“สนิมเหล็ก กัดกินเหล็ก” นี่คือสุภาษิตไทยโบราณที่คนไทยส่วนใหญ่รู้ แต่มีน้อยคนที่จะจดจำใส่ใจ และนำไปเป็นข้อคิดเตือนตนเองมิให้ทำตัวเป็นเหมือนสนิมกัดกร่อนตนเองและสังคมที่ตนเองสังกัดอยู่ ด้วยการทำสิ่งผิดสิ่งเลวอันเปรียบได้กับสนิม
โดยนัยแห่งสุภาษิตนี้ มีความชัดเจนว่าคนที่ทำความชั่วไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางวาจา ความชั่วที่ทำนั้นจะกัดกร่อนบุคคลนั้นให้เป็นคนเสื่อมถอยจากคุณธรรมและเป็นที่รังเกียจของผู้คนในสังคม และถ้าบุคคลในลักษณะนี้มีมากในสังคมใด สังคมนั้นก็เสื่อมโทรม และล่มสลายในที่สุดเสมอเหมือนกันทุกสังคม ไม่เว้นแม้แต่สังคมที่มีอำนาจแข็งแกร่ง ทนต่ออันตรายจากภายนอกได้ ดังที่กำลังเกิดขึ้นกับรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นสังคมการเมืองที่แข็งแกร่ง ถ้ามองจากเสียงสนับสนุนในสภาฯ เปรียบเทียบกับเสียงของฝ่ายค้านซึ่งมีน้อยกว่ามาก และแถมไม่มีเอกภาพในการออกเสียง จะเห็นได้จากการออกเสียงโหวต พ.ร.บ.งบประมาณ โดยมีส่วนหนึ่งงดออกเสียง และส่วนหนึ่งแหกคอกออกเสียงสนับสนุนรัฐบาล ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดเพียงจำนานเสียงโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพแล้ว ถือได้ว่ารัฐบาลนี้ไม่มีวันแพ้เกมการเมือง
แต่ถึงกระนั้น วันนี้รัฐบาลที่ว่ามีเสียงท่วมท้นล้นสภาฯ ก็กำลังเจอมรสุมทางการเมือง เมื่อมีเสียงคัดค้านนอกสภาฯ ทั้งจากฝ่ายค้านที่ออกมาเดินสายปราศรัยนอกสภาฯ นักวิชาการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นท้วงติง และคัดค้านนโยบายประชานิยมแบบสุดโต่งที่ก่อความเสียหายแก่ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายรับจำนำข้าวที่ขาดทุนไปแล้ว 2.6 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลก็ไม่ฟังและประกาศเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป
ยิ่งกว่านี้ ในขณะนี้ได้มีปรากฏการณ์หน้ากากขาวออกมาคัดค้าน และขับไล่รัฐบาลชุดนี้ โดยนัดชุมนุมกันเป็นระยะๆ และในหลายพื้นที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จริงอยู่ในขณะนี้จำนวนหน้ากากขาวยังมีไม่มาก แต่นั่นมิได้หมายความว่าจำนวนจะหยุดแค่นี้แล้วลดลง ในทางตรงกันข้ามอาจเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้อนุมานได้จากเหตุปัจจัยทางด้านตรรกะทางการเมืองซึ่งเป็นเหตุจูงใจให้คนมาชุมนุมดังต่อไปนี้
1. พฤติกรรมของปัจเจกบุคคลที่สร้างความไม่พอใจ เริ่มด้วยผู้นำรัฐบาลที่แสดงออกมาและทำให้ตนเองไม่เป็นที่ยอมรับในทางสังคม ทั้งในด้านการใช้ภาษา เช่น หญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก เป็นต้น และในด้านเนื้อหา เช่น ประเทศซิดนีย์ และจังหวัดหาดใหญ่ เป็นต้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบในการตอบปัญหา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของผู้นำประเทศ เช่น เรื่องนโยบายรับจำนำข้าวที่ทำให้รัฐบาลขาดทุนไปแล้วนับแสนล้านบาท และยังดื้อดึงทำต่อโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเพิ่มขึ้น
