ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน --> Hong Kong on Foot : ตะลุยเกาะ Lamma
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ : หลังจากที่ผมเดินทางออกจากเกาะ Lamma ด้วยเรือโดยสารจากฝั่ง Sok Kwu Wan เป็นเวลากว่า ๔๕ นาที กลับมายังท่าเรือย่านเซ็นทรัล บนเกาะฮ่องกงอีกครั้ง ผมก็เริ่มเดินทางต่อในทันทีเมื่อเรือจอดเทียบท่า
และจุดมุ่งหมายของผมก็คือ แผ่นหลังมังกร หรือ “Dragon's Back”
ผมเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีเซ็นทรัล ไปลงที่สถานี Shau Kei Wan. เพื่อนั่งรถประจำทางเข้าไปในเขต “อุทยานแห่งชาติ Shek O.” ระหว่างที่ผมเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ผมก็เดินหาอะไรกินไปรอบๆ บริเวณ ตอนแรกตั้งใจไว้ว่า เมื่อมาถึงจะไปกินซาลาเปาตามที่ระบุเอาไว้ในไกด์บุ๊กส่วนตัวที่จัดทำขึ้นมาใหม่ แต่ปรากฏว่า เมื่อไปถึงร้านปิด และร้านอื่นๆ ใกล้เคียงก็ปิด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะมันอยู่ในช่วงฉลองตรุษจีนของบ้านเขานั่นเอง
พูดถึงตรุษจีนก็ขอย้อนไปถึงเมื่อวานนี้ (๑๑ ก.พ.) ที่บินมาถึงฮ่องกงสักหน่อย “เทศกาลตรุษจีน” ของที่นี่ถ้าเปรียบกับบ้านเราก็คงเหมือนกับช่วงสงกรานต์ ที่คนต่างกลับบ้านไปไหว้พ่อแม่ปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษ ในแผ่นดินจีน ซึ่งประเพณีแบบนี้ก็ไม่ต่างกับบ้านเรานักเท่าไหร่ แต่ในมุมกลับกัน นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ก็แห่มาเที่ยวในฮ่องกงอย่างเยอะแยะเช่นเดียวกัน
ในปีนี้วันหยุดราชการของที่ฮ่องกงเริ่มหยุดกันตั้งแต่วันที่ ๑๐ - ๑๓ กุมภาพันธ์ แต่บางครอบครัวก็เริ่มหยุดกันตั้งแต่วันที่ ๙ ซึ่งเป็นวันไหว้แล้ว ประเพณีเขาจะต่างกับบ้านเรามากน้อยเพียงใด ผมก็ไม่แน่ใจนัก ไอ้ตัวผมก็ไม่ได้มีเชื้อสายจีนเสียด้วย แต่เท่าที่ทราบแบบคร่าวๆ ของที่ฮ่องกงนี้ ก่อนวันตรุษจีน หรือวันไหว้ ชาวบ้านจะเริ่มทำความสะอาดบ้านเรือนและติดแผ่นป้ายสีแดงที่เขียนข้อความอันเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวบริเวณหน้าประตูบ้านของตัวเอง โดยคนในครอบครัวก็จะกลับมาร่วมรับประทานอาหารกัน แล้วก็ไปเดินย่อยต่อที่ตลาดขายดอกไม้ (Flower Market) และไปจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่วัด Sik Sik Yuen Wong Tai Sin Temple ในชั่วโมงแรกของตรุษจีน
ส่วนในวันตรุษจีน ก็จะเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้อง และไปวัดหรือศาลเจ้าเพื่อจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และไหว้บรรพบุรุษด้วย และในตอนค่ำก็จะมาร่วมชมการแสดง International Chinese New Year Night Parade. ที่ย่านจิมซาจุ่ย Tsim Tsa Tsui และในวันถัดมา บ้านไหนที่มีลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็จะกลับมายังครอบครัวเดิมเพื่อทานอาหารร่วมกัน และในตอนค่ำก็จะไปร่วมชมการจุด “พลุเฉลิมฉลองปีใหม่จีน” บนอ่าววิกตอเรียด้วย .... ซึ่งนั่นก็คือวันที่ผม เดินทางมาถึงฮ่องกงพอดี
