วานนี้(8 ก.ค.56) อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ได้เรียกสื่อมวลชนให้สัมภาษณ์ก่อนเข้ามอบนโยบายเรื่องการดำเนินงานด้านการค้ามนุษย์ ถึงกรณีที่มีข่าวเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เกาะฮ่องกง ว่า ตนไปฮ่องกงมาจริง 2 วัน ไปเที่ยวกับ พล.ต.อ.ภานุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และไม่ได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปปักกิ่งประเทศจีนแล้ว ถ้ารู้ว่าอยู่ตนก็จะไปพบ เพราะไม่ใช่เรื่องเสียหาย และไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ หลังจากที่เดินทางกลับไทยได้เห็นเฟซบุ๊กนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ และทีมงาน 2 คน ทำท่าดูดไอศกรีม ทำตัวเป็นแก๊งไอติม
“ ขอฝากบอกๆ ไปถึงนายสุรนันท์ อย่ามาตีตัวเสมอ ในทางการเมือง ผมไม่เคยให้ราคา ไม่เคยอยู่ในสายตา ไม่เคยให้เกียรติ และไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้เครดิต มันคนละชั้นกัน ถ้าเสือกเดี๋ยวจะมีของแถม และไม่ต้องมาขอขมา ผมถือว่าผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ ส่วนเด็กผู้หญิงสองคน คนหนึ่งชื่อสุ ผมเห็นเป็นลูกหลานไม่ได้คิดว่าจะมีอิทธิฤทธิ์อะไร นายสุรนันทน์ทำอะไรควรให้พอดี พอเหมาะ ตอนหาเสียงไปอยู่อยู่ที่ไหน คิดว่าตัวเองมีความสำคัญอะไร ที่ผมพูดไม่ใช่ว่าถูกปรับแล้วน้อยอกน้อยใจ ผมย่อมมีสิทธิคิดเป็นธรรมดา” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไปฮ่องกง ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า ไปเดินเที่ยวย่านจิมซาจุ่ย กับ พล.ต.อ.ภานุพงศ์ และบ่ายนี้จะเข้าผ่าต้อกระจกซึ่งคงไม่ได้เข้าร่วมประชุม ครม. วันที่ 9 ก.ค. โดยยังต้องลาพักฟื้นไปจนถึงวันที่ 11 ก.ค. และยังกล่าวถึงกรณีมีคลิปเสียงคล้ายเสียง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา สนทนากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นไปตามที่เคยเตือนแล้วว่าการเมืองจากนี้ไปจะอยู่ในโหมดความเข้มข้น พอตนวิเคราะห์ไปสื่อก็หาว่าตนน้อยใจ ซี่งไม่ใช่ ตนเป็นคนประเภทรุกรบ ฮึกเหิม ห้าวหาญ และถ้าใครมองการเมืองว่าสงบถือว่าเก่งมาก เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและผุ้เกี่ยวข้องที่ต้องออกมาชี้แจง ส่วนจะสั่นคลอนรัฐบาลหรือไม่นั้นตนไม่รู้ เขาให้มาอยู่กระทรวงแรงงานจะไปรู้ได้อย่างไร พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าอิจฉาริษยา ไม่รู้จักหน้าที่
วันเดียวกันมีรายงานว่า คนใกล้ชิดนายกฯ เปิดเผยว่า นายกฯได้ตำหนินายสุรนันทน์และทีมงานทุกคนในการโพสต์ภาพดังกล่าว ซึ่งเห็นว่าไม่เหมาะสมและผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกฯ ขณะที่ตลอดทั้งวันนายสุรนันทน์มีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทักทายหยอกล้อสื่อเหมือนที่ผ่านมา
นางปวีณา หงสกุล รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเดินทางไปเกาะฮ่องกงเพื่อฉลองวันเกิดของตัวเองในวันที่ 5 ก.ค และพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ยอมรับว่าเดินทางไปฮ่องกงจริงแต่ไม่ได้ไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ หรือฉลองตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมฯ แต่ไปฉลองวันเกิดส่วนตัวกับลูกชายและลูกน้องในมูลนิธิปวีณาฯ ซึ่งเป็นความตั้งใจเดิมก่อนที่จะมาเป็น รมว.ว่าจะไปพักผ่อนฉลองวันเกิดที่ฮ่องกง ไม่อยากอยู่เมืองไทยเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อนมาแสดงความยินดีที่บ้าน เพราะปกติก็ไม่นิยมจัดงานที่บ้านอยู่แล้ว ทั้งนี้สื่อสามารถตรวจสอบไฟล์บินได้ว่าไม่ได้เดินทางไปไฟล์เดียวกับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ซึ่งตนไปสายการบินคาเธ่ย์ แฟซิฟิค แอร์ไลน์
“ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไปลงข่าวอึกทุกครึกโครม ถ้าดิฉันอยากจะฉลองตำแหน่งฉลองที่เมืองไทยไม่ดีกว่าหรือ อยากให้สื่อมาให้กำลังใจในการทำงานดีกว่ามองเป็นเรื่องการเมือง อยากให้สื่อให้ความเป็นธรรมด้วย” นางปวีณากล่าวและว่า จากที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตนจะเป็นแกนนำ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย แทนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่เป็นความจริง เพราะคุณหญิงสุดารัตน์เป็นคนเก่งไม่มีใครแทนท่านได้ ส่วนตนที่มารับตำแหน่งรมว.พัฒนาสังคมฯ เพราะมีประสบการณ์ทำงานการเมือง เป็น รมว. 2 กระทรวง และรู้ว่าตนทำงานเกี่ยวกับสังคม นายกรัฐมนตรีจึงอยากให้มาช่วยงานในตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมฯ.