นอกจากตัวผู้นำรัฐบาลแล้ว รัฐมนตรีหลายคนก็มีส่วนในการแสดงออก และก่อความไม่พอใจแก่ประชาชน เช่น นายปลอดประสพ สุรัสวดี ซึ่งรับผิดชอบดูแลโครงการป้องกันน้ำท่วมที่ได้ออกมากล่าวคำที่เรียกได้ว่าไม่สุภาพ และดูหมิ่นผู้มาชุมนุมคัดค้านโครงการป้องกันน้ำท่วมว่าเป็นพวกขยะ และสัตว์เลื้อยคลาน แต่ที่น่าจะเรียกแขกได้มากก็เห็นจะได้แก่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ออกมาพูดทีไร ทำให้ผู้ฟังเกิดอาการไม่พอใจแทบทุกครั้ง ล่าสุดได้ออกมาพูดถึงคนจ้องล้มรัฐบาลถึงสองครั้งสองครา โดยครั้งแรกได้บอกว่ามีนายธนาคาร พ่อค้าขายน้ำเมา และพ่อค้าไก่ และครั้งที่สองได้บอกว่า คนทำสื่อโดยบอกใบ้ด้วยตัวย่ออักษร ส.
2. นอกจากพฤติกรรมอันเป็นปัจเจกก่อความไม่พอใจแล้ว ยังมีนโยบายที่ก่อความเสียหายต่อประเทศโดยรวม เช่น นโยบายรับจำนำข้าว เป็นต้น รวมไปถึงโครงการป้องกันน้ำท่วม และโครงการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งส่อเค้าไม่โปร่งใส
ด้วยเหตุปัจจัย 2 ประการนี้ ผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะต้องพบกับกระแสคัดค้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดต้านไม่ไหวก็จะยุบสภาหรือไม่ก็ถูกประชาชนไล่ให้พ้นจากตำแหน่ง
ส่วนว่าจะเป็นเมื่อใด และใครจะเป็นคนไล่นั้นคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ถ้าจะให้บอกตอนนี้คงทำได้แค่พึ่งหมอดูเพื่อคาดการณ์เท่านั้น
อะไรทำให้เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องมีอันจบลงก่อนหมดเทอม และด้วยวิธีใดระหว่างยุบสภา กับการถูกขับไล่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าดูจากเหตุปัจจัยทางการเมืองแล้วบอกได้คำเดียวว่าคนที่ทำให้รัฐบาลล้มก็คือคนในรัฐบาลอันถือได้ว่าเป็นปัจจัยภายใน และที่น่าจะทำให้รัฐบาลชุดนี้ล้มเร็วขึ้นก็คือปัจจัยภายนอก อันได้แก่คนบงการรัฐบาลที่กำลังดิ้นรน และทำทุกทางเพื่อให้ตนเองพ้นผิด และกลับบ้านอย่างเท่ เป็นปัจจัยผสมที่ทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้นเมื่อมีการผลักดันกฎหมายปรองดองฉบับสุดซอยของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งจะเข้าสภาฯ ในเดือนสิงหาคม ถ้ามีคำถามว่าระหว่างปัจจัยภายในคือพฤติกรรมและการกระทำของ ครม.ทั้งที่เป็นรายบุคคล และพฤติกรรมโดยรวมขององค์กรคือมติ ครม. อันไหนจะเป็นเหตุจุดชนวนให้เกิดระเบิดทางการเมือง และทำให้รัฐบาลนี้ล้ม ก็พอจะบอกได้คำเดียวว่าน่าจะให้น้ำหนักไปที่ปัจจัยภายนอก คือการบงการให้รัฐบาลทำในสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ และลุกขึ้นมาพร้อมกันเพื่อขับไล่รัฐบาล
ส่วนว่าเมื่อไหร่นั้นเห็นจะต้องพึ่งศาสตร์หมอดู คือ เมื่อดาวอังคารโคจรในราศีกรกฎและสิงห์ประมาณวันที่ 19 สิงหาคม-27 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งเป็นระยะที่ดาวอังคารให้โทษแก่ดวงเมือง และดวงคนบางคนที่ดาวอังคารจรมาเป็นกาลกิณี