ผมได้มีโอกาสร่วมชมพลุเฉลิมฉลองกับเขาด้วย แต่มันเป็นอะไรที่ สุดยอดมาก ผมออกจากที่พักห่วยๆ ในย่านจิมซาจุ่ย ราว ๕ โมงเย็น เพื่อมาเดินหาจุดตั้งกล้องถ่ายรูปแถวๆ ริมอ่าววิกตอเรีย เดินทะลุห้างสรรพสินค้าโซโก้ ไปทางสวนสาธารณะ Salisbury ทะลุไปยังริมอ่าว จุดที่เรียกว่า Avenue of star ตรงนี้จะมีรูปปั้นหญิงสาวชูคบเพลิง แล้วก็มีพวกรูปปั้นดาราฮ่องกงอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป แต่ผมไม่มีโอกาสได้ถ่ายหรอก ตอนนั้นคนจำนวนมาก นั่งแออัดกันบนทางเดินริมหาดกันเต็มจนแทบไม่มีทางให้เดินเลย ผมก็เลยลัดเลาะผ่าฝูงชนออกไปทางขวามือ ผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง ไปยังแถบท่าเรือสตาร์เฟอร์รี่
บ้าไปแล้ว มองไปทางไหนมีแต่คนๆๆๆๆ เต็มไปหมด จุดที่เป็นบันไดทางขึ้นอาคารถูกล้อมรั้วไม่ให้คนเข้า แต่เว้นไว้สำหรับผู้ที่มีตั๋วเข้าชมเท่านั้นจึงจะเข้าได้ โอ้ ... แล้วเราจะไปทางไหนดีวะเนี่ย
ผมยืนนึกทางเลือกว่าจะอยู่นั่งรอจนถึง ๒ ทุ่มตรงซึ่งเป็นเวลาที่เขาเริ่มจุดพลุดี หรือจะเดินทางต่อดี .... แล้วผมก็ตัดสินใจได้ว่า ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว ............. เดินไปดูบรรยากาศผู้คนดีกว่ามานั่งจ๋องรอดูพลุซึ่งเสียเวลาเปล่าๆ ไปกว่า ๓ ชั่วโมง และการตัดสินใจนั่น ก็เป็นเรื่องที่ผมว่าผมคิดถูกเลยทีเดียว
ผมเดินไปที่ “1881 Heritage” ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี ๒๕๕๓ ซึ่งในอดีตเคยเป็นกองบัญชาการตำรวจน้ำฮ่องกงมาก่อนเมื่อปี ๒๔๒๗ ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นบุกยึดครองเกาะฮ่องกง ก็ได้ใช้ที่นี่เป็นฐานทัพเรือด้วยเช่นกัน โดยทำการบูรณะสถานที่ให้เป็นศูนย์การค้าเชิงอนุรักษ์โบราณสถานไปในตัว จุดนี่ก็เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยี่ยมชมเหมือนกัน และที่สำคัญที่ห้างจะเปลี่ยนธีมการจัดงานเพื่อเข้าสู่เทศกาลไปเรื่อยๆ อย่างเช่นตอนนี้ ที่มีรูปปั้นหมีเทดดี้ขนาดใหญ่ และวางหมีพร้อมอิริยาบถอื่นๆ ไว้บริเวณห้าง
พอผมเดินออกมาก็เห็นว่าตำรวจได้เริ่มปิดถนนกันแล้ว เฮ้ย! ปิดทำไม ก็ไม่ทราบได้ แต่หลังจากที่ผมออกมาจากห้าง Harbour City ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้น ก็ได้เห็นแต่มวลชนจำนวนมหาศาล แห่มุ่งตรงเข้าไปยังริมอ่าวเพื่อชมพลุเฉลิมฉลอง ผมคะเนจากตาแล้วคาดว่าน่าจะราวๆ หลายหมื่นคนเลยทีเดียว คิดถึงประมาณวันที่มีนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์บ้านเรา อารมณ์อย่างนั้นเลย .... ผมหลีกหนีฝูงคน แต่ก็พยายามหาพื้นที่ให้ถ่ายรูปให้ได้ แต่ก็หามีไม่ จนผมต้องหลุดไปอยู่บนถนน Salisbury แถวๆ สถานีรถไฟใต้ดิน จิมซาจุ่ยตะวันออก แล้วก็ได้รูปแบบว่า .... เออ ก็ยังดีวะที่ได้ถ่าย
ผมยืนถ่ายรูป ก็เจอป้าชาวจีนมายิ้ม พูดคุยกับผมเป็นภาษาจีน ไอ้เราก็ได้แต่ยิ้มแหะๆ แล้วคิดในใจว่า หน้าตากูนี่มีส่วนไหนจีนวะ? จนหญิงสาวชาวฟิลิปินส์ ๒ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หันมามองแล้วเริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ ไอ้นี่มันไม่น่าจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ก็เลยถามผมเป็นภาษาอังกฤษว่า มาจากไหน ผมก็บอกว่าประเทศไทย เขาก็เลยหันไปคุยกับป้าคนนั้น คุยอะไรไม่รู้ แต่หลังจากนั้นป้าเขาก็ไม่คุยกับผมอีกเลย ..... ได้แต่ยิ้มแห้งๆ มองหน้ากัน ....
