xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ครม.ยิ่งลักษณ์ 5 “บิ๊กปู” ควบกลาโหม เกมเด้ง “บิ๊กตู่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหมนำผู้บัญชาการเหล่าทัพเข้าพบ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-อลังการงานสร้างทีเดียวสำหรับ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 5” ที่มีการปรับใหญ่ รวดเดียว 17 ตำแหน่ง 14 กระทรวง แต่ดูเหมือนการพิจารณา “ปรับออก” และ “แต่งตั้งใหม่” ในครั้งนี้จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผลงานหรือความรู้ความสามารถ แต่เป็นเรื่องของการวางหมากเกมทางการเมืองเป็นหลัก ด้วยกระแสนิยมที่ตกต่ำจากความล้มเหลวในการบริหารงานในการ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเหตุรุนแรงใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงปัญหาการคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารมหาศาล ทั้งจากโครงการรับจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการน้ำ และอีกสารพัดโครงการที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำมาหากินโดยเฉพาะ จึงทำให้ นายใหญ่แห่งดูไบ สั่งการให้เร่งปรับ ครม.ใหม่ เพื่อล้างภาพความล้มเหลว และเพื่อให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาลเพื่อไทยพยายามที่จะแก้ไขปัญหา

แต่หากพินิจพิเคราะห์ถึงคนเก่าที่ออกไป และคนใหม่ที่เข้ามาแล้ว จะเห็นว่าบางคนโดนปรับออกเพื่อเป็นแพะบูชายันต์ในโครงการรับจำนำข้าว ชนิดเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แต่เอากระดูกมาแขวนคอ ขณะที่อีกหลายคนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีเพราะได้รับการปูนบำเหน็จความดีความชอบที่เคยทำคุณูปการให้แก่คนในตระกูลชินวัตรและจงรักภักดีต่อระบอบทักษิณ และบางคนก็ได้รับมอบหมายในเข้ามาปฏิบัติภารกิจเพื่อผลทางการเมืองบางอย่าง !!

ฉะนั้นในทีนี้จึงขอสาวไส้ฉายภาพเฉพาะบางตำแหน่งที่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง และมีเป้าหมายทางการเมืองที่น่าจับตาเท่านั้น

“นายกฯปู” คร่อมกลาโหม เกมเด้ง “บิ๊กตู่”

ตำแหน่งแรกที่มิอาจมองข้ามไปได้ในการปรับ ครม.ครั้งนี้ก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่ง นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับคำสั่งจาก 'คนไกล' ให้นั่งคร่อมเก้าอี้นี้โดยเฉพาะ เพราะนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของกองทัพไทยที่มี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้หญิง ซึ่งงานนี้ทำให้บรรดาแม่ทัพนายกองพากันประหวั่นใจ แต่มิใช่เพราะเกรงว่านายกฯจะไม่มีความรู้หรือประสีประสาด้านความมั่นคง เพียงแต่กลัวว่านายกฯยิ่งลักษณ์จะสับสน เพราะลำพังโพยจากสำนักนายกฯยังอ่านผิดอ่านถูก นี่ต้องรับผิดชอบถึง 2 กระทรวง คงวายป่วงล่ะทีนี้ !!

ว่ากันว่าเป้าหมายในการให้นายกฯนั่งคร่อมกลาโหมนั้น มี 2 ประการคือ 1.เพื่อกระชับสัมพันธ์กับบิ๊กๆ ในกองทัพ เพื่อให้ช่วยหนุนรัฐบาลในช่วงขาลง หรืออย่างน้อยก็ไม่เคลื่อนกำลังออกมาปฏิวัติรัฐประหารในช่วงที่สถานการณ์การเมืองสุกงอม ประการที่ 2 เพื่อให้ง่ายต่อการ “ล้วงลูก” ในการแต่งตั้งโยกย้าย ที่จะมาถึงในเดือน ต.ค.นี้ โดยหวังใช้ลูกอ้อนของอิสตรีสยบแรงต้านของบรรดาบิ๊กในเหล่าทัพที่อาจไม่พอใจกับการปูนบำเหน็จให้ทหารแตงโม เพราะงานนี้เชื่อว่าแค่ชม้ายชายตาบรรดาแม่ทัพก็ใจละลายยอมให้ “ล้วง”

แน่นอน ตำแหน่งสำคัญที่เป็นเป้าหมายของการ “ล้วง” อันดับแรกก็คือ ผู้บัญชาการทหารบก !!

