ตลาดหลักทรัพย์ฯเตรียมปรับเป้าบัญชีเพิ่มขึ้นอีก1เท่าตัวจากเดิม 8 แสน เป็น 1.6 ล้านบัญชี แก้ปัญหาราคาหุ้นสูงผิดปกติ พร้อมโรดโชว์สร้างความมั่นใจนักลงทุนในหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และทวีปยุโรปช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ให้เห็นถึงศักยภาพหุ้นไทย ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ชูจุดเด่นไทยเป็นศูนย์กลางการค้าลุ่มน้ำโขง เชื่อมั่นในระยะยาว 7 ปีเศรษฐกิจไทยจะโตต่อเนื่อง
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งเป้านักลงทุนไทยเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวเป็น 1,600,000 บัญชี จากปัจจุบันที่มีประมาณ 800,000 บัญชี เช่นเดียวกับประเทศ ตุรกี และเกาหลี ที่ส่งเสริมนักลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวต่อเนื่องทุกปี ทั้งนี้ถ้าหากไม่ส่งเสริมนักลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดยังคงเท่าเดิม ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงเพิ่มมากขึ้นผิดปกติ ก็จะทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเสี่ยงที่จะลงทุน เพราะตลาดหุ้นที่ดีควรมีความสมดุล มีเสถียรภาพ ในด้านต่างๆ สามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืน ก้าวหน้าไปด้วยความสอดคล้องกันทั้งอุปสงค์ และอุปทาน
เพราะฉะนั้นโดยรวมต้องดูที่นักลงทุนทุกกลุ่มจะเน้นเจาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้ เนื่องจากบางประเทศมีแต่นักลงทุนที่เป็นสถาบัน 75% - 80% ในขณะเดียวกันประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่สมดุลมีทั้งนักลงทุนรายย่อย กับสถาบันในประเทศ และสถาบันต่างประเทศ มีโมเดลที่ใกล้เคียงใต้หวันและเกาหลี ถือว่าเป็นสมดุลที่ดีกว่าตลาดหุ้นที่มีแต่สถาบันอย่างเดียว
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้วางแผนโปรโมทนักลงทุนรายย่อยตามจังหวัดใหญ่ๆในภูมิภาคต่างๆ10 จังหวัด และโครงการต่างๆในภูมิภาคจะขยายไปในที่ต่างๆอย่างสมดุล ไม่ใช่มุ่งแต่อินเตอร์เน็ตอย่างเดียว แต่ควรมีนักลงทุนทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพด้วย เพราะธุรกิจในต่างจังหวัด เติบโตเร็ว โดยเฉพาะในจังหวัดที่ติดชายแดนจะเติบโตได้อย่างรวดเร็วมาก และจะมีความมั่งคั่งเกิดขึ้นจากเการเปิดเขตการค้าเสรี
ในส่วนของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ จะมีการโปรโมทให้เห็นถึงหุ้นที่มีความน่าสนใจลงทุน เช่นหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นไทยที่มีสภาพคล่องสูงมากถึง 33 ตัว หุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อขายวันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นักลงทุนต่างชาติจะมีความมั่นใจที่จะลงทุน หาช่องทางให้หุ้นเข้าสู่ดัชนี MSCI เพิ่มมากขึ้น เพราะมีนักลงทุนต่างประเทศจำนวนมากที่อ้างอิงดัชนี MSCI ก็จะลงทุนตามนั้น จากที่ผ่านมาหุ้นในตลาดหุ้นไทยได้เข้าไปอยู่ในดัชนี MSCI เพิ่มขึ้นอีก 4 ตัว ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นที่อยากจะมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยอาจจะเป็นหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนาดใหญ่ BTS หรือ TIF
ขณะเดียวกันแผนโรดโชว์ที่กำลังจะทำขณะนี้คือ การนำข้อมูลบริษัทจดทะเบียนไปนำเสนอนักลงทุนทวีปยุโรป เช่นประเทศสวีเดน ในเดือนมิถุนายน โดยเน้นนำเสนอความน่าลงทุน จากการที่ตลาดหุ้นไทยเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งวอลุ่มเทรดที่นักลงทุนในยุโรปสามารถลงทุนได้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนจากยุโรปเข้ามา ลงทุนเพิ่มมากขึ้น ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะสถาบันต่างประเทศที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยถือว่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและจากนโยบายด้านคมนาคมขนาดใหญ่จากภาครัฐ จะช่วยเชื่อมโยงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตประเทศลุ่มแม่น้ำโขงโดยรอบ ซึ่งประเทศเหล่านี้เติบโตเร็วที่สุด