ถามว่า พลุเขาสวยไหม ก็ในระดับนึงครับ บ้านเราที่จุดเฉลิมฉลองในวโรกาสเฉลิมพระชนม์พรรษาในหลวง สวยกว่านี้ แต่สิ่งที่ได้คือบรรยากาศที่ผมไม่เคยได้สัมผัส ทั้งชาวฮ่องกง ชาวจีน ชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานที่นี่ หรือนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ต่างมารวมตัวกัน ซึ่งผมเชื่อว่า เขามีความสุข จากรอยยิ้มบนใบหน้าเขา
แต่ถ้าถามว่า ผมจะมาอีกไหม ... “ขอไม่มาช่วงนี้อีกแล้วกันนะ” ฮ่าๆๆๆ
กลับมาสู่การเดินทางของเราต่อครับ ตอนนี้ผมยังอยู่แถวสถานรถไฟใต้ดิน Shau Kei Wan. ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะฮ่องกง ยังคงตามหาของกินอย่างไม่ลดละ เจอร้านใหญ่ๆ เปิดแต่คนก็รอคิวเยอะแยะไปหมด ไอ้เราจะมามัวเสียเวลาไม่ได้ ต้องหาอะไรที่มันแดกด่วนยัดเข้าไป ลัดเลาะไปเรื่อยๆ เจอตลาด ผมว่ามันเหมือนกึ่งๆ ตลาด คือเขาวางของขายบนถนน แล้วส่วนใหญ่มันคืออาหารสด ทั้งปลาสด สับกันเห็นๆ ผัก ผลไม้ ต่างๆ เห็นแล้วก็พลางนึกถึงบรรยากาศตลาดเช้าหรือตลาดนัดในบ้านเรา
แล้วผมก็ได้ของกินมาครับ ไปเจอร้านหมูย่าง ไปยืนเหล่ๆ เห็นป้ายราคาแล้วก็ชี้เลย อันนี้ประสบการณ์ล้วนๆ ใครที่บอกว่าใช้ภาษาอังกฤษกับคนฮ่องกงได้นี่ ก็อาจจะไม่เสมอไปครับ ผมลองมาแล้วกะร้านในตลาดเนี่ยล่ะ เฮียกำลังยืนสับหมูกรอบอยู่ ผมไปยืนสั่ง แกก็พูดภาษาจีนใส่ งงกันทั้งคู่ ตั้งแต่นั้นผมก็เลยใช้ภาษามือ สะดวกกว่ามาก อะไรที่เราไม่ชัวร์ ไม่ติดป้ายราคา ก็ไม่ต้องไปกินมัน เว้นแต่ไปคุยกับพวกร้านใหญ่ๆ หรือห้าง หรือแท็กซี่ หรือที่ดูภูมิแล้วน่าจะคุยได้ ก็อีกเรื่องนึง
เดินสำรวจตลาดเล็กๆ ก็ไปเจอร้านขายเต้าฮวยร้อน ก็แวะชิมสักหน่อย เต้าฮวยเขาจะมีกลิ่นเต้าหู้ที่ชัดเจนมาก แต่ไม่ได้เหม็นมาก ผมซึ่งไม่ชอบกินเต้าหู้แต่ก็กินมันได้ เขาจะมีน้ำเชื่อมรสขิง กับน้ำตาลรสส้มมาให้ใส่ผสมเวลากินเพื่อเพิ่มรสชาติด้วย เป็นอะไรอีกอย่างที่มาแล้ว น่าลองดูครับ
หาอะไรลองท้องสักพักก็ได้เวลาขึ้นรถเสียที ผมนั่งรถเมล์สาย ๙ จากท่ารถเมล์ ไปยังอุทยานแห่งชาติ Shek O ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮ่องกง ตามแผนที่ที่ผมทำมาคือ ผมจะต้องนั่งรถไปลงตรงป้ายรถเมล์ To Tei Wan ซึ่งเป็นทางขึ้นไปสู่ “Hong Kong Trail sec.8” พูดแบบนี้แล้วจะไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วคุณเชื่อหรือไม่ว่า ที่ฮ่องกงมีเส้นทางเดินป่า เดินเขา จำนวนมากเลยล่ะ อย่างไอ้ที่ผมกำลังจะขึ้นไปก็ถือเป็น “๑ ใน ๘ ช่วงของเส้นทางการเดินป่าบนเกาะฮ่องกง” อย่างเมื่อช่วงเช้าที่ผมไปเกาะลัมม่า นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางการเดินป่าที่ทางการระบุไว้เหมือนกัน
ขณะที่นั่งรถไป ก็ชะเง้อมองรายทางไป ไอ้เรื่องหลงก็กลัว เหมือนตอนขึ้นรถเมล์ไปแปลกถิ่น จะลงตรงไหนว้า กระเป๋าจะบอกเราไหม ไอ้รถเมล์ที่นี่เขาไม่มีกระเป๋า แต่มีแผ่นไฟแสดงอักษรบอกป้ายรถเมล์ถัดไปแทน ผมมองดูรอบๆ เห็นหญิงชายเต็มคันรถ สวมรองเท้าผ้าใบ มีเป้เล็กๆ หนึ่งใบพร้อมขวดน้ำ ในใจก็ว่า เออ คงไม่หลงล่ะ เดี๋ยวคนพวกนี้ก็จะต้องลงพร้อมเราแน่เลย .... แล้วมันก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อถึงป้ายรถเมล์ To Tei Wan เหล่าบรรดานักศึกษา และครอบครัวชาวจีน ก็ได้ลงจากรถกันเพียบ เพื่อเตรียมตัวขึ้นสู่ยอดเขา Shek O หรือทางเดินที่เราเรียกว่า “Dragon's Back” ว่าแต่มันสำคัญอย่างไร ทำไมผมถึงต้องมาล่ะ ... ความจริงแล้วตอนที่เสิร์ชหาข้อมูลการท่องเที่ยว ผมก็ไปเจอว่า ไอ้นี่มันถูกตีพิมพ์ไว้ในนิตยสารไทม์ ฉบับ เอเชีย เมื่อ ๒๒ พฤศจิกายน ปี ๒๕๔๗ ว่าเป็น "ที่สุดแห่งเส้นทางเดินป่าในเมืองแห่งเอเชีย" the Best Urban Hike in Asia. เลยล่ะ ผมก็สงสัย เฮ้ยมันจะสุดยอดอะไรขนาดนั้นวะ ก็เลยใส่ไว้ในโปรแกรมให้ได้มาพิสูจน์กัน
