เมื่อเวลา 12.00 น. วานนี้ (27 มิ.ย.) ที่กระทรวงกลาโหม พ.อ.ธนาธิป ส่วางแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงผลการประชุมสภากลาโหม ที่มี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เป็นประธานในการประชุมว่า ตามที่ รมว.กลาโหมได้ประกาศเจตนารมณ์ให้มีการปรับขนาดกำลังพลให้มีความเหมาะสมกับภารกิจ ด้านสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมจึงได้จัด "โครงการเกษียณอายุราชการ" ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการที่เคยจัดมาแล้วในปี 2552 เพื่อลดกำลังพลที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ทำให้กองทัพกะทัดรัดขึ้น และเป็นการแก้ปัญหากำลังพลผู้สูงอายุ เป็นการประหยัดงบประมาณในภาพรวมของบำเหน็จ บำนาญได้ ในอนาคตจำนวนกว่า 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ มีดังนี้ 1. จะต้องมีอายุราชการ 50 ปีขึ้นไป 2. มีเวลารับราชการไม่ต่ำกว่า 2 ปีขึ้นไป โดยสิทธิ์ประโยชน์ของกำลังพลที่จะได้เงินก้อนจูงใจจำนวน 10 -15 เท่า ของเงินเดือนสุดท้ายที่ได้ ระยะเวลามีกำหนด 5 ปี ตั้งแต่ 1 ต.ค.56- 1 ต.ค. 60 จำนวนของผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการลาออกทั้งสิ้นมี 10 เปอร์เซ็นต์ จากยอดกำลังพลทั้งหมด 5,901 นาย
หากมีกำลังพลต้องการจะร่วมโครงการเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ จะพิจารณาจากคนที่มีตำแหน่งประจำก่อน และเป็นหน่วยกำลังรบ และสนับสนุนในการรบ ทั้งนี้ต้องการให้หน่วยกำลังรบได้มีกำลังพลที่มีอายุน้อย และมีความคล่องตัว ไม่มีปัญหาในเรื่องของอายุในเรื่องของการดูแลงาน ส่วนในเรื่องของชั้นยศ ก็จะพิจารณาจากนายทหารชั้นประทวนก่อนเป็นหลัก ในส่วนของผู้เข้าร่วมโครงการยศชั้นนายพล มีโอกาสสมัครใจเพื่อลาออกก่อนเกษียณอายุราชการเหมือนกัน แต่ต้องมีอายุราชการเหลือไม่ต่ำกว่า 2 ปี และไม่นับวันทวีคูณ
สำหรับจำนวนยอดเงิน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. เงินก้อนจะมีทั้งสิ้น 1,982 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับไปเลย โดยใช้งบประมาณของหน่วยเอง คืองบประมาณ บุคลากร ไม่ได้ขอเพิ่มเติมจากรัฐบาลแต่อย่างใด
ส่วนที่ 2. เป็นเงินบำเหน็จ บำนาญ จำนวนเงิน 2,726 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ต้องขอจากรัฐบาล จากสำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง สำหรับการประชุมที่ผ่านมา กรมเสมียนตราได้จัดประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น กรมสรรพกร กรมบัญชีกลาง สำนักงานข้าราชการพลเรือน เข้ามาหารือรวมกัน และเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่เหมาะสม เงินต่างๆ ที่ได้มานี้ทางกระทรวงกลาโหมขอยืนยันว่า ไม่ใช่สิทธิ์ประโยชน์ของกำลังพล แต่เป็นในส่วนที่ทางกระทรวงกลาโหมต้องการที่จะปรับลดกำลังพลให้เกิดความเหมาะสม ซึ่งเรามีการตั้งเป้าเพื่อลดกำลังพลเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ร้อยละ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะกำลังพลที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมีร้อยละ 26.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปี 2551 -2556 มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว กว่า 20,000 นาย และโครงการในปีนี้จะนำเข้า ครม.ในวันที่ 2 ก.ค.
ทั้งนี้ คุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการ มีดังนี้ 1. จะต้องมีอายุราชการ 50 ปีขึ้นไป 2. มีเวลารับราชการไม่ต่ำกว่า 2 ปีขึ้นไป โดยสิทธิ์ประโยชน์ของกำลังพลที่จะได้เงินก้อนจูงใจจำนวน 10 -15 เท่า ของเงินเดือนสุดท้ายที่ได้ ระยะเวลามีกำหนด 5 ปี ตั้งแต่ 1 ต.ค.56- 1 ต.ค. 60 จำนวนของผู้ที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการลาออกทั้งสิ้นมี 10 เปอร์เซ็นต์ จากยอดกำลังพลทั้งหมด 5,901 นาย
หากมีกำลังพลต้องการจะร่วมโครงการเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ จะพิจารณาจากคนที่มีตำแหน่งประจำก่อน และเป็นหน่วยกำลังรบ และสนับสนุนในการรบ ทั้งนี้ต้องการให้หน่วยกำลังรบได้มีกำลังพลที่มีอายุน้อย และมีความคล่องตัว ไม่มีปัญหาในเรื่องของอายุในเรื่องของการดูแลงาน ส่วนในเรื่องของชั้นยศ ก็จะพิจารณาจากนายทหารชั้นประทวนก่อนเป็นหลัก ในส่วนของผู้เข้าร่วมโครงการยศชั้นนายพล มีโอกาสสมัครใจเพื่อลาออกก่อนเกษียณอายุราชการเหมือนกัน แต่ต้องมีอายุราชการเหลือไม่ต่ำกว่า 2 ปี และไม่นับวันทวีคูณ
สำหรับจำนวนยอดเงิน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1. เงินก้อนจะมีทั้งสิ้น 1,982 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับไปเลย โดยใช้งบประมาณของหน่วยเอง คืองบประมาณ บุคลากร ไม่ได้ขอเพิ่มเติมจากรัฐบาลแต่อย่างใด
ส่วนที่ 2. เป็นเงินบำเหน็จ บำนาญ จำนวนเงิน 2,726 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่ต้องขอจากรัฐบาล จากสำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลาง สำหรับการประชุมที่ผ่านมา กรมเสมียนตราได้จัดประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น กรมสรรพกร กรมบัญชีกลาง สำนักงานข้าราชการพลเรือน เข้ามาหารือรวมกัน และเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่เหมาะสม เงินต่างๆ ที่ได้มานี้ทางกระทรวงกลาโหมขอยืนยันว่า ไม่ใช่สิทธิ์ประโยชน์ของกำลังพล แต่เป็นในส่วนที่ทางกระทรวงกลาโหมต้องการที่จะปรับลดกำลังพลให้เกิดความเหมาะสม ซึ่งเรามีการตั้งเป้าเพื่อลดกำลังพลเพื่อให้เกิดความเหมาะสม ร้อยละ 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะกำลังพลที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปมีร้อยละ 26.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งที่ผ่านมามีการดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปี 2551 -2556 มีจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการแล้ว กว่า 20,000 นาย และโครงการในปีนี้จะนำเข้า ครม.ในวันที่ 2 ก.ค.