"ในระยะยาว 7 ปีเศรษฐกิจไทยจะโตต่อเนื่อง และนักลงทุนต่างประเทศจะเน้นการลงทุนหุ้นระยะยาว 5-10 ปี จึงตัดความกังวลใจในเรื่องของการใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งพักเงินชั่วคราวออกไปได้"
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งเป้านักลงทุนไทยเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าตัวเป็น 1,600,000 บัญชี จากปัจจุบันที่มีประมาณ 800,000 บัญชี เช่นเดียวกับประเทศ ตุรกี และเกาหลี ที่ส่งเสริมนักลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวต่อเนื่องทุกปี ทั้งนี้ถ้าหากไม่ส่งเสริมนักลงทุนให้เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดยังคงเท่าเดิม ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงเพิ่มมากขึ้นผิดปกติ ก็จะทำให้นักลงทุนไม่กล้าที่จะเสี่ยงที่จะลงทุน เพราะตลาดหุ้นที่ดีควรมีความสมดุล มีเสถียรภาพ ในด้านต่างๆ สามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืน ก้าวหน้าไปด้วยความสอดคล้องกันทั้งอุปสงค์ และอุปทาน
เพราะฉะนั้นโดยรวมต้องดูที่นักลงทุนทุกกลุ่มจะเน้นเจาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้ เนื่องจากบางประเทศมีแต่นักลงทุนที่เป็นสถาบัน 75% - 80% ในขณะเดียวกันประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่สมดุลมีทั้งนักลงทุนรายย่อย กับสถาบันในประเทศ และสถาบันต่างประเทศ มีโมเดลที่ใกล้เคียงใต้หวันและเกาหลี ถือว่าเป็นสมดุลที่ดีกว่าตลาดหุ้นที่มีแต่สถาบันอย่างเดียว
ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้วางแผนโปรโมทนักลงทุนรายย่อยตามจังหวัดใหญ่ๆในภูมิภาคต่างๆ10 จังหวัด และโครงการต่างๆในภูมิภาคจะขยายไปในที่ต่างๆอย่างสมดุล ไม่ใช่มุ่งแต่อินเตอร์เน็ตอย่างเดียว แต่ควรมีนักลงทุนทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพด้วย เพราะธุรกิจในต่างจังหวัด เติบโตเร็ว โดยเฉพาะในจังหวัดที่ติดชายแดนจะเติบโตได้อย่างรวดเร็วมาก และจะมีความมั่งคั่งเกิดขึ้นจากเการเปิดเขตการค้าเสรี
ในส่วนของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ จะมีการโปรโมทให้เห็นถึงหุ้นที่มีความน่าสนใจลงทุน เช่นหุ้นใหญ่ในตลาดหุ้นไทยที่มีสภาพคล่องสูงมากถึง 33 ตัว หุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซื้อขายวันละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ นักลงทุนต่างชาติจะมีความมั่นใจที่จะลงทุน หาช่องทางให้หุ้นเข้าสู่ดัชนี MSCI เพิ่มมากขึ้น เพราะมีนักลงทุนต่างประเทศจำนวนมากที่อ้างอิงดัชนี MSCI ก็จะลงทุนตามนั้น จากที่ผ่านมาหุ้นในตลาดหุ้นไทยได้เข้าไปอยู่ในดัชนี MSCI เพิ่มขึ้นอีก 4 ตัว ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นที่อยากจะมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยอาจจะเป็นหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนาดใหญ่ BTS หรือ TIF
ขณะเดียวกันแผนโรดโชว์ที่กำลังจะทำขณะนี้คือ การนำข้อมูลบริษัทจดทะเบียนไปนำเสนอนักลงทุนทวีปยุโรป เช่นประเทศสวีเดน ในเดือนมิถุนายน โดยเน้นนำเสนอความน่าลงทุน จากการที่ตลาดหุ้นไทยเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งวอลุ่มเทรดที่นักลงทุนในยุโรปสามารถลงทุนได้ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนจากยุโรปเข้ามา ลงทุนเพิ่มมากขึ้น ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะสถาบันต่างประเทศที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยถือว่ามากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เพราะไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าและจากนโยบายด้านคมนาคมขนาดใหญ่จากภาครัฐ จะช่วยเชื่อมโยงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในเขตประเทศลุ่มแม่น้ำโขงโดยรอบ ซึ่งประเทศเหล่านี้เติบโตเร็วที่สุด
"ในระยะยาว 7 ปีเศรษฐกิจไทยจะโตต่อเนื่อง และนักลงทุนต่างประเทศจะเน้นการลงทุนหุ้นระยะยาว 5-10 ปี จึงตัดความกังวลใจในเรื่องของการใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งพักเงินชั่วคราวออกไปได้"