ก่อนผมเดินขึ้นไปได้บรรจงยัดหมูที่ซื้อมาใส่ปาก แล้วเก็บขยะใส่ไว้ในกระเป๋ากล้อง ตอนแรกก็มีความคิดว่า เฮ้ย! หน้าทางเข้ามันคงมีน้ำขายเหมือนอุทยานบ้านเราล่ะว้า แต่ที่เจอจริงๆ คือ ไม่มี ... เอิ่ม .. หนังชีวิตอีกแล้ว ก็เดินมันขึ้นไปอย่างนั้น น้ำเนิ้มไม่มีก็ทนเอา .... ระหว่างที่เดินก็จะเห็นทั้งชายหญิงวัยรุ่น พ่อแม่ลูก คนชรา และคู่รัก มาร่วมเดินขึ้นเขากันอย่างสนุกสนาน ราวกับเป็นการออกกำลังกายชมวิวทิวทัศน์เสียอย่างนั้น ซึ่งทางเดินก็ไม่ได้โหดอะไรมากครับ ในช่วงแรกขึ้นเขาไปก็มีบันไดไม้วางเป็นทางเดิน มองไปรอบๆ ก็จะได้เห็นทะเลจีนใต้ และเมืองด้านล่าง พอขึ้นไปข้างบนสุดก็จะเป็นทางเดินยอดเขา ข้ามจากเขาหนึ่งไปเขาอีกลูกหนึ่ง เสมือนเป็นการเดินชมวิวผ่อนคลายอารมณ์กันดีนัก
จุดที่เป็น “ยอดของ Shek O” จะมีป้ายบอกว่า เรามาถึงจุดสูงสุดแล้วนะ ตรงนี้หากมองไปรอบๆ จะเห็นทิวทัศน์มุมกว้าง เมือง ชายหาด และ เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้ ทำเอาหายเหนื่อยพอสมควร จากนั้นก็จะเป็นทางลง ตอนลงมานี่จะเจอทางสามแพร่ง มีป้ายบอกครับ ว่าจะเลือกไปที่ถนน Shek O หรือจะไปสู่หาด Big Wave เหมือนเวลาเราเล่นเกมคอมพิวเตอร์แล้วต้องเลือกทางไปเลย ไอ้ผมก็ยังห้าวหาญขอยังไม่ลงสู่ถนนใหญ่ แต่เดินไปต่อยังหาดแล้วกัน
ระยะทางบน Dragon's Back จริงๆ แล้วน่าจะไม่กี่กิโลครับ แต่ระยะทางรวมในเส้นทางฮ่องกงที่ ๘ นี่ถ้าไปถึงหาด Big Wave มันรวมกว่า ๘.๕ กิโลเมตรเลยนะ ในตอนเดินก็ยังไม่รู้ว่าเดินมาแล้วเท่าไหร่เหมือนกัน พอผ่านทางแยกบรรยากาศจะแตกต่างกับโซนที่แล้วเลยครับ เป็นทางเดินแคบๆ เลาะอ้อมเขาไปเรื่อยๆ ผ่านป่าไม้ เถาวัลย์ ไม้ล้ม ความรู้สึกในตอนนี้ผมกำลังนึกถึงหลายๆ ครั้งที่ไปเดินป่ากับมิตรสหายพี่น้อง มันใช่มาก เงียบสงบ มีเสียงนกร้อง กลิ่นไอต้นไม้ เพียงแต่คราวนี้ผมอยู่เพียงลำพัง รอบข้างมีแต่ป่า และผม นานๆ จะมีมนุษย์เดินสวนโผล่มาสักคนหนึ่ง
ผมก็ยังคงเดินต่อไป ในสภาพที่รองเท้าแตะสีเหลืองที่ผมใส่มามันเริ่มทรยศกัดขอบเท้าของผมอีกครั้ง ความเหนื่อย ความล้าจากเมื่อเช้าที่ไปสำรวจโลกบนเกาะลัมม่า ... เวลานี้ผมได้แต่ขำในใจว่า กูนี่มันบ้าจริงๆ ผมทนเดินแบบกะโพลกกะเพลก มาจนถึงทางราบ ... ทางราบ เฮ้ยเราจะถึงที่หมายแล้ว ..... แต่เปล่าเลย ผมเจอทางแยกอีกแล้ว เอาล่ะสิ นี่กูอยู่ที่ไหนวะ ผมรำพึงในใจพร้อมเอาแผนที่ที่ผมทำขึ้นมาดู จุดที่ผมอยู่คือทางแยกระหว่างปากทางเข้าอุทยาน กับทางที่จะเดินไปสู่หาด Big Wave. อีกราว ๒ กิโล ผมมองสภาพตัวเองแล้วอยากจะร้องไห้ปนขำ ใจก็นึกเสียดายอยากจะไปให้ถึงชายหาด ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้มีอะไรวิเศษวิโส เพียงแค่มันเหมือนกับว่า เราได้เดินทางจนถึงจุดหมายที่วางเอาไว้แล้ว ....
แต่ในเมื่อสังขารอันไม่พร้อม ผมจึงต้องจำใจเดินออกจากอุทยาน ไปรอรถเมล์สาย ๙ บนถนน Shek O เพื่อถนอมร่างกายไว้สู้กับภารกิจที่เหลืออีก ๖ วัน ในฮ่องกงและมาเก๊า ....
เอาจริงๆ ส่วนตัวแล้ว ไม่ได้คาดหวังอะไรกับการเดินทางมาเที่ยว Dragon's Back เนื่องจากว่า ตอนที่เห็นรูปที่ไปเสิร์ชในอินเตอร์เน็ทมันมีไม่มากมาย ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากเห็นเฉยๆ ว่า มันเป็นยังไงน้อ ... พอได้มาสัมผัสจริงๆ ก็ต้องบอกว่า ... ถ้ามาเที่ยวแล้วมีเวลาเหลือ อยากลองสัมผัสวิถีคนเมืองที่หนีความวุ่นวายมาพักผ่อนบนธรรมชาติ ในความย้อนแย้งของป่าคอนกรีต ก็ต้องมาลองดูครับ แต่ถ้าเอาความสวยงามของธรรมชาติ มันอาจจะไม่สวยเหมือนบ้านเรามาก แต่มันก็มีเสน่ห์อยู่ในตัวพอสมควร
๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ : หลังจากที่ผมเดินทางออกจากเกาะ Lamma ด้วยเรือโดยสารจากฝั่ง Sok Kwu Wan เป็นเวลากว่า ๔๕ นาที กลับมายังท่าเรือย่านเซ็นทรัล บนเกาะฮ่องกงอีกครั้ง ผมก็เริ่มเดินทางต่อในทันทีเมื่อเรือจอดเทียบท่า
และจุดมุ่งหมายของผมก็คือ แผ่นหลังมังกร หรือ “Dragon's Back”
ผมเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีเซ็นทรัล ไปลงที่สถานี Shau Kei Wan. เพื่อนั่งรถประจำทางเข้าไปในเขต “อุทยานแห่งชาติ Shek O.” ระหว่างที่ผมเดินออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน ผมก็เดินหาอะไรกินไปรอบๆ บริเวณ ตอนแรกตั้งใจไว้ว่า เมื่อมาถึงจะไปกินซาลาเปาตามที่ระบุเอาไว้ในไกด์บุ๊กส่วนตัวที่จัดทำขึ้นมาใหม่ แต่ปรากฏว่า เมื่อไปถึงร้านปิด และร้านอื่นๆ ใกล้เคียงก็ปิด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะมันอยู่ในช่วงฉลองตรุษจีนของบ้านเขานั่นเอง
พูดถึงตรุษจีนก็ขอย้อนไปถึงเมื่อวานนี้ (๑๑ ก.พ.) ที่บินมาถึงฮ่องกงสักหน่อย “เทศกาลตรุษจีน” ของที่นี่ถ้าเปรียบกับบ้านเราก็คงเหมือนกับช่วงสงกรานต์ ที่คนต่างกลับบ้านไปไหว้พ่อแม่ปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษ ในแผ่นดินจีน ซึ่งประเพณีแบบนี้ก็ไม่ต่างกับบ้านเรานักเท่าไหร่ แต่ในมุมกลับกัน นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ ก็แห่มาเที่ยวในฮ่องกงอย่างเยอะแยะเช่นเดียวกัน
ในปีนี้วันหยุดราชการของที่ฮ่องกงเริ่มหยุดกันตั้งแต่วันที่ ๑๐ - ๑๓ กุมภาพันธ์ แต่บางครอบครัวก็เริ่มหยุดกันตั้งแต่วันที่ ๙ ซึ่งเป็นวันไหว้แล้ว ประเพณีเขาจะต่างกับบ้านเรามากน้อยเพียงใด ผมก็ไม่แน่ใจนัก ไอ้ตัวผมก็ไม่ได้มีเชื้อสายจีนเสียด้วย แต่เท่าที่ทราบแบบคร่าวๆ ของที่ฮ่องกงนี้ ก่อนวันตรุษจีน หรือวันไหว้ ชาวบ้านจะเริ่มทำความสะอาดบ้านเรือนและติดแผ่นป้ายสีแดงที่เขียนข้อความอันเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัวบริเวณหน้าประตูบ้านของตัวเอง โดยคนในครอบครัวก็จะกลับมาร่วมรับประทานอาหารกัน แล้วก็ไปเดินย่อยต่อที่ตลาดขายดอกไม้ (Flower Market) และไปจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่วัด Sik Sik Yuen Wong Tai Sin Temple ในชั่วโมงแรกของตรุษจีน
ส่วนในวันตรุษจีน ก็จะเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้อง และไปวัดหรือศาลเจ้าเพื่อจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และไหว้บรรพบุรุษด้วย และในตอนค่ำก็จะมาร่วมชมการแสดง International Chinese New Year Night Parade. ที่ย่านจิมซาจุ่ย Tsim Tsa Tsui และในวันถัดมา บ้านไหนที่มีลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วก็จะกลับมายังครอบครัวเดิมเพื่อทานอาหารร่วมกัน และในตอนค่ำก็จะไปร่วมชมการจุด “พลุเฉลิมฉลองปีใหม่จีน” บนอ่าววิกตอเรียด้วย .... ซึ่งนั่นก็คือวันที่ผม เดินทางมาถึงฮ่องกงพอดี
ผมได้มีโอกาสร่วมชมพลุเฉลิมฉลองกับเขาด้วย แต่มันเป็นอะไรที่ สุดยอดมาก ผมออกจากที่พักห่วยๆ ในย่านจิมซาจุ่ย ราว ๕ โมงเย็น เพื่อมาเดินหาจุดตั้งกล้องถ่ายรูปแถวๆ ริมอ่าววิกตอเรีย เดินทะลุห้างสรรพสินค้าโซโก้ ไปทางสวนสาธารณะ Salisbury ทะลุไปยังริมอ่าว จุดที่เรียกว่า Avenue of star ตรงนี้จะมีรูปปั้นหญิงสาวชูคบเพลิง แล้วก็มีพวกรูปปั้นดาราฮ่องกงอยู่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป แต่ผมไม่มีโอกาสได้ถ่ายหรอก ตอนนั้นคนจำนวนมาก นั่งแออัดกันบนทางเดินริมหาดกันเต็มจนแทบไม่มีทางให้เดินเลย ผมก็เลยลัดเลาะผ่าฝูงชนออกไปทางขวามือ ผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์ศิลปะฮ่องกง ไปยังแถบท่าเรือสตาร์เฟอร์รี่
บ้าไปแล้ว มองไปทางไหนมีแต่คนๆๆๆๆ เต็มไปหมด จุดที่เป็นบันไดทางขึ้นอาคารถูกล้อมรั้วไม่ให้คนเข้า แต่เว้นไว้สำหรับผู้ที่มีตั๋วเข้าชมเท่านั้นจึงจะเข้าได้ โอ้ ... แล้วเราจะไปทางไหนดีวะเนี่ย
ผมยืนนึกทางเลือกว่าจะอยู่นั่งรอจนถึง ๒ ทุ่มตรงซึ่งเป็นเวลาที่เขาเริ่มจุดพลุดี หรือจะเดินทางต่อดี .... แล้วผมก็ตัดสินใจได้ว่า ไหนๆ ก็ได้มาแล้ว ............. เดินไปดูบรรยากาศผู้คนดีกว่ามานั่งจ๋องรอดูพลุซึ่งเสียเวลาเปล่าๆ ไปกว่า ๓ ชั่วโมง และการตัดสินใจนั่น ก็เป็นเรื่องที่ผมว่าผมคิดถูกเลยทีเดียว
ผมเดินไปที่ “1881 Heritage” ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี ๒๕๕๓ ซึ่งในอดีตเคยเป็นกองบัญชาการตำรวจน้ำฮ่องกงมาก่อนเมื่อปี ๒๔๒๗ ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่นบุกยึดครองเกาะฮ่องกง ก็ได้ใช้ที่นี่เป็นฐานทัพเรือด้วยเช่นกัน โดยทำการบูรณะสถานที่ให้เป็นศูนย์การค้าเชิงอนุรักษ์โบราณสถานไปในตัว จุดนี่ก็เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเยี่ยมชมเหมือนกัน และที่สำคัญที่ห้างจะเปลี่ยนธีมการจัดงานเพื่อเข้าสู่เทศกาลไปเรื่อยๆ อย่างเช่นตอนนี้ ที่มีรูปปั้นหมีเทดดี้ขนาดใหญ่ และวางหมีพร้อมอิริยาบถอื่นๆ ไว้บริเวณห้าง
พอผมเดินออกมาก็เห็นว่าตำรวจได้เริ่มปิดถนนกันแล้ว เฮ้ย! ปิดทำไม ก็ไม่ทราบได้ แต่หลังจากที่ผมออกมาจากห้าง Harbour City ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้น ก็ได้เห็นแต่มวลชนจำนวนมหาศาล แห่มุ่งตรงเข้าไปยังริมอ่าวเพื่อชมพลุเฉลิมฉลอง ผมคะเนจากตาแล้วคาดว่าน่าจะราวๆ หลายหมื่นคนเลยทีเดียว คิดถึงประมาณวันที่มีนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์บ้านเรา อารมณ์อย่างนั้นเลย .... ผมหลีกหนีฝูงคน แต่ก็พยายามหาพื้นที่ให้ถ่ายรูปให้ได้ แต่ก็หามีไม่ จนผมต้องหลุดไปอยู่บนถนน Salisbury แถวๆ สถานีรถไฟใต้ดิน จิมซาจุ่ยตะวันออก แล้วก็ได้รูปแบบว่า .... เออ ก็ยังดีวะที่ได้ถ่าย
ผมยืนถ่ายรูป ก็เจอป้าชาวจีนมายิ้ม พูดคุยกับผมเป็นภาษาจีน ไอ้เราก็ได้แต่ยิ้มแหะๆ แล้วคิดในใจว่า หน้าตากูนี่มีส่วนไหนจีนวะ? จนหญิงสาวชาวฟิลิปินส์ ๒ คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็หันมามองแล้วเริ่มสงสัยว่า เอ๊ะ ไอ้นี่มันไม่น่าจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง ก็เลยถามผมเป็นภาษาอังกฤษว่า มาจากไหน ผมก็บอกว่าประเทศไทย เขาก็เลยหันไปคุยกับป้าคนนั้น คุยอะไรไม่รู้ แต่หลังจากนั้นป้าเขาก็ไม่คุยกับผมอีกเลย ..... ได้แต่ยิ้มแห้งๆ มองหน้ากัน ....
ถามว่า พลุเขาสวยไหม ก็ในระดับนึงครับ บ้านเราที่จุดเฉลิมฉลองในวโรกาสเฉลิมพระชนม์พรรษาในหลวง สวยกว่านี้ แต่สิ่งที่ได้คือบรรยากาศที่ผมไม่เคยได้สัมผัส ทั้งชาวฮ่องกง ชาวจีน ชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานที่นี่ หรือนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ต่างมารวมตัวกัน ซึ่งผมเชื่อว่า เขามีความสุข จากรอยยิ้มบนใบหน้าเขา
แต่ถ้าถามว่า ผมจะมาอีกไหม ... “ขอไม่มาช่วงนี้อีกแล้วกันนะ” ฮ่าๆๆๆ
กลับมาสู่การเดินทางของเราต่อครับ ตอนนี้ผมยังอยู่แถวสถานรถไฟใต้ดิน Shau Kei Wan. ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะฮ่องกง ยังคงตามหาของกินอย่างไม่ลดละ เจอร้านใหญ่ๆ เปิดแต่คนก็รอคิวเยอะแยะไปหมด ไอ้เราจะมามัวเสียเวลาไม่ได้ ต้องหาอะไรที่มันแดกด่วนยัดเข้าไป ลัดเลาะไปเรื่อยๆ เจอตลาด ผมว่ามันเหมือนกึ่งๆ ตลาด คือเขาวางของขายบนถนน แล้วส่วนใหญ่มันคืออาหารสด ทั้งปลาสด สับกันเห็นๆ ผัก ผลไม้ ต่างๆ เห็นแล้วก็พลางนึกถึงบรรยากาศตลาดเช้าหรือตลาดนัดในบ้านเรา
แล้วผมก็ได้ของกินมาครับ ไปเจอร้านหมูย่าง ไปยืนเหล่ๆ เห็นป้ายราคาแล้วก็ชี้เลย อันนี้ประสบการณ์ล้วนๆ ใครที่บอกว่าใช้ภาษาอังกฤษกับคนฮ่องกงได้นี่ ก็อาจจะไม่เสมอไปครับ ผมลองมาแล้วกะร้านในตลาดเนี่ยล่ะ เฮียกำลังยืนสับหมูกรอบอยู่ ผมไปยืนสั่ง แกก็พูดภาษาจีนใส่ งงกันทั้งคู่ ตั้งแต่นั้นผมก็เลยใช้ภาษามือ สะดวกกว่ามาก อะไรที่เราไม่ชัวร์ ไม่ติดป้ายราคา ก็ไม่ต้องไปกินมัน เว้นแต่ไปคุยกับพวกร้านใหญ่ๆ หรือห้าง หรือแท็กซี่ หรือที่ดูภูมิแล้วน่าจะคุยได้ ก็อีกเรื่องนึง
เดินสำรวจตลาดเล็กๆ ก็ไปเจอร้านขายเต้าฮวยร้อน ก็แวะชิมสักหน่อย เต้าฮวยเขาจะมีกลิ่นเต้าหู้ที่ชัดเจนมาก แต่ไม่ได้เหม็นมาก ผมซึ่งไม่ชอบกินเต้าหู้แต่ก็กินมันได้ เขาจะมีน้ำเชื่อมรสขิง กับน้ำตาลรสส้มมาให้ใส่ผสมเวลากินเพื่อเพิ่มรสชาติด้วย เป็นอะไรอีกอย่างที่มาแล้ว น่าลองดูครับ
หาอะไรลองท้องสักพักก็ได้เวลาขึ้นรถเสียที ผมนั่งรถเมล์สาย ๙ จากท่ารถเมล์ ไปยังอุทยานแห่งชาติ Shek O ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะฮ่องกง ตามแผนที่ที่ผมทำมาคือ ผมจะต้องนั่งรถไปลงตรงป้ายรถเมล์ To Tei Wan ซึ่งเป็นทางขึ้นไปสู่ “Hong Kong Trail sec.8” พูดแบบนี้แล้วจะไม่เข้าใจ จริงๆ แล้วคุณเชื่อหรือไม่ว่า ที่ฮ่องกงมีเส้นทางเดินป่า เดินเขา จำนวนมากเลยล่ะ อย่างไอ้ที่ผมกำลังจะขึ้นไปก็ถือเป็น “๑ ใน ๘ ช่วงของเส้นทางการเดินป่าบนเกาะฮ่องกง” อย่างเมื่อช่วงเช้าที่ผมไปเกาะลัมม่า นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางการเดินป่าที่ทางการระบุไว้เหมือนกัน
ขณะที่นั่งรถไป ก็ชะเง้อมองรายทางไป ไอ้เรื่องหลงก็กลัว เหมือนตอนขึ้นรถเมล์ไปแปลกถิ่น จะลงตรงไหนว้า กระเป๋าจะบอกเราไหม ไอ้รถเมล์ที่นี่เขาไม่มีกระเป๋า แต่มีแผ่นไฟแสดงอักษรบอกป้ายรถเมล์ถัดไปแทน ผมมองดูรอบๆ เห็นหญิงชายเต็มคันรถ สวมรองเท้าผ้าใบ มีเป้เล็กๆ หนึ่งใบพร้อมขวดน้ำ ในใจก็ว่า เออ คงไม่หลงล่ะ เดี๋ยวคนพวกนี้ก็จะต้องลงพร้อมเราแน่เลย .... แล้วมันก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อถึงป้ายรถเมล์ To Tei Wan เหล่าบรรดานักศึกษา และครอบครัวชาวจีน ก็ได้ลงจากรถกันเพียบ เพื่อเตรียมตัวขึ้นสู่ยอดเขา Shek O หรือทางเดินที่เราเรียกว่า “Dragon's Back” ว่าแต่มันสำคัญอย่างไร ทำไมผมถึงต้องมาล่ะ ... ความจริงแล้วตอนที่เสิร์ชหาข้อมูลการท่องเที่ยว ผมก็ไปเจอว่า ไอ้นี่มันถูกตีพิมพ์ไว้ในนิตยสารไทม์ ฉบับ เอเชีย เมื่อ ๒๒ พฤศจิกายน ปี ๒๕๔๗ ว่าเป็น "ที่สุดแห่งเส้นทางเดินป่าในเมืองแห่งเอเชีย" the Best Urban Hike in Asia. เลยล่ะ ผมก็สงสัย เฮ้ยมันจะสุดยอดอะไรขนาดนั้นวะ ก็เลยใส่ไว้ในโปรแกรมให้ได้มาพิสูจน์กัน
ก่อนผมเดินขึ้นไปได้บรรจงยัดหมูที่ซื้อมาใส่ปาก แล้วเก็บขยะใส่ไว้ในกระเป๋ากล้อง ตอนแรกก็มีความคิดว่า เฮ้ย! หน้าทางเข้ามันคงมีน้ำขายเหมือนอุทยานบ้านเราล่ะว้า แต่ที่เจอจริงๆ คือ ไม่มี ... เอิ่ม .. หนังชีวิตอีกแล้ว ก็เดินมันขึ้นไปอย่างนั้น น้ำเนิ้มไม่มีก็ทนเอา .... ระหว่างที่เดินก็จะเห็นทั้งชายหญิงวัยรุ่น พ่อแม่ลูก คนชรา และคู่รัก มาร่วมเดินขึ้นเขากันอย่างสนุกสนาน ราวกับเป็นการออกกำลังกายชมวิวทิวทัศน์เสียอย่างนั้น ซึ่งทางเดินก็ไม่ได้โหดอะไรมากครับ ในช่วงแรกขึ้นเขาไปก็มีบันไดไม้วางเป็นทางเดิน มองไปรอบๆ ก็จะได้เห็นทะเลจีนใต้ และเมืองด้านล่าง พอขึ้นไปข้างบนสุดก็จะเป็นทางเดินยอดเขา ข้ามจากเขาหนึ่งไปเขาอีกลูกหนึ่ง เสมือนเป็นการเดินชมวิวผ่อนคลายอารมณ์กันดีนัก
จุดที่เป็น “ยอดของ Shek O” จะมีป้ายบอกว่า เรามาถึงจุดสูงสุดแล้วนะ ตรงนี้หากมองไปรอบๆ จะเห็นทิวทัศน์มุมกว้าง เมือง ชายหาด และ เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้ ทำเอาหายเหนื่อยพอสมควร จากนั้นก็จะเป็นทางลง ตอนลงมานี่จะเจอทางสามแพร่ง มีป้ายบอกครับ ว่าจะเลือกไปที่ถนน Shek O หรือจะไปสู่หาด Big Wave เหมือนเวลาเราเล่นเกมคอมพิวเตอร์แล้วต้องเลือกทางไปเลย ไอ้ผมก็ยังห้าวหาญขอยังไม่ลงสู่ถนนใหญ่ แต่เดินไปต่อยังหาดแล้วกัน
ระยะทางบน Dragon's Back จริงๆ แล้วน่าจะไม่กี่กิโลครับ แต่ระยะทางรวมในเส้นทางฮ่องกงที่ ๘ นี่ถ้าไปถึงหาด Big Wave มันรวมกว่า ๘.๕ กิโลเมตรเลยนะ ในตอนเดินก็ยังไม่รู้ว่าเดินมาแล้วเท่าไหร่เหมือนกัน พอผ่านทางแยกบรรยากาศจะแตกต่างกับโซนที่แล้วเลยครับ เป็นทางเดินแคบๆ เลาะอ้อมเขาไปเรื่อยๆ ผ่านป่าไม้ เถาวัลย์ ไม้ล้ม ความรู้สึกในตอนนี้ผมกำลังนึกถึงหลายๆ ครั้งที่ไปเดินป่ากับมิตรสหายพี่น้อง มันใช่มาก เงียบสงบ มีเสียงนกร้อง กลิ่นไอต้นไม้ เพียงแต่คราวนี้ผมอยู่เพียงลำพัง รอบข้างมีแต่ป่า และผม นานๆ จะมีมนุษย์เดินสวนโผล่มาสักคนหนึ่ง
ผมก็ยังคงเดินต่อไป ในสภาพที่รองเท้าแตะสีเหลืองที่ผมใส่มามันเริ่มทรยศกัดขอบเท้าของผมอีกครั้ง ความเหนื่อย ความล้าจากเมื่อเช้าที่ไปสำรวจโลกบนเกาะลัมม่า ... เวลานี้ผมได้แต่ขำในใจว่า กูนี่มันบ้าจริงๆ ผมทนเดินแบบกะโพลกกะเพลก มาจนถึงทางราบ ... ทางราบ เฮ้ยเราจะถึงที่หมายแล้ว ..... แต่เปล่าเลย ผมเจอทางแยกอีกแล้ว เอาล่ะสิ นี่กูอยู่ที่ไหนวะ ผมรำพึงในใจพร้อมเอาแผนที่ที่ผมทำขึ้นมาดู จุดที่ผมอยู่คือทางแยกระหว่างปากทางเข้าอุทยาน กับทางที่จะเดินไปสู่หาด Big Wave. อีกราว ๒ กิโล ผมมองสภาพตัวเองแล้วอยากจะร้องไห้ปนขำ ใจก็นึกเสียดายอยากจะไปให้ถึงชายหาด ซึ่งจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้มีอะไรวิเศษวิโส เพียงแค่มันเหมือนกับว่า เราได้เดินทางจนถึงจุดหมายที่วางเอาไว้แล้ว ....
แต่ในเมื่อสังขารอันไม่พร้อม ผมจึงต้องจำใจเดินออกจากอุทยาน ไปรอรถเมล์สาย ๙ บนถนน Shek O เพื่อถนอมร่างกายไว้สู้กับภารกิจที่เหลืออีก ๖ วัน ในฮ่องกงและมาเก๊า ....
เอาจริงๆ ส่วนตัวแล้ว ไม่ได้คาดหวังอะไรกับการเดินทางมาเที่ยว Dragon's Back เนื่องจากว่า ตอนที่เห็นรูปที่ไปเสิร์ชในอินเตอร์เน็ทมันมีไม่มากมาย ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก แค่อยากเห็นเฉยๆ ว่า มันเป็นยังไงน้อ ... พอได้มาสัมผัสจริงๆ ก็ต้องบอกว่า ... ถ้ามาเที่ยวแล้วมีเวลาเหลือ อยากลองสัมผัสวิถีคนเมืองที่หนีความวุ่นวายมาพักผ่อนบนธรรมชาติ ในความย้อนแย้งของป่าคอนกรีต ก็ต้องมาลองดูครับ แต่ถ้าเอาความสวยงามของธรรมชาติ มันอาจจะไม่สวยเหมือนบ้านเรามาก แต่มันก็มีเสน่ห์อยู่ในตัวพอสมควร