ทั้งนี้ อย่าลืมข่าวการนั่งควบเก้าอี้ รมว.กลาโหม ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นมีมาตั้งแต่ครั้งปรับ ครม.ปู 4 คราวที่ผ่านมา โดยครั้งนั้นมีกระแสข่าวว่า 'พี่แม้ว' จะให้ 'น้องปู' นั่งควบตำแหน่งนี้ โดยมีเพื่อนรัก ตท.10 (เตรียมทหารรุ่น 10) “โอ๋เล็ก” พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต ว่าที่ “พ่อตา” ของ “ลูกโอ๊ค” เข้ามานั่งเป็น รมช.กลาโหม เพื่อปฏิบัติการล้างไผ่ไล่เช็กบิลสาย “บูรพาพยัคฆ์” และส่งเด็กในคาถาเข้ามาทำงานแทน

แน่นอนว่าคนแรกที่ต้องถูกล็อคเป้ายิงก็คือผู้บัญชาการทหารบกจากรุ่น ตท.12 พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา แม้ที่ผ่านมาบิ๊กตู่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่งนี้ไว้ก็ตาม เพราะเมื่อ ผบ.ทบ. เป็นคนของรัฐบาล นอกจากจะรับประกันว่าจะไม่ถูกปฏิวัติรัฐประหารเช่นครั้ง 19 ก.ย.49 แล้ว การจะเข้าไปล้วงลูกในการแต่งตั้งโยกย้ายต่างๆ ก็ง่ายราวพลิกฝ่ามือ

ซึ่งแม้ ครม.ปู 5 จะไม่มีชื่อ พล.อ.พฤณท์ แต่ปฏิบัติการโค่น ผบ.ทบ.ก็ยังคงเดินหน้าต่อและมีสัญญาณอย่างชัดเจน โดยมีการแต่งตั้ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา มาเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม อีก 1 ตำแหน่ง จากเดิมที่มีแค่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเท่านั้น เพราะการตั้ง รมช.กลาโหมจะส่งผลให้สัดส่วนคณะกรรมการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ในส่วนของนักการเมืองเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกับกรรมการจากเหล่าทัพที่เป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาลแล้วอำนาจชี้ขาดในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับสูงจะไปไหนเสีย

ทั้งนี้แว่วว่า บิ๊กตู่จะถูกเตะจากเก้าอี้ ทบ.1 ไปนั่งในตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายเดือนตุลาคมนี้ เพราะช่วงเวลาดังกล่าวมีตำแหน่งว่างที่ลงล็อคพอดี เนื่องจาก “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน 'ตท.11' ปลัดกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบัน จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย. นี้ ทำให้ตำแหน่งปลัดกลาโหมว่างลง พร้อมกันนั้นก็จะโยก “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร 'ตท.12' ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ที่จะเกษียณอายุราชการปี 2557 เช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ไปนั่งเก้าอี้ปลัดกลาโหมและให้ พล.อ.ประยุทธ์มานั่งเก้าอี้ ผบ.สส.แทน หรืออีกแนวทางหนึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการย้าย พล.อ.ประยุทธ์ข้ามไปเป็น “ปลัดกลาโหม” เลยก็ได้

นอกจากนั้นยังมีข่าวลือหนาหูว่า ปฏิบัติการเลื่อยขาบิ๊กตู่ครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของ “ตท.13” กับ “ฝ่ายการเมือง” ที่ต้องการกำจัด “ตท.12” ให้พ้นจากตำแหน่งสำคัญ พร้อมกันนั้นยังพยายามสกัดทหารเสือราชินีแคนดิเดตจาก “ตท.14” ไม่ให้ขึ้นมาเป็นใหญ่ด้วย

เพราะหากปล่อยให้ พล.อ.ประยุทธ์นั่งในเก้าอี้ ผบ.ทบ. ไปจนเกษียณอายุราชการในปี 2557 แน่นอนว่าแคนดิเดตที่จะมารับตำแหน่ง ผบ.ทบ. คนต่อไปแบบไร้คู่แข่งก็คือ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ตท.14 เสธ.ทบ. นายทหารสาย 'ทหารเสือราชินี' ที่จะเกษียณอายุราชการปี 2558

แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ หลุดจากตำแหน่ง ผบ.ทบ.ในตอนนี้ จะมีนายทหารหลายคนที่มีโอกาสขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่ โดยเฉพาะ “บิ๊กอ๋อย” พล.อ.จิระเดช โมกขะสมิต 'ตท.13' ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก (ผช. ผบ.ทบ.) นายทหารสาย 'วงศ์เทวัญ' ที่จะเกษียณอายุราชการในปี 2557 ซึ่งมีสายสัมพันธ์แนบแน่น พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่อยู่รอบตัว พล.อ.อ.สุกำพลด้วย นอกจากนั้นยังมี 'บิ๊กใหญ่' พล.อ.มล ประสบชัย เกษมสันต์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม 'ตท.13' ซึ่งจะเกษียณในปี 2558 มือขวาของ 'พล.อ.อ.สุกำพล' ที่มีผลงานโดดเด่นจากการเล่นงาน 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' ผู้นำฝ่ายค้าน ในคดีหลบเลี่ยงการเข้ารับราชการทหาร

เมื่อสัญญาณออกมาชัดเจนขนาดนี้ บิ๊กตู่จึงก้นร้อนนั่งไม่ติด ถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่า.... “ จะล้วงไหน แล้วจะล้วงได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่า เขาปรับย้ายอย่างไร การปรับย้ายทุกครั้งมี พ.ร.บ.กลาโหมอยู่ คือ ต้องมีการประชุมหารือกันในระหว่างเหล่าทัพและต้องมีความเห็นชอบร่วมกัน ที่ผ่านมาไม่มีใครมาล้วงได้ เพราะหน้าที่กระทรวงต้องรบกับกับอริราชศัตรู ดังนั้นการจะตั้งคนขึ้นมาทำหน้าที่นี้ถือว่ามีความสำคัญ จึงต้องมี พ.ร.บ.กลาโหมขึ้นมา เพื่อให้การคัดเลือกเกิดความเป็นธรรม ถ้าอะไรที่ไม่ชอบธรรม หรือไม่ถูกต้อง เหล่าทัพคงไม่ทำตาม เพราะมี พ.ร.บ.กลาโหมอยู่”

'เบญจา' รมช.คลัง มือเป่าคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชิน

อีกคนที่น่าจับตาคือ นางเบญจา หลุยเจริญ ซึ่งเพิ่งได้รับการปูนบำเหน็จให้นั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเธอเป็นสายตรง “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” และปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่มีคุณูปการกับตระกูลชินวัตร โดยในสมัยที่นางเบญจา ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร เคยตกเป็นข่าวดังและถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกรณี ที่เรื่องภาษีหุ้น บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ ชินคอร์ป ที่เข้าซื้อขายหุ้นนอกตลาด ซึ่งเธอระบุว่า “ไม่ต้องเสียภาษี” และแม้จะถูกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เรียกมาสอบสวนกี่ครั้งก็ตาม เธอก็ยังยืนยันว่า “การซื้อ-ขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่นของครอบครัวชินวัตร ทั้งกรณีซุกหุ้นชินฯ 1 และซุกหุ้นชินฯ 2 วินิจฉัยอย่างไรก็ไม่ต้องเสียภาษี” สุดท้ายกรมสรรพากรจึงต้องยุติการดำเนินคดีซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ทุกกรณี ถือเป็นอันปิดตำนานหุ้นชินคอร์ปฯ อย่างสิ้นเชิง

ซึ่งแม้จะมาเป็น รมช.คลังแล้ว แต่แนวคิดในเรื่องการจ่ายภาษีของรัฐมนตรีท่านนี้ก็ยังแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนแปลง ชนิดที่ใครได้ยินได้ฟังก็คงนั่งมึนไปตามๆกัน โดยนางเบญจา ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายในการทำงานทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง รมช.คลัง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า

“การทำงานต้องชัดเจนว่าอะไรถูกก็ถูกอะไรผิดก็ผิด ถ้าเจอจะฟันไม่เลี้ยง ที่ผ่านมาก็ฟันมาแล้ว อย่าลืมว่าการโกงภาษีมูลค่าเพิ่มคือการโกงชาติ โกงแผ่นดิน เพราะมาเอาเงินหลวงไป ต่างกับการเลี่ยงภาษี อันนี้ถือว่ายังจ่ายแต่จ่ายน้อยไปหน่อย”

คนในกระทรวงต่างรู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นนางเบญจาเลือกยืนข้าง นช.ทักษิณมาตลอด ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลไปกี่ยุคกี่สมัย ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจว่าเหตุใดหลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ทุกครั้งที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งซี 10 ของกระทรวงการคลัง จะต้องมีชื่อนางเบญจานั่งคุมกรมสำคัญๆอยู่เสมอ บางครั้งมีข่าวถึงขั้นจะให้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงการคลังแทน นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม เลยทีเดียว

