เพชรบุรี - ผบช.ภ.7 ลงเพชรบุรี เรียกประชุมตำรวจ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการแนวทางการสืบสวนสอบล่าคนร้ายลอบฆ่าช้างป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มุ่งประเด็นความขัดแย้งของชาวบ้านทำการเกษตรกับช้างในพื้นที่ ด้านอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติยันยังไม่เด้งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเหตุช้างตาย พร้อมสั่งตั้งกรรมการสอบคาด 30 วันรู้ผล ขณะที่เจ้าตัวยันมั่นใจชี้แจงได้
เวลา 10.00 น.วานนี้ (11 เม.ย.) พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภ.7 พร้อม พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธ์ รอง ผบช.ภ.7 เดินทางมาที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี เพื่อรวมประชุมวางแนวทางการสืบสวนกรณีช้างป่าถูกฆ่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมีส่วนเกี่ยวข้องประกอบด้วยศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ตชด.144 ทหารหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ และ สภ.แก่งกระจาน ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคดีทั้งความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีช้างถูกฆ่า เมื่อวันที่ 8 มี.ค.56 และข้อมูลในคดีที่พบซากช้าง เมื่อวันที่ 9 เม.ย.56 ที่มีการนำเสนอผลการปฏิบัติงาน และร่วมหารือปัญหาข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะอื่นๆ เกี่ยวกับคดี โดยการประชุมใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง จึงให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
พล.ต.ท.หาญพล กล่าวหลังประชุมว่า วันนี้ได้มาประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อบูรณาการร่วมกัน โดยขณะนี้ยังไม่แน่ชัดถึงการตายของช้างที่พบล่าสุด เพราะต้องรอผลตรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน และสัตวแพทย์ถึงสาเหตุการตายของช้างก่อน ทั้งกระสุนลูกซอง ลูกปราย และขนาด .22 LR เพราะจากตำแหน่งที่ตรวจพบหัวกระสุนปืนนั้น ยังไม่สามารถทำให้ช้างถึงแก่ความตายได้ในทันทีทันใดหลังจากถูกยิง ซึ่งช้างอาจจะถูกยิงแล้วได้รับบาดเจ็บมาก่อนแล้วผลภายหลังจนทำให้ช้างถึงแก่ความตายได้ในเวลาต่อมา
ส่วนกรณีที่คาดกันว่าน่าจะเป็นการฆ่าช้างเพื่อเอาอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นเพดาน หรือลิ้นช้างนั้น ประเด็นนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ เนื่องจากช้างที่พบเป็นช้างเพศเมีย ไม่มีงา อวัยวะที่น่าจะมีการนำไปซื้อขายกันได้แบบควาญล่าช้างดั้งเดิมนั้นก็จะมีปลายงวง อวัยวะเพศช้างตัวผู้ และปลายหาง ซึ่งขณะนี้อวัยวะพวกนี้ยังอยู่ครบ
"ส่วนประเด็นตอนนี้มุ่งไปที่การกระทบกระทั่งระหว่างชาวบ้านที่มีอาชีพในการทำพืชไร่ในละแวกดังกล่าว โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้มีการกวาดล้างยึดอาวุธปืนทั้งหมดกว่า 100 กระบอก มาทำการตรวจสอบ ซึ่งผลขณะนี้ยังไม่ออกมาเนื่องจากยังทำการตรวจไม่ครบ อีกทั้งหัวกระสุนที่พบในช้างที่ตายล่าสุดนี้ก็เป็นหัวกระสุนชนิดเดียวกับหัวกระสุนที่พบในตัวของช้างตัวที่ตายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนรอยที่พบบนหัวกะโหลกของช้างนั้นยังไม่ระบุได้ว่าเป็นร่องรอยของหัวกระสุนหรือไม่ เนื่องจากทางสัตวแพทย์บอกว่า เป็นรอยธรรมชาติของช้าง แต่ไม่ใช่รอยอาวุธปืนแน่นอน"
ผบช.ภ.7 กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ได้วางแนวทางการสืบสวนในหลายประเด็น แต่ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ซึ่งได้มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยทางทหารกับทางฝ่ายปกครองก็มีศูนย์ประสานงานอยู่ที่ อบต.ป่าเด็ง การข่าวทั้งหมดจะเข้าไปที่สำนักงาน และจะกระจายไปในส่วนของเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องจนนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป
"ช้างตัวนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าถูกยิงในพื้นที่ใกล้เคียงกัน หรืออาจถูกยิงพร้อมกันกับช้างตัวที่ตายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยช้างตัวนี้อาจถูกยิงบาดเจ็บ และเกิดการสะสมจนทำให้ตาย ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่มีการกวาดล้างอาวุธปืนหลังจากเกิดเหตุช้างตายตัวแรกก็ไม่น่าจะมีการยิงช้างในพื้นที่อีก เพราะฉะนั้น ช้างตัวนี้อาจถูกยิงก่อนที่จะมีการกวดล้างอาวุธปืนก็อาจเป็นได้ แต่ที่แน่ชัดคือ ช้างไม่ได้ถูกยิงแล้วตายทันทีในจุดที่พบซากช้างอย่างแน่นอน"
