xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เปลือยชีวิต “แอน-บลูสกาย” ทลายผ้าเหลือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อดีตพระมิตซูโอะถ่ายภาพคู่กับนางสุทธิรัตน์ มุตตามระหลังทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันที่จังหวัดอิวาเตะ พร้อมกับจดหมายลายมือของอดีตพระมิตซูโอที่เปิดเผยความจริงที่ต้องลาสิกขาและประกาศจะใช้ชีวิตคู่ให้เหมือนต้นซากุระต้นหนึ่งที่สวยงาม
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เรียกว่า “ช็อก” สังคมอย่างหนักทีเดียวสำหรับ “อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก” อดีตเจ้าอาวาสวัดสุนันทวนาราม สาขาวัดหนองป่าพงที่ 117 อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ในกรณีการออกมายอมรับถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของสาเหตุการลาสิกขาว่า เป็นเพราะพบรักกับสาวใหญ่ไฮโซวัย 52 ปี ที่มีชื่อว่า “แอน-สุทธิรัตน์ มุตตามระ”

แถมยังมีภาพของทั้งคู่สวีทหวานแหว๋วเฉกเช่นคู่ผัวตัวเมียข้าวใหม่ปลามันที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ควงคู่กันไปฮันนีมูนตามสถานที่ต่างๆ และตบท้ายด้วยการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องทั้งตามกฎหมายไทยและกฎหมายญี่ป่น โดยทั้งสองปักหลักครองคู่ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ที่บ้านของพี่ชายและพี่สะใภ้ของพระมิตซูโอะภายในหมู่บ้านนิชิเนะ อำเภอชิซุคุอิชิ จังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น

แน่นอน แม้ภาพที่ปรากฏจะดูเหมือนว่าทั้งคู่รักกันปานจะกลืนกิน ทั้งท่าทีตลอดรวมถึงถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของนางสุทธิรัตน์และอดีตพระมิตซูโอะที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะนางสุทธิรัตน์ที่ทำหน้าที่ปรนนิบัติพัดวีดูแลสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ในมุมกลับกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมได้พุ่งเป้าไปที่ศรีภรรยาของอดีตพระมิตซูโอะเป็นพิเศษว่า เธอเป็นใคร ประกอบอาชีพหรือกิจการงานใด ถึงได้สามารถทำให้พระที่เคยได้ชื่อว่าเป็นพระสุปฏิปันโนและมีปฏิปทาเป็นที่ศรัทธาของพุทธศาสนิกชนลาสิกขาจากสมณเพศได้ง่ายๆ ราวกับปอกกล้วยเข้าปากเยี่ยงนี้

3 สามี 3 ชีวิตรัก แอน สุทธิรัตน์

หากสืบสาวราวเรื่องถึงชีวิตของไฮโซสาวใหญ่วัย 52 ปีผู้นี้ย้อนหลังกลับไป ก็จะพบว่า หม้ายสาวพราวเสน่ห์มีเส้นทางชีวิตที่มีสีสันและน่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของชีวิตคู่

แว่บแรกที่สังคมได้รับรู้หลังปรากฏภาพและข่าวของเธอกับอดีตพระมิตซูโอะออกมา เธอเป็นพี่สาวของ “วิทเยนทร์ มุตตามระ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เขตบางเขน กรรมการผู้จัดการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย แชนแนล ซึ่งเป็นโทรทัศน์ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่พลพรรคแมลงสาบเถียงหัวชนฝาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จากนั้นข้อมูลก็ทยอยออกมาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่องว่า นี่ไม่ใช่ชีวิตรักครั้งแรกของเธอ หากแต่สาวงามที่ยังคงมีเสน่ห์ในเรือนกายอย่างไม่สร่างซาแม้วัยจะล่วงเลยเข้าไป 52 ปีผู้นี้เคยผ่านชีวิตสมรสมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกันก่อนที่จะมาลงเอยกับสามีคนปัจจุบันคืออดีตพระมิตซูโอะ

