ข่าวในประเทศ - "มิตซูบิชิ" ฉลองความสำเร็จอีโคคาร์รุ่นแรก ส่งตัวตกแต่งพิเศษ “มิราจ บลูม เอดิชั่น” มีทั้งหมด 2 ทางเลือก สีม่วง Blossom Purple ราคา 549,000 บาท และสีขาวมุก White Pearl 554,000 บาท หลังจากประสบความสำเร็จทางด้านยอดขาย และคว้ารางวัลต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ เตรียมขยายตลาดส่งออกสู่ยุโรปเร็วๆ นี้
โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากแนะนำมิตซูบิชิ มิราจ สู่ตลาดเมืองตั้งแต่เดือนมีนาคม 255 ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นรถยนต์อีโค คาร์ รุ่น 5 ประตู ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากลูกค้า ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 49% (ณ เดือนมกราคม 2556)
ในขณะที่ยอดขายรวมนับจากเปิดตัว 49,296 คัน (ณ กุมภาพันธ์ 2556) โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรถรุ่นมิราจเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 คันต่อเดือน หรือคิดเป็น 40-50% ของยอดขายรถยนต์รวมของบริษัทฯ สำหรับในปีนี้ได้ตั้งเป้าการจำหน่ายมิราจในประเทศไว้ที่ 4,000 คันต่อเดือน
“โอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี ของมิราจในประเทศไทย บริษัทฯ จึงได้แนะนำมิราจรุ่นตกแต่งพิเศษ ‘บลูม เอดิชั่น’ (Bloom Edition) เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งมาพร้อมเบาะผ้าแบบพรีเมียม พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมการตกแต่งสีเงิน แบบซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น และสัญลักษณ์ Bloom Edition ที่ประตูท้าย โดยมี 2 สีให้เลือก คือ สีม่วง Blossom Purple มีราคาขายอยู่ที่ 549,000 บาท และสีขาวมุก White Pearl ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่ 554,000 บาท โดยจะจำหน่ายที่โชว์รูมมิตซูบิชิทั่วประเทศ 15 มีนาคมนี้เป็นต้นไป และจะจัดแสดงในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 7 เมษายนนี้” มูราฮาชิกล่าวและว่า
สำหรับด้านการผลิตอีโคคาร์มิตซูบิชิ มิราจ ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็กภายใต้โครงการโกลบอล สมอลล์ รุ่นแรกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ถูกผลิตจากโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งนอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว ไทยถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิที่ใหญ่ที่สุด โดยยอดการผลิตรวมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ทำการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ไปแล้วกว่า 109,300 เพื่อขายในประเทศ 54% หรือประมาณ 58,800 คัน และเพื่อส่งออกอีก 46% หรือประมาณ 50,500 คัน
“เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ ยังได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้สามารถส่งมอบรถที่มียอดค้างส่งมอบซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10,000 คัน ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถรับรถได้ภายใน 1-2 เดือนเท่านั้น”
มูราฮาชิเปิดเผยว่า ไม่เพียงตลาดในประเทศ มิราจยังได้รับการตอบรับในต่างประเทศ ซึ่งภายหลังจากการเปิดตัวในประเทศไทย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เริ่มทยอยเปิดตัวมิราจในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบรูไน, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมาแนะนำสู่ประเทศบังกลาเทศ และออสเตรเลีย ซึ่งล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการแนะนำมิราจใหม่ในประเทศนิวซีแลนด์ รวมทั้งยังมีแผนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ ในภูมิภาคยุโรปในลำดับต่อไป สำหรับยอดการส่งออกล่าสุดอยู่ที่กว่า 46,000 คัน โดยตลาดหลักในปัจจุบันเป็นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมิราจถูกส่งออกไปแล้วกว่า 21,500 คัน ตามมาด้วยประเทศในแถบอาเซียนและโอเชียเนีย
ทั้งนี้มิตซูบิชิ มิราจ ได้รับการคัดเลือกให้มิราจเป็นหนึ่งใน 6 รถยนต์ที่ดีที่สุดประจำปี 2012 โดย RJC (Automotive Researchers’ & Journalists’ Conference of Japan) ซึ่งเป็นคณะกรรมการคัดเลือกรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มิราจได้รับการการันตีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จากการทดสอบการชนตามมาตรฐานความปลอดภัยในรถรุ่นใหม่ของออสเตรเลีย (ANCAP)
โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากแนะนำมิตซูบิชิ มิราจ สู่ตลาดเมืองตั้งแต่เดือนมีนาคม 255 ที่ผ่านมา และประสบความสำเร็จมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นรถยนต์อีโค คาร์ รุ่น 5 ประตู ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากลูกค้า ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณ 49% (ณ เดือนมกราคม 2556)
ในขณะที่ยอดขายรวมนับจากเปิดตัว 49,296 คัน (ณ กุมภาพันธ์ 2556) โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรถรุ่นมิราจเฉลี่ยอยู่ที่ 5,000 คันต่อเดือน หรือคิดเป็น 40-50% ของยอดขายรถยนต์รวมของบริษัทฯ สำหรับในปีนี้ได้ตั้งเป้าการจำหน่ายมิราจในประเทศไว้ที่ 4,000 คันต่อเดือน
“โอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี ของมิราจในประเทศไทย บริษัทฯ จึงได้แนะนำมิราจรุ่นตกแต่งพิเศษ ‘บลูม เอดิชั่น’ (Bloom Edition) เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้า ซึ่งมาพร้อมเบาะผ้าแบบพรีเมียม พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมการตกแต่งสีเงิน แบบซิลเวอร์ เดคคอเรชั่น และสัญลักษณ์ Bloom Edition ที่ประตูท้าย โดยมี 2 สีให้เลือก คือ สีม่วง Blossom Purple มีราคาขายอยู่ที่ 549,000 บาท และสีขาวมุก White Pearl ซึ่งมีราคาขายอยู่ที่ 554,000 บาท โดยจะจำหน่ายที่โชว์รูมมิตซูบิชิทั่วประเทศ 15 มีนาคมนี้เป็นต้นไป และจะจัดแสดงในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ระหว่างวันที่ 25 มีนาคม - 7 เมษายนนี้” มูราฮาชิกล่าวและว่า
สำหรับด้านการผลิตอีโคคาร์มิตซูบิชิ มิราจ ซึ่งเป็นรถยนต์ขนาดเล็กภายใต้โครงการโกลบอล สมอลล์ รุ่นแรกของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ที่ถูกผลิตจากโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ณ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ซึ่งนอกจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว ไทยถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิที่ใหญ่ที่สุด โดยยอดการผลิตรวมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ทำการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ไปแล้วกว่า 109,300 เพื่อขายในประเทศ 54% หรือประมาณ 58,800 คัน และเพื่อส่งออกอีก 46% หรือประมาณ 50,500 คัน
“เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น บริษัทฯ ยังได้เพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้สามารถส่งมอบรถที่มียอดค้างส่งมอบซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 10,000 คัน ได้เร็วยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถรับรถได้ภายใน 1-2 เดือนเท่านั้น”
มูราฮาชิเปิดเผยว่า ไม่เพียงตลาดในประเทศ มิราจยังได้รับการตอบรับในต่างประเทศ ซึ่งภายหลังจากการเปิดตัวในประเทศไทย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น เริ่มทยอยเปิดตัวมิราจในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบรูไน, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมาแนะนำสู่ประเทศบังกลาเทศ และออสเตรเลีย ซึ่งล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการแนะนำมิราจใหม่ในประเทศนิวซีแลนด์ รวมทั้งยังมีแผนจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ ในภูมิภาคยุโรปในลำดับต่อไป สำหรับยอดการส่งออกล่าสุดอยู่ที่กว่า 46,000 คัน โดยตลาดหลักในปัจจุบันเป็นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมิราจถูกส่งออกไปแล้วกว่า 21,500 คัน ตามมาด้วยประเทศในแถบอาเซียนและโอเชียเนีย
ทั้งนี้มิตซูบิชิ มิราจ ได้รับการคัดเลือกให้มิราจเป็นหนึ่งใน 6 รถยนต์ที่ดีที่สุดประจำปี 2012 โดย RJC (Automotive Researchers’ & Journalists’ Conference of Japan) ซึ่งเป็นคณะกรรมการคัดเลือกรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มิราจได้รับการการันตีมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จากการทดสอบการชนตามมาตรฐานความปลอดภัยในรถรุ่นใหม่ของออสเตรเลีย (ANCAP)