โดยนัยแห่งสุภาษิตนี้ มีความชัดเจนว่าคนที่ทำความชั่วไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางวาจา ความชั่วที่ทำนั้นจะกัดกร่อนบุคคลนั้นให้เป็นคนเสื่อมถอยจากคุณธรรมและเป็นที่รังเกียจของผู้คนในสังคม และถ้าบุคคลในลักษณะนี้มีมากในสังคมใด สังคมนั้นก็เสื่อมโทรม และล่มสลายในที่สุดเสมอเหมือนกันทุกสังคม ไม่เว้นแม้แต่สังคมที่มีอำนาจแข็งแกร่ง ทนต่ออันตรายจากภายนอกได้ ดังที่กำลังเกิดขึ้นกับรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นสังคมการเมืองที่แข็งแกร่ง ถ้ามองจากเสียงสนับสนุนในสภาฯ เปรียบเทียบกับเสียงของฝ่ายค้านซึ่งมีน้อยกว่ามาก และแถมไม่มีเอกภาพในการออกเสียง จะเห็นได้จากการออกเสียงโหวต พ.ร.บ.งบประมาณ โดยมีส่วนหนึ่งงดออกเสียง และส่วนหนึ่งแหกคอกออกเสียงสนับสนุนรัฐบาล ดังนั้น ถ้ามองในแง่ของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดเพียงจำนานเสียงโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพแล้ว ถือได้ว่ารัฐบาลนี้ไม่มีวันแพ้เกมการเมือง
แต่ถึงกระนั้น วันนี้รัฐบาลที่ว่ามีเสียงท่วมท้นล้นสภาฯ ก็กำลังเจอมรสุมทางการเมือง เมื่อมีเสียงคัดค้านนอกสภาฯ ทั้งจากฝ่ายค้านที่ออกมาเดินสายปราศรัยนอกสภาฯ นักวิชาการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นท้วงติง และคัดค้านนโยบายประชานิยมแบบสุดโต่งที่ก่อความเสียหายแก่ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายรับจำนำข้าวที่ขาดทุนไปแล้ว 2.6 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลก็ไม่ฟังและประกาศเดินหน้าโครงการนี้ต่อไป
ยิ่งกว่านี้ ในขณะนี้ได้มีปรากฏการณ์หน้ากากขาวออกมาคัดค้าน และขับไล่รัฐบาลชุดนี้ โดยนัดชุมนุมกันเป็นระยะๆ และในหลายพื้นที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จริงอยู่ในขณะนี้จำนวนหน้ากากขาวยังมีไม่มาก แต่นั่นมิได้หมายความว่าจำนวนจะหยุดแค่นี้แล้วลดลง ในทางตรงกันข้ามอาจเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งนี้อนุมานได้จากเหตุปัจจัยทางด้านตรรกะทางการเมืองซึ่งเป็นเหตุจูงใจให้คนมาชุมนุมดังต่อไปนี้
1. พฤติกรรมของปัจเจกบุคคลที่สร้างความไม่พอใจ เริ่มด้วยผู้นำรัฐบาลที่แสดงออกมาและทำให้ตนเองไม่เป็นที่ยอมรับในทางสังคม ทั้งในด้านการใช้ภาษา เช่น หญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก เป็นต้น และในด้านเนื้อหา เช่น ประเทศซิดนีย์ และจังหวัดหาดใหญ่ เป็นต้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงที่จะรับผิดชอบในการตอบปัญหา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของผู้นำประเทศ เช่น เรื่องนโยบายรับจำนำข้าวที่ทำให้รัฐบาลขาดทุนไปแล้วนับแสนล้านบาท และยังดื้อดึงทำต่อโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่จะเพิ่มขึ้น
นอกจากตัวผู้นำรัฐบาลแล้ว รัฐมนตรีหลายคนก็มีส่วนในการแสดงออก และก่อความไม่พอใจแก่ประชาชน เช่น นายปลอดประสพ สุรัสวดี ซึ่งรับผิดชอบดูแลโครงการป้องกันน้ำท่วมที่ได้ออกมากล่าวคำที่เรียกได้ว่าไม่สุภาพ และดูหมิ่นผู้มาชุมนุมคัดค้านโครงการป้องกันน้ำท่วมว่าเป็นพวกขยะ และสัตว์เลื้อยคลาน แต่ที่น่าจะเรียกแขกได้มากก็เห็นจะได้แก่รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ออกมาพูดทีไร ทำให้ผู้ฟังเกิดอาการไม่พอใจแทบทุกครั้ง ล่าสุดได้ออกมาพูดถึงคนจ้องล้มรัฐบาลถึงสองครั้งสองครา โดยครั้งแรกได้บอกว่ามีนายธนาคาร พ่อค้าขายน้ำเมา และพ่อค้าไก่ และครั้งที่สองได้บอกว่า คนทำสื่อโดยบอกใบ้ด้วยตัวย่ออักษร ส.