อีกด้านนพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตนได้ทำหนังสือถึงอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เพื่อขอให้ปฎิบัติตามหลักนิติธรรมรักษามาตรฐานอย่างเข้มงวดอย่ามีสองมาตรฐาน จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนคดีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามกฎหมายอาญา มาตรา 59,80,83,84 และ 288 จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.เพราะตนมีความกังวลว่า ในตอนที่แกนนำกลุ่ม นปช.ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายนั้นคดีเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้พวกตนยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดี ผิดกลับคดีของนายอภิสิทธิ์นายสุเทพ ทั้งๆที่มีหลักฐานหลายอย่างปรากฎชัด แต่คดีกลับไม่คืบหน้า จึงทำให้กลัวว่าอาจจะเกิดกระบวนการยุติธรรมที่เป็นสองมาตรฐาน และอาจจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และพนักงานสอบสวนดีเอสไออีก 3 คือ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ, ความผิดต่อเจ้าพนักงานและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
จากกรณีที่ จำเลยที่ 1-4 ในฐานะพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ได้ร่วมกันสอบสวนและตั้งข้อหาต่อโจทก์ทั้ง 2 ข้อหาเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53 ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอ 2 ให้ต้องรับโทษ
“ ขอฝากบอกๆ ไปถึงนายสุรนันท์ อย่ามาตีตัวเสมอ ในทางการเมือง ผมไม่เคยให้ราคา ไม่เคยอยู่ในสายตา ไม่เคยให้เกียรติ และไม่ให้ความสำคัญ ไม่ให้เครดิต มันคนละชั้นกัน ถ้าเสือกเดี๋ยวจะมีของแถม และไม่ต้องมาขอขมา ผมถือว่าผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ ส่วนเด็กผู้หญิงสองคน คนหนึ่งชื่อสุ ผมเห็นเป็นลูกหลานไม่ได้คิดว่าจะมีอิทธิฤทธิ์อะไร นายสุรนันทน์ทำอะไรควรให้พอดี พอเหมาะ ตอนหาเสียงไปอยู่อยู่ที่ไหน คิดว่าตัวเองมีความสำคัญอะไร ที่ผมพูดไม่ใช่ว่าถูกปรับแล้วน้อยอกน้อยใจ ผมย่อมมีสิทธิคิดเป็นธรรมดา” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไปฮ่องกง ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่า ไปเดินเที่ยวย่านจิมซาจุ่ย กับ พล.ต.อ.ภานุพงศ์ และบ่ายนี้จะเข้าผ่าต้อกระจกซึ่งคงไม่ได้เข้าร่วมประชุม ครม. วันที่ 9 ก.ค. โดยยังต้องลาพักฟื้นไปจนถึงวันที่ 11 ก.ค. และยังกล่าวถึงกรณีมีคลิปเสียงคล้ายเสียง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา สนทนากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นไปตามที่เคยเตือนแล้วว่าการเมืองจากนี้ไปจะอยู่ในโหมดความเข้มข้น พอตนวิเคราะห์ไปสื่อก็หาว่าตนน้อยใจ ซี่งไม่ใช่ ตนเป็นคนประเภทรุกรบ ฮึกเหิม ห้าวหาญ และถ้าใครมองการเมืองว่าสงบถือว่าเก่งมาก เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและผุ้เกี่ยวข้องที่ต้องออกมาชี้แจง ส่วนจะสั่นคลอนรัฐบาลหรือไม่นั้นตนไม่รู้ เขาให้มาอยู่กระทรวงแรงงานจะไปรู้ได้อย่างไร พูดไปเดี๋ยวจะหาว่าอิจฉาริษยา ไม่รู้จักหน้าที่
วันเดียวกันมีรายงานว่า คนใกล้ชิดนายกฯ เปิดเผยว่า นายกฯได้ตำหนินายสุรนันทน์และทีมงานทุกคนในการโพสต์ภาพดังกล่าว ซึ่งเห็นว่าไม่เหมาะสมและผลกระทบต่อภาพลักษณ์นายกฯ ขณะที่ตลอดทั้งวันนายสุรนันทน์มีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ไม่ทักทายหยอกล้อสื่อเหมือนที่ผ่านมา
