ASTV ผู้จัดการรายวัน – “มิตซูบิชิ” เผยสัญญาณตลาดชะลอตัวเริ่มชัด ลูกค้ารถคันแรกเบรกรับรถ งานนี้ผู้ประกอบการและดีลเลอร์อ่วม แบกต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่มั่นใจหลังเปิดตัวอีโคคาร์ 4 ประตู “มิตซูบิชิ แอททราจ” เสริมทัพรุ่นมิราจช่วงเดือนก.ค.นี้ จะช่วยผลักดันยอดขายครึ่งหลังปีนี้ บรรลุเป้า 1.2 แสนคัน
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทย 4 เดือนแรก หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยมาจากการส่งมอบรถในโครงการรถคันแรก แต่หากพิจารณาดูเดือนเมษายนจะมียอดชะลอตัวลง เนื่องจากแรงกระตุ้นในการรับรถเริ่มลดลง เพราะรัฐบาลไม่ได้กำหนดเวลารับรถ ประกอบกับความไม่พร้อมของลูกค้าจึงทำให้เกิดการชะลอรับรถของลูกค้าออกไป
“นอกจากนี้ค่าเงินบาทแข็งยังกระทบต่อภาคการส่งออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีส่วนทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอความร้อนแรงลง และส่งผลต่อบรรยากาศการซื้อขายของผู้บริโภค เมื่อเกิดปัญหาต่อการวางแผนผลิตรถ รวมถึงบริหารสต็อกรถไม่ว่าจะเป็นของบริษัทรถและดีลเลอร์ ทำให้มีต้นทุนต่างๆ ตามมา ทั้งเรื่องดอกเบี้ย ค่าเช่าที่จอดรถ และค่าบำรุงรักษา นับว่าเป็นปัญหาของหลายๆ รัฐบาลทั่วโลก ที่ใช้นโยบายมากระตุ้นแบบผิดปกติ และไม่มีกรอบเวลารับรถชัดเจนเช่นนี้”
อย่างไรก็ตาม ภาพตรงนี้ยังไม่ชัดเจนมากนัก คงจะต้องใช้เวลาสัก 2-3 เดือน เพื่อดูว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติหรือไม่ โดยช่วงนี้จะเห็นบริษัทรถยนต์หลายยี่ห้อ ออกมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ระดับหนึ่ง ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภค แต่หากดูภาพรวม 4 เดือนแรก ตลาดรถไทยมียอดขายกว่า 5 แสนคัน จึงยังน่าพอใจและเป็นไปตามที่ประเมินกันไว้ ตลาดรถยนต์ปีนี้จะอยู่ที่ 1.2 ล้านคัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายกว่า 1.4 แสนคัน ที่มีโครงการรถคันแรกมาช่วยกระตุ้นอย่างมาก
นายมูราฮาชิเปิดเผยว่า ในส่วนของมิตซูบิชิมียอดขายลดลงเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากอีโคคาร์ “มิตซูบิชิ มิราจ” ที่มียอดขายลดลงเหลือเดือนละ 2,700 – 3,000 คัน จากเดิมที่จะอยู่ในระดับ 5,000 คัน แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายเบื้องต้นที่เปิดตัวครั้งแรก เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจจะขยายตัวเป็นกรณีพิเศษจากโครงการรถคันแรกซึ่งมิตซูบิชิตั้งเป้าหมายการขายปีนี้ประมาณ 10% ของภาพรวมตลาด หรือ 1.2 แสนคัน โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8.3%
“ยังมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้บรรลุเป้า เพราะในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้มิตซูบิชิจะเปิดตัวอีโคคาร์เวอร์ชั่นซีดาน หรือแบบ 4 ประตู ในชื่อรุ่น มิตซูบิชิ แอททราจ ที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกของโลกเพื่อมาเสริมรุ่นมิราจอีโคคาร์แบบเฮทช์แบ็ก พร้อมกันนี้เพื่อรับปัญหาตลาดในประเทศลดลง จึงเตรียมเพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออกมากขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 30% ของกำลังการผลิต จะเพิ่มเป็น 40% และอีก 60% จะเป็นขายในประเทศ โดยตลาดส่งออกหลักๆ ของมิตซูบิชิจะอยู่ที่อาเซียน รองลงมาเป็นแอฟริกา ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง เป็นต้น”
