึ่งปีหลังภาพรวมของเศรษฐกิจไทยจำเป็นที่จะต้องพึ่งการท่องเที่ยว โดยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยมีสัดส่วนที่ 7-8% ของจีดีพี ซึ่งภาพรวมของการท่องเที่ยวของครึ่งปีหลังยังมีทิศทางที่ดี และรัฐควรให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
"สภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตช้าลง จากการที่ประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจในการผ่อนปรนนโยบายทางการเงินคือ ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติ และจีดีพีของจีน ก็ไม่ได้เติบโตตามเป้าที่คาดไว้ และยังมีอัตราไหลออกของเงินทุนไปยังต่างประเทศ โดยมาตรการ QE ถือว่าเป็นมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ และความวิตกกังวลต่อนักลงทุนทั่วโลก ทั้งนี้ ตลท. ได้วางกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงในอนาคต โดยเตรียมหานักลงทุนรายใหม่จากในหลายๆ กลุ่มทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีสภาพคล่องที่เพิ่มมากขึ้น และเงินทุนใหลเข้าออก ไม่กระจุกตัวอยู่ที่นักลงทุนกลุ่มเดียว ซึ่งกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศรายใหม่ ได้แก่ กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น และจีน"
โดย ตลท.เตรียมจะจัดโรดโชว์ไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเน้นประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต กาตาร์ เพราะเป็นประเทสที่มีนักลงทุนรายใหญ่ และมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเตรียมที่จะจัดงาน Thailand Fogus ในเดือนสิงหาคม เพื่อเชิญนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา โดยจะมีกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน คือ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม (CLMV) เพิ่มเข้ามาด้วย
นางเกศรา มัญชุศรี รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากกรณีที่หลายหน่วยงานได้ปรับลดเป้าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ (GDP) ในระดับ 4%-4.5% หรือในบางประเทศที่ 5% ถือว่าอยู่ในระดับที่ปกติ ไม่ได้ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ แต่อาจจะปรับลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ในครึ่งปีแรก ซึ่งอ้างอิงกับผลประกอบการ ที่อาจจะกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนต่างๆ โดยทั่วไป จากผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียนที่สูงกว่าผลกำไรเฉลี่ย โดยอัตราผลตอบแทนในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 14-15% และคาดว่าการเติบโตในตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังคงมีอัตราการทำกำไรที่ดีอยู่
"ตลาดหุ้นไทยในระยะยาวนั้น เชื่อว่ายังได้รับผลตอบแทนที่ดี แม้ว่าในช่วงนี้ราคาดัชนีหุ้นจะอ่อนตัวจากการที่นักลงทุนต่างชาติเทขายเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนในประเทศจะได้วิเคราะห์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะยาวที่มีผลตอบแทนคุ้มค่า"
ขณะเดียวกัน การปรับเพิ่มบัญชีนักลงทุนใหม่ในครึ่งปีแรกพบว่ามีการเปิดบัญชีใหม่ 80,000-90,000 บัญชี ใกล้เคียงเป้าหมาย ทั้งปีที่ 96,000 บัญชีแล้ว แต่จากประมาณการเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยรวมคาดว่าครึ่งปีหลังยอดเปิดบัญชีใหม่จะมีน้อยลง ทั้งนี้ ในจำนวนบัญชีที่เปิดใหม่จะเป็นนักลงทุนที่ไม่ซ้ำบัญชีเดิม แต่จะเป็นนักลงทุนรายใหม่จริงๆ โดยจะยังคงไม่ปรับยอดบัญชีขึ้น เนื่องจากว่ายอดบัญชีใหม่นี้เป็นสถิติที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ดร.ภากร ปีตะธวัชชัย รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มองทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง น่าจะเติบโตในระดับ 4-5% ซึ่งในปีที่แล้ว จะเติบโตจากภาคการบริโภคในประเทศที่สูงมาก และภาคการส่งออกยังคงเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ปีนี้การบริโภคในประเทศอาจปรับตัวลดลง เนื่องจากปัญหาสภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในสถานะที่ยังไม่ฟื้นตัว นักลงทุนต่างประเทศย้ายแหล่งเงินทุนกลับไปยังต่างประเทศ และสถานการเงินบาทแข็งค่า