กล่าวได้ว่าด้วยผลงานชนิดเนื้อๆ เน้นๆ ทำให้นางเบญจาเป็นคนสำคัญของนายใหญ่และนายหญิงชนิดที่ ใครก็แตะไม่ได้

ในปี 2554 หลังจากที่นายกฯยิ่งลักษณ์จัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ นางเบญจาก็ได้รับการแต่งตั้งให้ไปนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมสรรพสามิต ซึ่งในระหว่างที่กำลังเคลียร์ปัญหารถยนต์จดประกอบและรถยนต์หรูซึ่งว่ากันว่ามีชื่อลูกสาว “เจ๊ ด.” อยู่ด้วยนั้น ปรากฏว่าได้เกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลที่กองสลากฯ เนื่องจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้นำโควตาสลากฯ 4 ล้านฉบับ มูลค่าหลายพันล้านบาท ไปทำสัญญาขายล่วงหน้ากับตัวแทนจำหน่ายสลากฯ ภาคเหนือเป็นเวลา 2 ปี นางเบญจาในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงต้องลงมาเคลียร์เรื่องนี้ สอบไปสอบมาปรากฏว่านางเบญจาถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดสลากฯ แต่หนังยังไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อเรื่องนี้ถึงหู “คนที่อยู่ดูไบ” กลับกลายเป็นว่า “นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ต้องถูกเด้งจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสียเอง โดย 'นายใหญ่' มีคำสั่งให้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี มาควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแทน

แต่งานนี้ยังไงก็ต้องหาคนรับผิดชอบ เนื่องจากกระทรวงการคลังก็ไม่สามารถเรียกโควตาสลากฯ 4 ล้านฉบับ กลับคืนมาได้ เพราะสำนักงานสลากฯ ไปทำสัญญาผูกพันกับบริษัทเอกชนเรียบร้อยแล้ว หากไปบอกเลิกสัญญา สำนักงานสลากฯ จะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย สุดท้าย นายสมชาติ วงศ์วัฒนศานต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงต้องกลายเป็นแพะ ถูกกระทรวงการคลังเลิกจ้างในข้อหาขาดภาวะความเป็นผู้นำ

“ชัยเกษม” รมว.ยุติธรรม เคยมีคำสั่งไม่ฟ้อง 'ทักษิณ' ในคดี CTX

คนต่อไปที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ใน ครม.ปู 5 เพราะหากจำกันได้ในสมัยที่เป็นอัยการสูงสุง นายชัยเกษมเคยมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ฟ้อง อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ในคดีทุจริตในการจัดซื้อเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 หรือ คดี CTX อีกทั้งยังดึงเชงไม่ยอมส่งฟ้องคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณา โดยอ้างว่าข้อมูลไม่ครบ ทั้งที่ คตส.ใกล้จะหมดวาระ แต่ทางอัยการกลับดองเรื่องไว้เป็นนานสองนานโดยไม่มีคำตอบใดๆให้ คตส. ส่งผลให้ คตส.ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อ โดยตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุด ซึ่งกรณีนี้ถึงกับทำให้กรรมการใน คตส. เดือดดาลและหลุดปากอกมาว่า “ถูกหักหลัง”

โดยครั้งนั้นแหล่งข่าวจาก คตส.ท่านหนึ่ง กล่าวถึงกรณีนี้ว่า “ เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับกรรมการ คตส. หลายคนเพราะเห็นว่าในตอนแรกอัยการฯ จะทำหน้าที่ฟ้องร้องคดีให้ และจะทำให้งานสอบสวนคดีนี้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว เพราะ คตส.ใกล้จะหมดอายุแล้ว และท่าทีอัยการที่ประสานงานมาก็แสดงออกชัดเจนว่า พร้อมที่จะรับว่าความคดีนี้ให้ แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการอะไร ซึ่งทำให้กรรมการ คตส. บางคนถึงกับหลุดคำพูดว่า..การกระทำของอัยการฯ ครั้งนี้เหมือนการหักหลังกัน...เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยเกิดกรณีอย่างนี้มาแล้วในคดีเอ็กซิมแบงก์ซึ่งอัยการจะฟ้องให้ แต่ในภายหลังอัยการฯ ก็ตีกลับสำนวนมาเหมือนเดิม”