สามีคนแรกของแอน สุทธิรัตน์ มีชื่อว่า “เอกภพ เสตะพันธุ” ซึ่งภายหลังได้หย่าร้างและเลิกรากันไป

ส่วนสามีคนที่สองคือ “นพ.ปริทัศน์ ศุกรีเขตร” มีลูกชายคนเดียวคือ นายปริวรรต ศุกรีเขตร ปัจจุบันอายุ 25 ปี

กล่าวสำหรับแอน-สุทธิรัตน์นั้น กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า จัดเป็นผู้หญิงที่สวยทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ

ครั้งหนึ่งเธอเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ตั้งแต่จำความได้ แม่ก็จับเธอแต่งสวยตามประสาเด็กผู้หญิง ซึ่งเธอเองก็ชอบ และยินดีที่จะเป็นตุ๊กตาให้แม่แต่งแต้ม ดังนั้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่นเธอจึงพร้อมที่จะเดินเข้าหาสิ่งที่เรียกว่าความงาม” ทั้งในแง่ของผู้ปฏิบัติ ที่ต้องดูดี และศึกษาเพื่อให้เป็นกูรู”

“ใส่ใจทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หน้า ผม อย่างตอนที่เป็นน้องปีหนึ่งจุฬาฯ เราก็มีชุดนักศึกษาสำหรับใส่ไปเรียนซึ่งจีบตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย รวมๆ แล้วก็ 36 ชุด รองเท้าอีก 36 คู่”

นอกจากนี้ เธอยังมีแพทย์ที่ปรึกษาความงามส่วนตัว เพื่อดูแลความสวย ความงาม จากทั้งภายในและภายนอก โดยภายในบ้านเองเต็มไปด้วยเครื่องไม้ เครื่องมือ ซึ่งบางปีเธอบอกว่า ต้องควักกระเป๋าจ่ายให้กับอาการติดสวยถึงเกือบ 10 ล้านบาท

“เมื่อโชคดี ที่เกิดมาหน้าตาดี แล้วเราก็ต้องทำให้อยู่กับเราไปนานๆ เรื่องของความสวยความงามเราต้องดูแลลึกไปจนถึงเซลล์ สเต็มเซลล์”

ทั้งนี้ ก่อนที่จะศรัทธาเลื่อมใสพระมิตซูโอะนั้น มีข้อมูลยืนยันตรงกันว่า นางสุทธิรัตน์และครอบครัวมุตตามระ รวมทั้งนายวิทเยนทร์ผู้เป็นน้องชายเคยมีความเลื่อมใสศรัทธากับพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี มาก่อน แต่ภายหลังได้ปลีกตัวออกไป ซึ่งล่าสุดวัดพระธรรมกายก็ออกมายอมรับแล้วว่าเป็นเรื่องจริงถึงกรณีที่เธอเคยเข้าไปที่วัดพระธรรมกายจริง

ส่วนเรื่องราวความรักของอดีตพระมิตซูโอะ สามีคนที่ 3 ของนางสุทธิรัตน์นั้น ได้เปิดเผยสู่สาธารณชนและลูกศิษย์ลูกหาหลังจากมีผู้รับรู้ความจริงว่า เหตุที่อดีตพระมิตซูโอะลาสิกขานั้น มิใช่ด้วยเหตุเรื่องการป่วยเป็นเบาหวานแต่ประการใด หากเป็นเพราะมีต้นสายปลายเหตุมาจาก “ผู้หญิง” จากนั้นก็มีกระแสข่าวร่ำลือกันแบบปากต่อปากว่า พระมิตซูโอะถูก หญิงสาวคน หนึ่งมอมยาเพื่อแบล็กเมล์เอาเงินก้อนโต ทั้งยังมีผู้โพสต์รูปและโพสต์ข้อความด่าหญิงสาวคนดังกล่าวกันอย่างกว้างขวางในโลกไซเบอร์