สำหรับการปรับประมาณการจีดีพีของหน่วยงานต่างๆ มาอยู่ที่ 4-5% ต่ำกว่าปีก่อนที่ 5.6% ยมีสาเหตุมาจากการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัวลง และส่วนที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ทำให้ตัวเลขภาคการส่งออกลดลงไปด้วย เพราะ 70% ของจีดีพีของประเทศไทยมาจากการส่งออก ทั้งนี้ ในส่วนของครึ่งปีหลังภาพรวมของเศรษฐกิจไทยจำเป็นที่จะต้องพึ่งการท่องเที่ยว โดยรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยมีสัดส่วนที่ 7-8% ของจีดีพี ซึ่งภาพรวมของการท่องเที่ยวของครึ่งปีหลังยังมีทิศทางที่ดี และรัฐควรให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
"สภาวะเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตช้าลง จากการที่ประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจในการผ่อนปรนนโยบายทางการเงินคือ ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติ และจีดีพีของจีน ก็ไม่ได้เติบโตตามเป้าที่คาดไว้ และยังมีอัตราไหลออกของเงินทุนไปยังต่างประเทศ โดยมาตรการ QE ถือว่าเป็นมาตรการที่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจ และความวิตกกังวลต่อนักลงทุนทั่วโลก ทั้งนี้ ตลท. ได้วางกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงในอนาคต โดยเตรียมหานักลงทุนรายใหม่จากในหลายๆ กลุ่มทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้มีสภาพคล่องที่เพิ่มมากขึ้น และเงินทุนใหลเข้าออก ไม่กระจุกตัวอยู่ที่นักลงทุนกลุ่มเดียว ซึ่งกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศรายใหม่ ได้แก่ กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น และจีน"
โดย ตลท.เตรียมจะจัดโรดโชว์ไปยังกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ซึ่งเน้นประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต กาตาร์ เพราะเป็นประเทสที่มีนักลงทุนรายใหญ่ และมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังเตรียมที่จะจัดงาน Thailand Fogus ในเดือนสิงหาคม เพื่อเชิญนักลงทุนต่างประเทศเข้ามา โดยจะมีกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน คือ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม (CLMV) เพิ่มเข้ามาด้วย
นางเกศรา มัญชุศรี รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า จากกรณีที่หลายหน่วยงานได้ปรับลดเป้าอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ (GDP) ในระดับ 4%-4.5% หรือในบางประเทศที่ 5% ถือว่าอยู่ในระดับที่ปกติ ไม่ได้ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ แต่อาจจะปรับลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ในครึ่งปีแรก ซึ่งอ้างอิงกับผลประกอบการ ที่อาจจะกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนต่างๆ โดยทั่วไป จากผลตอบแทนของบริษัทจดทะเบียนที่สูงกว่าผลกำไรเฉลี่ย โดยอัตราผลตอบแทนในระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 14-15% และคาดว่าการเติบโตในตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังคงมีอัตราการทำกำไรที่ดีอยู่
"ตลาดหุ้นไทยในระยะยาวนั้น เชื่อว่ายังได้รับผลตอบแทนที่ดี แม้ว่าในช่วงนี้ราคาดัชนีหุ้นจะอ่อนตัวจากการที่นักลงทุนต่างชาติเทขายเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนในประเทศจะได้วิเคราะห์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะยาวที่มีผลตอบแทนคุ้มค่า"
ขณะเดียวกัน การปรับเพิ่มบัญชีนักลงทุนใหม่ในครึ่งปีแรกพบว่ามีการเปิดบัญชีใหม่ 80,000-90,000 บัญชี ใกล้เคียงเป้าหมาย ทั้งปีที่ 96,000 บัญชีแล้ว แต่จากประมาณการเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยรวมคาดว่าครึ่งปีหลังยอดเปิดบัญชีใหม่จะมีน้อยลง ทั้งนี้ ในจำนวนบัญชีที่เปิดใหม่จะเป็นนักลงทุนที่ไม่ซ้ำบัญชีเดิม แต่จะเป็นนักลงทุนรายใหม่จริงๆ โดยจะยังคงไม่ปรับยอดบัญชีขึ้น เนื่องจากว่ายอดบัญชีใหม่นี้เป็นสถิติที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา