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายชัยเกษมจะได้เข้าไปนั่งเป็นบอร์ดในหลายหน่วยงาน เช่น ประธานสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ , คณะกรรมการคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ , กรรมการตรวจสอบ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียมกรรมการ ทั้งนี้ว่ากันว่าการแต่งตั้งนายชัยเกษมให้ดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรมในครั้งนี้นั้น นอกจากจะเป็นการปูนบำเหน็จตอบแทนกันแล้ว ยังมอบหมายให้นายชัยเกษมเข้ามาเร่งกระบวนการเยียวยาคนเสื้อแดง เพื่อรักษาแนวร่วมของพรรคเพื่อไทยเพราะคนกลุ่มนี้ถือเป็นกำลังหลักในการชุมนุมเคลื่อนไหวปกป้องระบอบทักษิณ

“เจ๊ปิ๊ก” เจ้ากระทรวง พม. มีวันนี้เพราะพี่ให้

นอกจากนั้นยังมีรัฐมนตรีหญิงอีกคนที่จะมองข้ามไปไม่ได้ คือ “เจ๊ปิ๊ก” ปวีณา หงสกุล ซึ่งแม้วัยจะล่วงเข้าเลข 6 แต่ความงามก็ยังไม่สร่างซา โดย ครม.ปู 5นี้ เธอได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แบบพลิกโผ ซึ่งว่ากันว่าที่มาที่ไปนั้น 'ไม่ธรรมดา' เนื่องจากในแวดวงสีกาสีนั้นรู้กันดีว่า เจ๊ปิ๊กนั้นมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) น้องรักของทักษิณ ถึงขั้นที่ร่วมหุ้นกันทำธุรกิจ เปิดบริษัทร่วมกันถึง 2 แห่ง คือ บริษัทขายสมุนไพร ภายใต้ชื่อ “บริษัท บ้านปวีณา จำกัด” โดย นางปวีณา ถือหุ้น 8,999 หุ้น (44.99%) พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และ นายษุภมน หุตะสิงห์ (บุตรชายนางปวีณา) ถือหุ้นคนละ 3,000 หุ้น (15%) นายตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง (บุตรชาย พล.ต.ท.คำรณวิทย์) และนางสาวรุจศลักษณ์ ธูปกระจ่าง (บุตรสาว พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ) ถือหุ้นคนละ 2,000 หุ้น (15%) และนายเอกภาพ หงสกุล ถือ1,000 หุ้น (5%) นอกจากนั้นยังมีบริษัท ธรรมชาติเพื่อชุมชน จำกัด ซึ่งนางปวีณา พล.ต.ท.คำรณวิทย์ และนายษุภมน ร่วมกันลงทุนและเป็นกรรมการบริษัทด้วย จึงเป็นที่เมาท์มอยกันว่าการเข้ามารับตำแหน่ง รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมของเจ๊ปิ๊กครั้งนี้ มีบิ๊กแจ๊ดส่งเข้าประกวด

ทั้งนี้นอกจากแรงหนุนของบิ๊กแจ๊ดแล้ว เธอยังมีคุณสมบัติที่พอจะช่วยกู้ภาพลักษณ์ให้ ครม.ชุดนี้ได้ เพราะการทำงานในฐานะประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรีของเธอนั้นมีผลงานผ่านหน้าสื่อในการช่วยเหลือเด็กและสตรีมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลงานในการทำงานให้พรรคก็ถือว่าใช้ได้ โดยหลังจากที่พ้นโทษแบนทางการเมือง และกลับมาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย เจ๊ปิ๊กก็ช่วยหาเสียงในสนามผู้ว่าฯ กทม. และเลือกตั้งซ่อมดอนเมืองมาตลอด แม้พรรคเพื่อไทยจะพ่ายแพ้ทั้งสองสนามแต่ก็เชื่อว่าภาพลักษณ์ของแม่พระ ที่ทำงานเพื่อสังคมอย่างจริงจังของเจ๊ปิ๊กน่าจะช่วยเรียกเรตติ้งที่ตกต่ำสุดขีดของพรรคเพื่อไทยใน พื้นที่ กทม. ได้ไม่มากก็น้อย

แน่นอนว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ มุ่งไปที่ประโยชน์ของพรรคเพื่อไทย ภายใต้ระบอบทักษิณ ดังนั้นประชาชนอย่างเราๆท่านๆคงไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย ใครจะอยู่ ? ใครจะไป ? ประชาชนคนไทยก็ยังยากลำบากกันเหมือนเดิม


ปวีณา หงสกุล
เบญจา หลุยเจริญ
ชัยเกษม นิติศิริ
กำลังโหลดความคิดเห็น