2. นอกจากพฤติกรรมอันเป็นปัจเจกก่อความไม่พอใจแล้ว ยังมีนโยบายที่ก่อความเสียหายต่อประเทศโดยรวม เช่น นโยบายรับจำนำข้าว เป็นต้น รวมไปถึงโครงการป้องกันน้ำท่วม และโครงการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งส่อเค้าไม่โปร่งใส
ด้วยเหตุปัจจัย 2 ประการนี้ ผู้เขียนเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้จะต้องพบกับกระแสคัดค้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดต้านไม่ไหวก็จะยุบสภาหรือไม่ก็ถูกประชาชนไล่ให้พ้นจากตำแหน่ง
ส่วนว่าจะเป็นเมื่อใด และใครจะเป็นคนไล่นั้นคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ถ้าจะให้บอกตอนนี้คงทำได้แค่พึ่งหมอดูเพื่อคาดการณ์เท่านั้น
อะไรทำให้เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องมีอันจบลงก่อนหมดเทอม และด้วยวิธีใดระหว่างยุบสภา กับการถูกขับไล่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าดูจากเหตุปัจจัยทางการเมืองแล้วบอกได้คำเดียวว่าคนที่ทำให้รัฐบาลล้มก็คือคนในรัฐบาลอันถือได้ว่าเป็นปัจจัยภายใน และที่น่าจะทำให้รัฐบาลชุดนี้ล้มเร็วขึ้นก็คือปัจจัยภายนอก อันได้แก่คนบงการรัฐบาลที่กำลังดิ้นรน และทำทุกทางเพื่อให้ตนเองพ้นผิด และกลับบ้านอย่างเท่ เป็นปัจจัยผสมที่ทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้นเมื่อมีการผลักดันกฎหมายปรองดองฉบับสุดซอยของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งจะเข้าสภาฯ ในเดือนสิงหาคม ถ้ามีคำถามว่าระหว่างปัจจัยภายในคือพฤติกรรมและการกระทำของ ครม.ทั้งที่เป็นรายบุคคล และพฤติกรรมโดยรวมขององค์กรคือมติ ครม. อันไหนจะเป็นเหตุจุดชนวนให้เกิดระเบิดทางการเมือง และทำให้รัฐบาลนี้ล้ม ก็พอจะบอกได้คำเดียวว่าน่าจะให้น้ำหนักไปที่ปัจจัยภายนอก คือการบงการให้รัฐบาลทำในสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ และลุกขึ้นมาพร้อมกันเพื่อขับไล่รัฐบาล
ส่วนว่าเมื่อไหร่นั้นเห็นจะต้องพึ่งศาสตร์หมอดู คือ เมื่อดาวอังคารโคจรในราศีกรกฎและสิงห์ประมาณวันที่ 19 สิงหาคม-27 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งเป็นระยะที่ดาวอังคารให้โทษแก่ดวงเมือง และดวงคนบางคนที่ดาวอังคารจรมาเป็นกาลกิณี