สำหรับชื่อรุ่น “แอททราจ” (Attrage) มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Attractive หมายถึงความมีสเน่ห์ดึงดูดใจ โดยจุดเด่นของมิตซูบิชิ แอททราจ อยู่ที่การเป็นรถประหยัดน้ำมันมีอัตราสิ้นเปลือง 22 กม./ลิตร ตัวถังออกแบบให้มีความคล่องตัว น้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรงสูง พร้อมกับมีห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบายกว่ารุ่นมิราจ ซึ่งในส่วนของราคาและเป้าหมายการขายรุ่นแอททราจยังไม่กำหนดชัดเจน จนกว่าจะถึงเวลาเปิดขายเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถยนต์ในไทย 4 เดือนแรก หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ยังมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยมาจากการส่งมอบรถในโครงการรถคันแรก แต่หากพิจารณาดูเดือนเมษายนจะมียอดชะลอตัวลง เนื่องจากแรงกระตุ้นในการรับรถเริ่มลดลง เพราะรัฐบาลไม่ได้กำหนดเวลารับรถ ประกอบกับความไม่พร้อมของลูกค้าจึงทำให้เกิดการชะลอรับรถของลูกค้าออกไป
“นอกจากนี้ค่าเงินบาทแข็งยังกระทบต่อภาคการส่งออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีส่วนทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอความร้อนแรงลง และส่งผลต่อบรรยากาศการซื้อขายของผู้บริโภค เมื่อเกิดปัญหาต่อการวางแผนผลิตรถ รวมถึงบริหารสต็อกรถไม่ว่าจะเป็นของบริษัทรถและดีลเลอร์ ทำให้มีต้นทุนต่างๆ ตามมา ทั้งเรื่องดอกเบี้ย ค่าเช่าที่จอดรถ และค่าบำรุงรักษา นับว่าเป็นปัญหาของหลายๆ รัฐบาลทั่วโลก ที่ใช้นโยบายมากระตุ้นแบบผิดปกติ และไม่มีกรอบเวลารับรถชัดเจนเช่นนี้”
อย่างไรก็ตาม ภาพตรงนี้ยังไม่ชัดเจนมากนัก คงจะต้องใช้เวลาสัก 2-3 เดือน เพื่อดูว่าสถานการณ์จะกลับมาปกติหรือไม่ โดยช่วงนี้จะเห็นบริษัทรถยนต์หลายยี่ห้อ ออกมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ระดับหนึ่ง ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภค แต่หากดูภาพรวม 4 เดือนแรก ตลาดรถไทยมียอดขายกว่า 5 แสนคัน จึงยังน่าพอใจและเป็นไปตามที่ประเมินกันไว้ ตลาดรถยนต์ปีนี้จะอยู่ที่ 1.2 ล้านคัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มียอดขายกว่า 1.4 แสนคัน ที่มีโครงการรถคันแรกมาช่วยกระตุ้นอย่างมาก
นายมูราฮาชิเปิดเผยว่า ในส่วนของมิตซูบิชิมียอดขายลดลงเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากอีโคคาร์ “มิตซูบิชิ มิราจ” ที่มียอดขายลดลงเหลือเดือนละ 2,700 – 3,000 คัน จากเดิมที่จะอยู่ในระดับ 5,000 คัน แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายเบื้องต้นที่เปิดตัวครั้งแรก เพียงแต่ที่ผ่านมาอาจจะขยายตัวเป็นกรณีพิเศษจากโครงการรถคันแรกซึ่งมิตซูบิชิตั้งเป้าหมายการขายปีนี้ประมาณ 10% ของภาพรวมตลาด หรือ 1.2 แสนคัน โดยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8.3%
“ยังมั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้บรรลุเป้า เพราะในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้มิตซูบิชิจะเปิดตัวอีโคคาร์เวอร์ชั่นซีดาน หรือแบบ 4 ประตู ในชื่อรุ่น มิตซูบิชิ แอททราจ ที่ประเทศไทยเป็นครั้งแรกของโลกเพื่อมาเสริมรุ่นมิราจอีโคคาร์แบบเฮทช์แบ็ก พร้อมกันนี้เพื่อรับปัญหาตลาดในประเทศลดลง จึงเตรียมเพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออกมากขึ้น จากเดิมอยู่ที่ 30% ของกำลังการผลิต จะเพิ่มเป็น 40% และอีก 60% จะเป็นขายในประเทศ โดยตลาดส่งออกหลักๆ ของมิตซูบิชิจะอยู่ที่อาเซียน รองลงมาเป็นแอฟริกา ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง เป็นต้น”
สำหรับชื่อรุ่น “แอททราจ” (Attrage) มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Attractive หมายถึงความมีสเน่ห์ดึงดูดใจ โดยจุดเด่นของมิตซูบิชิ แอททราจ อยู่ที่การเป็นรถประหยัดน้ำมันมีอัตราสิ้นเปลือง 22 กม./ลิตร ตัวถังออกแบบให้มีความคล่องตัว น้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรงสูง พร้อมกับมีห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบายกว่ารุ่นมิราจ ซึ่งในส่วนของราคาและเป้าหมายการขายรุ่นแอททราจยังไม่กำหนดชัดเจน จนกว่าจะถึงเวลาเปิดขายเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้