กระทั่งนางสุทธิรัตน์ได้โพสต์ข้อความและโพสต์รูปถ่ายของตนเองคู่กับอดีตพระมิตซูโอะในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ “Suttirat Muttamara” ช่วงเย็นของวันที่ 27 มิถุนายน 2556 ด้วยข้อความว่า “ขอบคุณสำหรับผู้ที่ไม่หวังดีต่อดิฉัน ที่กล่าวหาว่าดิฉันวางยา Blackmail อาจารย์มิตซูโอะ โดยมีเจตนาทำให้ดิฉันเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงทำให้อาจารย์มิตซูโอะผู้ที่มีเมตตาและความรักต่อดิฉันจะต้องออกมาปกป้องศักดิ์ศรีของดิฉันด้วยการเปิดเผยความจริงต่อสังคมเร็วๆ นี้ ขอบคุณอีกครั้ง”

ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 28 มิถุนายน 2556 นายวิทเยนทร์ก็ได้เขียนข้อความอธิบายทำความเข้าใจกับภาพของนางสุทธิรัตน์กับอดีตพระมิตซูโอะในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า

“จากกรณีที่มีภาพอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะและสุภาพสตรีคนหนึ่งปรากฏและเป็นที่พูดถึงในวงกว้างอยู่ในขณะนี้ ผมได้รับคำถามจำนวนมากว่าสตรีท่านนี้เป็นอะไรกับผม ผมจึงขอตอบตรงๆ เพื่อความชัดเจนว่า เป็นพี่สาวผมครับ ทั้งพี่สาวและอาจารย์มิตซูโอะทั้ง 2 เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว อาจารย์ท่านก็ศึกษาธรรมะและปฏิบัติมานานไม่เคยมีเรื่องมัวหมอง ตอนนี้ ท่านก็ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสแล้ว ผมเชื่อว่าท่านมีสติรู้ว่าท่านทำอะไรอยู่และกำลังจะทำอะไรต่อไปในอนาคต”

“ผมเชื่อว่าคน 2 คนที่ตกลงปลงใจจะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ คนทั้ง 2 ต้องทำบุญทำกรรมร่วมชาติกันมามาก อย่างที่เขาเรียกว่าบุพเพสันนิวาสและการตัดสินใจของคนทั้ง 2 ก็อยู่ในกฎเกณฑ์กติกาทั้งทางโลกและทางธรรม หากจะถามผมว่าอนาคตของทั้ง 2 จะอยู่กันที่ไหนอย่างไร ผมตอบตรงๆ ว่า ไม่ทราบครับ เพราะถึงเราจะเป็นพี่น้องกัน เราเคารพการตัดสินใจซึ่งกันและกัน เขาจะอยู่เมืองนอกหรือเมืองไทยคือการตัดสินใจของเขาทั้ง 2 ครับ”

และในช่วงค่ำวันเดียวกันนั้นเอง นางสุทธิรัตน์ก็ได้ส่งรูปคู่ล่าสุดขณะ เดินทางไปจดทะเบียนสมรสภายในที่ทำการเขต Shizukuishi จังหวัดอิวาเตะบ้านเกิดของอดีตพระมิตซูโอะมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชนพร้อมกับข้อความที่เป็นลายมือของอดีตพระมิตซูโอะอีกด้วย

“เมื่อบ่ายวันที่ 28 มิถุนายน 2556 ผมมิตซูโอะ ซิบาฮาซีและคุณสุทธิรัตน์ มุตตามระ ภรรยา เดินทางไปที่ทำการเขต Shizukuishi จังหวัดอิวาเตะ Iwate บ้านเกิดผม เพื่อจดทะเบียนสมรส หลังจากนั้นสัปดาห์หน้า ผมและภรรยาจะเดินทางเข้า Tokyu เพื่อยื่นเรื่องการสมรสของเราต่อสถานเอกอัครราชทูตไทยกรุง ToKyu เราทั้ง 2 คนได้ทำตามกฎเกณฑ์ทั้งทางโลกและมิได้มีการกระทำใดๆ ที่ขัดพระธรรมวินัยในทางธรรม ความรักของเราทั้งสองเกิดขึ้นโดยสุจริต ผมได้ตระหนักดีด้วยสติว่า สมควรละเพศบรรพชิต จากนี้ไปชีวิตของเราก็เหมือนกับชาติใหม่ ให้ชีวิตคู่ของเราเป็นเหมือนซากุระต้นหนึ่งที่สวยงามในสังคม เราจะมีชีวิตของเราทั้ง 2 เพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นต่อไป ภาพที่แนบมาด้วยเป็นภาพจากที่ทำการเขตที่เรา 2 คนไปจดทะเบียนสมรสกัน”

อย่างไรก็ตาม ถึงขณะนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า คนทั้งคู่ไปพบรักกันได้อย่างไร เมื่อไหร่และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อดีตพระมิตซูโอะตัดสินใจสละสมณเพศมาเป็นฆราวาส

ทำไมต้องสึกพระ? คำถามที่สังคมยังสงสัย

กระนั้นก็ดี แม้อดีตพระมิตซูโอะจะลงทุนเขียนจดหมายยืนยันด้วยลายมือของตนเอง รวมทั้งเผยแพร่คลิปต่างๆ ออกมาว่าไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง แต่นั่นกลับทำให้ลูกศิษย์คลางแคลงใจหนักขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเสมือนหนึ่งมีการจัดฉากและเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเพื่อแก้ข้อครหาของตนเองเสียมากกว่า

คำถามมีอยู่ว่า ทำไมนางสุทธิรัตน์มีจึงไม่รักษาชื่อเสียงของสามีที่สั่งสมความดีในเพศบรรพชิตมากว่า 38 ปีด้วยการหยุดเคลื่อนไหวทั้งหลายทั้งปวง แล้วปลีกตัวไปครองคู่และใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบ ไม่ใช่ออกมาโพสต์ภาพหรือให้ข่าวความเคลื่อนไหวเรื่องการแต่งงานของตนเองอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ เพราะยิ่งนางสุทธิรัตน์ยิ่งให้สัมภาษณ์ เพราะยิ่งนางสุทธิรัตน์ยิ่งให้ข้อมูลและยิ่งนางสุทธิรัตน์ยิ่งเผยภาพคู่สุดโรแมนติกกับสามีมากเท่าไหร่ ผลเสียก็ย่อมตกอยู่กับอดีตพระมิตซูโอะเท่านั้น

นางสุทธิรัตน์ต้องไม่ลืมว่า สามีของตนเองมีชื่อว่า พระมิตซูโอะ คเวสโก ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพศรัทธามากมาย มิใช่ตาสีตาสา หรือคนธรรมดาเสียเมื่อไหร่

ที่สำคัญคือ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถทำให้พระลาสิกขาได้ ไม่ว่าจะเป็นพระมิตซูโอะหรือพระรูปไหน ก็ย่อมหนีไม่พ้นเสียงติฉินนินทา ซึ่งนางสุทธิรัตน์ที่ผ่านโลกมาก็ไม่น้อยและศึกษาธรรมะมาก็มาก ย่อมสมควรที่รู้ซึ้งในสัจธรรมข้อนี้

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้อาจไม่มีอะไรลึกซึ้งและเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเลยก็ได้ นั่นคือความรักที่ทั้งคู่มีให้ต่อกันอันเป็นผลมาจากบุญและกรรมที่ทำร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

กรณีดังกล่าว ผู้ที่ให้ความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจก็คือ นายยุทธพิชัย ชาญเลขา หรือโดโด้ ดารานักแสดงชื่อดังที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่มีความสนิทกับอดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก คนหนึ่ง

นายยุทธพิชัยระบุว่า ส่วนตัวเคยพบ นางสุทธิรัตน์ มุตตามระ หรือแอน มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อประมาณเมษายน 2555 ขณะนั้นเป็นช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ และเป็นวันสรงน้ำพระพอดี ซึ่งวันนั้นตนเองเดินทางไปกราบนมัสการพระอาจารย์ หลังจากที่นางสุทธิรัตน์เห็นตนเองก็ได้เข้ามาทักทาย และพยายามพูดคุยและพยายามตีสนิท แต่ตนเองไม่ได้คิดอะไร และยอมรับว่าเคยนั่งรถตู้ของนางสุทธิรัตน์ หนึ่งครั้งเพื่อออกไปทำธุระที่บริเวณปากทางเข้าวัด โดยมีพระอาจารย์เดินทางไปด้วย และขณะนั่งปฏิบัติธรรมอยู่นั้น นางสุทธิรัตน์ ได้เอ่ยปากชวนให้ไปทำนาด้วยกันไหม รวมทั้งชวนเข้าคอร์สเสริมความงามด้วย ซึ่งก็ไม่สนใจ และไม่ได้พูดอะไร เนื่องจากกำลังนั่งปฏิบัติธรรมอยู่

“ผมเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์มายาวนานกว่า 10 ปี และเคยรับใช้พระอาจารย์อย่างจริงจังประมาณ 3 ปี ทั้งขับรถเพื่อนำพระอาจารย์ไปยังสถานที่ต่างๆ ตอนนี้รู้สึกสงสาร และห่วงอาจารย์มาก แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เพราะท่านอาจารย์ได้ลาสิกขาแล้ว และเดินทางไปอยู่ที่ญี่ปุ่น พระอาจารย์ได้ติดต่อกับมาที่ผม 2 ครั้ง ท่านห่วงใยจึงโทร.มาเพื่อสอบถามทุกข์สุขเหมือนปกติ แต่หลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้ติดต่อท่าน รับทราบแต่ทางข่าวทางสื่อมวลชนเท่านั้น”

นายยุทธพิชัยให้ความเห็นเพิ่มเติมด้วยว่า ส่วนการกระทำที่นำคลิปออกมาเผยแพร่อย่างต่อเนื่องนั้นถือว่ามีความสลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก ส่วนการกระทำในครั้งนี้จะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ตนไม่ทราบ และไม่อยากออกความเห็นในเรื่องนี้ แต่มองว่าการที่เขาเข้ามาที่วัดสุนันทวนาราม ถือเป็นเรื่องที่เข้าแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงที่วัด และทำให้พระอาจารย์มิตซูโอะ ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้

“ยิ่งมีการเผยแพร่ภาพคลิปต่างๆ ยิ่งบั่นทอนความรู้สึกของศิษยานุศิษย์ และทำให้สังคมมองคำสอนของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แต่ผมมองว่าคำสอนของพระอาจารย์ในขณะที่เป็นพระถือเป็นคำสอนที่มีคุณค่ามาก แต่การกระทำเกิดขึ้นมันเหมือนกับกำลังทำลายหนังสือคำสั่งสอน ที่อดีตพระอาจารย์นำมาตีแผ่ลงในหนังสือเพื่อให้ศิษยานุศิษย์ เพื่อให้เด็ก และเยาวชนที่มาปฏิบัติธรรมภายในวัดได้อ่านแล้วเข้าใจง่าย ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก

“แต่ในส่วนของ นางสุทธิรัตน์ จะดำเนินการอย่างไร ผมไม่ยุ่งเพราะถือว่าเป็นเรื่องของคน แต่ยิ่งมีการนำคลิปต่างๆ ออกมาเผยแพร่ หรือการออกมาให้ข่าวว่าเป็นเพราะร่วมทำบุญแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้มาเป็นเนื้อคู่กันในชาตินี้ ซึ่งก็เป็นสิทธิ และสามารถกระทำต่อไปได้ ซึ่งผลของการกระทำต่างๆ จะเป็นสื่อที่ทำให้สังคมได้รับทราบถึงการกระทำ และพฤติกรรมของนางสุทธิรัตน์ ว่าเป้นอย่างไร ยิ่งเปิดออกมาเท่าไหร่ก็เหมือนเป็นการเปิดเผยตัวตนที่เป็นการแสดงออกถึงจิตวิญญาณ หรือเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาให้สังคมได้รับทราบแล้วเช่นกัน”

ความคิดเห็นของนายยุทธพิชัยเป็นอีกหนึ่งข้อสังเกตที่สังคมไม่อาจมองข้ามไปได้ เพราะทำให้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวของนางสุทธิรัตน์ในอีกมิติหนึ่ง

ขณะที่สำหรับอดีตพระมิตซูโอะนั้น การที่ตัดสินใจลาสิกขาและเขียนจดหมายยืนยันถึงความรักระหว่างตนเองกับนางสุทธิรัตน์ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครตำหนิ เพราะนั่นคือการแสดงความรับผิดชอบสูงสุดที่พึงกระทำ และเป็นการกระทำที่พ้นจากสมณเพศแล้ว มิใช่เหมือนอย่างเช่นที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์กรณีของพระวิรพล ฉัตติโกหรือหลวงปู่เณรคำ

เปิดสาแหรกธุรกิจร้อยล้าน สุธาสินี-สุทธิรัตน์

“สุทธิรัตน์” หรือที่หลายคนรู้จักเธอในชื่อเดิมว่า “สุธาสินี” ตามประวัติที่แจ้งไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ในปี 2522 จากนั้นเข้าศึกษาต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ด้านหน้าที่การงาน ปัจจุบัน นางสุทธิรัตน์เป็นประธานกรรมการบริหาร “บริษัท คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด” ซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์การแพทย์ด้านความงามที่มีชื่อว่า “วิลล่า อิเทอร์น่า” ย่านทองหล่อซอย4 และกรรมการบริษัท บริษัท ฟอร์จูน แอสเซ็ท จำกัด

สำนักข่าวอิศราได้สืบค้นข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและพบว่า บริษัท ฟอร์จูน แอสเซ็ท จำกัด จดทะเบียนวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์ การปลูกบ้านพักอาศัยที่ตั้งเลขที่ 780/341 ถนนเจริญกรุง แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร นางสุทธิรัตน์ เป็นกรรมการ ไม่มีผลประกอบการ

ส่วนบริษัท คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 12 กันยายน 2551 ทุนเริ่มแรก 20 ล้านบาท ปัจจุบัน 100 ล้านบาท ประกอบธุรกิจประกอบกิจการสถานพยาบาล ที่ตั้งเลขที่ 253 อาคาร253 อโศก ชั้น 21 ถนนสุขุมวิท 21 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร นางสุธาสินี มุตตามระ ถือหุ้นใหญ่ 86% นายสมศักดิ์ วรคามิน 10% นายปริวรรต ศุกรีเขตร 4% นางสุธาสินี มุตตามระ เป็นกรรมการ ผลประกอบการปี 2554 รายได้ 26,376,352 บาท ขาดทุนสุทธิ 41,336,026 บาท สินทรัพย์ 68,427,318 บาท หนี้สิน 121,800,992 บาท ขาดทุนสะสม 153,373,673 บาท

นอกจากนี้ ยั้งเป็นกรรมการบริษัทที่เลิกกิจการแล้ว 3 แห่ง ได้แก่

1.บริษัท ซี บี เอส พรอพเพอร์ตี้ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 3 เมษายน 2533 ทุน 10 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ ซื้อ จัดหา รับเช่า เช่าซื้อ ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง ขาย โอน จำนอง และจำหน่ายทรัพย์สิน โดยประการอื่น เรือเอก ไชยยันตร์ กัมปนาทแสนยากร นาง สมทรง มุตตามระ นายไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ นายไชยยศ กัมปนาทแสนยากร เป็นกรรมการ

2.บริษัท โสทรธานี จำกัด จดทะเบียนวันที่ 3 เมษายน 2533 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ ซื้อ จัดหา รับเช่า เช่าซื้อ ถือกรรมสิทธิ์ ครอบครอง ปรับปรุง ขาย โอน จำนอง และจำหน่าย โดยประการอื่น เรือเอก ไชยยันตร์ กัมปนาทแสนยากร นางสมทรง มุตตามระ นายไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ นายไชยยศ กัมปนาทแสนยากร เป็นกรรมการ

3. บริษัท อมรวดี เอ็นเตอร์ไพรส จำกัด จดทะเบียนวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534 ทุน 100,000 บาท ประกอบกิจการรับจัดทำธุรกิจให้ผู้อื่น นางสาวอมรวดี แสนศักดิ์ นางสาว สุทธิรัตน์ มุตตามระ นางสาว จุรีรัตน์ นันทวนิช เป็นกรรมการ

ทั้งนี้ นายไชยยศ กัมปนาทแสนยากร และ นางสมทรง มุตตามระ เคยทำธุรกิจใน จ.เชียงใหม่ ชื่อ บริษัท ซี.แอล.เอส พรอพเพอร์ตี้ จำกัด เลิกกิจการแล้ว ขณะที่นายไชยยศ กัมปนาทแสนยากร เป็นกรรมการ บริษัท กัมปนาท พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ธุรกิจอสังหาฯในกรุงเทพฯ (ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด)

ส่วนกิจการความงามนั้น ก่อนหน้านี้ในช่วงปี 2554 นางสุทธิรัตน์ ในฐานะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีศูนย์ต่อต้านความชราครบวงจรภายใต้แบรนด์ “คิว เมดิคอล เซ็นเตอร์” แถลงข่าวว่า บริษัทเตรียมปรับธุรกิจไปสู่รูปแบบคลินิกโดยจะขยายการลงทุนในรูปแบบการซื้ออาคารเพื่อให้บริการในลักษณะโรงพยาบาลโดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทเปิดให้บริการศูนย์ต่อต้านความชราครบวงจรภายใต้แบรนด์ดังกล่าวมากว่า 3 ปี โดยบริษัทอยู่ระหว่างหารือในที่ประชุมเพื่อซื้อที่ดินในทำเลต่างๆ อาทิ ถนนแจ้งวัฒนะ เมืองทองธานีและบางนา โดยพิจารณาจากความสะดวกสบายในการเดินทางของผู้บริโภคเป็นหลัก เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบซื้อที่ดินและการตกแต่งราว40-50 ล้านบาท โดยจะเห็นธุรกิจรูปแบบใหม่ดังกล่าวในปี 2555

นอกจากนี้ ยังวางแผนระยะยาวในอีก 3 ปี เตรียมใช้งบราว 800-1,000 ล้านบาท เพื่อก่อตั้งเป็นโรงพยาบาลแพทย์ต่อต้านความชราหรือโรงพยาบาลแอนไท-เอจจิง(Anti-Aging Hospital) โดยเฉพาะ

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในปีที่ผ่านมา ปิดยอดรวมรายได้ที่ 60 ล้านบาท มีการเติบโตขึ้นจากปีก่อน 10% ในขณะที่ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 70 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 20% และยังคาดว่าจากแผนระยะยาวใน 3 ปีข้างหน้า หลังจากที่บริษัทดำเนินการก่อตั้งโรงพยาบาลแพทย์ต่อต้านความชราแล้ว จะส่งผลให้รายได้ของบริษัทมีรายได้ต่อปีเฉลี่ยปีละ400 ล้านบาท

ขณะเดียวกันด้วยความที่นางสุทธิรัตน์เป็นพี่สาวของนายวิทเยนทร์ มุตตามระ แห่งบลูสกายแชนแนล ทีวีของพรรคแมลงสาบ ทำให้ต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันในเชิงธุรกิจหรือไม่ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่านายวิทเยนทร์ มุตตามระนั้น เป็นคนสนิทของนายสาธิต วงศ์หนองเตย อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเป็นอดีตผู้สมัครสส. กทม. พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงนายวิทเยนทร์เคยนำหนังสือที่เขียนโดยพระมิตซูโอะไปจากระหว่างที่นายอภิสิทธิ์เดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในระหว่างเกิดมหาอุทกภัยอีกด้วย

ขณะที่ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแสดงให้เห็นว่านายวิทเยนทร์เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อ บริษัท ควอลิตี้ เวเคชั่น คลับ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 21 สิงหาคม 2544 ทุน 360 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 99/401-486 หมู่ที่ 2 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพฯประกอบธุรกิจการให้บริการห้องพัก

ที่ต้องขีดเส้นใต้ก็คือ บริษัทนิ้มีนายกมล เอี้ยวศิวิกูล 1,800,000 หุ้น 50% นางสุธาสินี เสตะพันธุ 1,575,500 หุ้น หรือ 43.7% โดยนางสุธาสินี มุตตามระ นายกมล เอี้ยวศิวิกูล นายวิทเยนทร์ มุตตามระ น.ส. นิภาพร มั่นหมาย เป็นกรรมการ

เมื่อเส้นทางเป็นเช่นนี้ สังคมจึงเชื่อมโยงได้ว่า นางสุทธิรัตน์หรือในชื่อเดิมว่านางสุธาสินีก็คือหนึ่งในกลุ่มทุนของบลูสกายไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้นายเถลิง สมทรัพย์ ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์แห่งนี้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของนางสุทธิรัตน์และอดีตพระมิตซูโอะเป็นคนแรกๆ ก่อนที่จะปิดฉากการทำหน้าที่ “แฉความจริง” ซึ่งเป็นงานถนัดไปอย่างหน้าตาเฉย

สำหรับกรณีกระแสข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่า นางสุทธิรัตน์เคยมีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลอาญานั้น ข้อมูลจาก “หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ระบุว่า จากสารบบความของศาลอาญาพบว่า มีคนชื่อคล้ายกันเป็นจำเลยอยู่รวม 5 สำนวน โดยเป็นคดีฟ้องที่ศาลอาญา 2 สำนวนคือ คดีแดงที่ 792/55 ระหว่างนายกมล เอี้ยวศิริกูล โดยนางนิภาพร มั่นหมาย โจทก์กับนางสุธาสินี(ชื่อเดิมของนางสุทธิรัตน์) มุตตามระหรือเสตะพันธุกับพวก เป็นจำเลยฐานยักยอกทรัพย์และความผิดเกี่ยวกับหุ้นส่วนบริษัทกระทำผิดหน้าที่ ความเสียหาย 12 ล้าน ศาลลงโทษจำคุก 3 ปี รอลงอาญา 2 ปี

อีกคดีหนึ่งคือ อ.4235/55 ระหว่างนางสุภากานต์ ตั้งงามจิตต์กับพวกรวม 44 คน เป็นโจทก์ฟ้องนางสุธาสินี มุตตามระกับพวกเป็นจำเลยฐานปลอมเอกสาร ศาลลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน รอลงอาญา 2 ปีและมีคดีหมายเลขแดงอีกคือ 3151/39 ยังไม่ทราบผลคดี

นอกจากนี้ นางสุธาสินียังถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลอื่น ซึ่งส่งประเด็นมาสืบพยานที่ศาลอาญาอีก 2 สำนวนคือคดี ปน.1/55 คดี ปน.660/55 ศาลอยู่ระหว่างพิจารณา

และทั้งหมดนั้นคือเรื่องราวของ “แอน-สุทธิรัตน์ ภรรยาของอดีตพระมิตซูโอะ ซึ่งหลายคนกระหายใคร่รู้


ทะเบียนสมรสของอดีตพระมิตซูโอะและภรรยา
นายปริวรรต ลูกชายคนเดียวของนางสุทธิรัตน์ ส่วนคนซ้ายสุดคือ “เอกภพ เสตะพันธุ” สามีคนแรก
นายวิทเยนทร์ มุตตามระ น้องชายของนางสุทธิรัตน์
ภาพและข้อความแรกที่สังคมได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ผ่านเฟซ บุ๊กส่วนตัวที่ชื่อ “Suttirat Muttamara”
ภาพสวีตหวานแหว๋วของแอน-สุทธิรัตน์กับอดีตพระมิตซูโอะที่ประเทศญี่ปุ่น



กำลังโหลดความคิดเห็น