นางปวีณา หงสกุล รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเดินทางไปเกาะฮ่องกงเพื่อฉลองวันเกิดของตัวเองในวันที่ 5 ก.ค และพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ยอมรับว่าเดินทางไปฮ่องกงจริงแต่ไม่ได้ไปพบพ.ต.ท.ทักษิณ หรือฉลองตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมฯ แต่ไปฉลองวันเกิดส่วนตัวกับลูกชายและลูกน้องในมูลนิธิปวีณาฯ ซึ่งเป็นความตั้งใจเดิมก่อนที่จะมาเป็น รมว.ว่าจะไปพักผ่อนฉลองวันเกิดที่ฮ่องกง ไม่อยากอยู่เมืองไทยเพราะไม่อยากให้ใครเดือดร้อนมาแสดงความยินดีที่บ้าน เพราะปกติก็ไม่นิยมจัดงานที่บ้านอยู่แล้ว ทั้งนี้สื่อสามารถตรวจสอบไฟล์บินได้ว่าไม่ได้เดินทางไปไฟล์เดียวกับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ซึ่งตนไปสายการบินคาเธ่ย์ แฟซิฟิค แอร์ไลน์
“ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไปลงข่าวอึกทุกครึกโครม ถ้าดิฉันอยากจะฉลองตำแหน่งฉลองที่เมืองไทยไม่ดีกว่าหรือ อยากให้สื่อมาให้กำลังใจในการทำงานดีกว่ามองเป็นเรื่องการเมือง อยากให้สื่อให้ความเป็นธรรมด้วย” นางปวีณากล่าวและว่า จากที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตนจะเป็นแกนนำ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย แทนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ไม่เป็นความจริง เพราะคุณหญิงสุดารัตน์เป็นคนเก่งไม่มีใครแทนท่านได้ ส่วนตนที่มารับตำแหน่งรมว.พัฒนาสังคมฯ เพราะมีประสบการณ์ทำงานการเมือง เป็น รมว. 2 กระทรวง และรู้ว่าตนทำงานเกี่ยวกับสังคม นายกรัฐมนตรีจึงอยากให้มาช่วยงานในตำแหน่ง รมว.พัฒนาสังคมฯ.
อีกด้านนพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ตนได้ทำหนังสือถึงอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เพื่อขอให้ปฎิบัติตามหลักนิติธรรมรักษามาตรฐานอย่างเข้มงวดอย่ามีสองมาตรฐาน จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้ส่งสำนวนคดีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนา ตามกฎหมายอาญา มาตรา 59,80,83,84 และ 288 จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.เพราะตนมีความกังวลว่า ในตอนที่แกนนำกลุ่ม นปช.ถูกตั้งข้อหาก่อการร้ายนั้นคดีเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้พวกตนยังไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อต่อสู้คดี ผิดกลับคดีของนายอภิสิทธิ์นายสุเทพ ทั้งๆที่มีหลักฐานหลายอย่างปรากฎชัด แต่คดีกลับไม่คืบหน้า จึงทำให้กลัวว่าอาจจะเกิดกระบวนการยุติธรรมที่เป็นสองมาตรฐาน และอาจจะเป็นการละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้
วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก นัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในคดีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และพนักงานสอบสวนดีเอสไออีก 3 คือ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และ ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ตามลำดับ ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ, ความผิดต่อเจ้าพนักงานและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
จากกรณีที่ จำเลยที่ 1-4 ในฐานะพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ได้ร่วมกันสอบสวนและตั้งข้อหาต่อโจทก์ทั้ง 2 ข้อหาเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชนจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 53 ซึ่งเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง และเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสอ 2 ให้ต้องรับโทษ