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดเผยกรณีหลังทราบว่าอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนคนเองว่า ขณะนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือ และหากมีการตั้งกรรมการสอบจริงตนก็พร้อมที่จะชี้แจง หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับกรณีช้างตายก็อย่างที่เห็นมีสถานการณ์รุนแรงอย่างที่เห็นอย่างต่อเนื่อง เพราะเขาไม่เกรงกลัวเราขณะตอนที่เกิดเหตุตอนช้างตายเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ก็มีทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจในพื้นที่มากมายที่ออกลาดตระเวนเพื่อระวังกัน แต่เราก็ทำได้แค่นั้นเพราะพื้นที่กว้างใหญ่แต่กำลังพลมีน้อย ส่วนภัยคุกคามมีมากทั้งในเรื่องบุกรุกตามแนวตะเข็บชายแดน บุกรุกป่า ตัดไม้ และล่าสัตว์ แต่หากมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง
ด้านนายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวถึงกรณีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในกรณีช้างตายล่าสุดว่า การตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมาช้างตาย 2-3 ตัว เว้นระยะห่างกันเพียงไม่นาน ที่สำคัญล่าสุดยังเป็นช้างที่กำลังตั้งท้องด้วย แต่หัวหน้าอุทยานฯกลับไปให้ข่าวสับสนว่าเป็นช้างตัวผู้ที่ถูกฆ่าเอางา ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ทำไมจึงไม่ลงไปดูให้แน่ชัด จึงต้องมีการตั้งกรรมการสอบ ที่เป็นการสอบหาข้อเท็จจริงว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากอะไร ไม่ใช่การตั้งเป้าสอบนายชัยวัฒน์ คนเดียวแต่จะสอบถามกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งข้าราชการ และประชาชน เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของกรมอุทยานฯหน่วยงานเดียว แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเป็นเจ้าภาพร่วมกัน
"ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับนายชัยวัฒน์แน่นอน ทั้งนี้หากเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ คนก่อนถ้าเกิดเหตุช้างตายในลักษณะนี้หัวหน้าอุทยานฯ ต้องถูกย้ายเข้ามาประจำที่กรมทันที แต่ตนยังให้เกียรติและให้นายชัยวัฒน์ทำงานต่อไปก่อน"
เมื่อถามว่านายชัยวัฒน์ ยังทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานฯจะเป็นอุปสรรคในการสอบข้อเท็จจริงหรือไม่ นายมโนพัศ กล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่เป็นอุปสรรค เพราะเป็นการสอบถามข้อเท็จจริงที่จะถามข้อมูลจากทุกฝ่าย เพราะทุกคนมีความสงสัย พื้นที่แก่งกระจานกับอุทยานฯ กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็ติดกันมีช้างจำนวนมากทั้ง 2 พื้นที่ เหตุใดที่กุยบุรีช้างไม่ตาย เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น โดยให้กนายเชิดชัย จริยปัญญา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เป็นประธานในการสอบสวนเพราะอยู่ในพื้นที่ จะทราบปัญหาดี ร่วมกับนิติกรและเจ้าหน้าที่สำนักบริหารกลางกรมอุทยานฯ โดยใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบ 30 วัน จะทราบความคืบหน้าของกรณีนี้ ส่วนเรื่องคดีก็ให้เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เวลา 10.00 น.วานนี้ (11 เม.ย.) พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภ.7 พร้อม พล.ต.ต.วิทยา ประยงค์พันธ์ รอง ผบช.ภ.7 เดินทางมาที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบุรี เพื่อรวมประชุมวางแนวทางการสืบสวนกรณีช้างป่าถูกฆ่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมีส่วนเกี่ยวข้องประกอบด้วยศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 7 ตชด.144 ทหารหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ และ สภ.แก่งกระจาน ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับคดีทั้งความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนคดีช้างถูกฆ่า เมื่อวันที่ 8 มี.ค.56 และข้อมูลในคดีที่พบซากช้าง เมื่อวันที่ 9 เม.ย.56 ที่มีการนำเสนอผลการปฏิบัติงาน และร่วมหารือปัญหาข้อขัดข้อง และข้อเสนอแนะอื่นๆ เกี่ยวกับคดี โดยการประชุมใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง จึงให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน
พล.ต.ท.หาญพล กล่าวหลังประชุมว่า วันนี้ได้มาประชุมร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อบูรณาการร่วมกัน โดยขณะนี้ยังไม่แน่ชัดถึงการตายของช้างที่พบล่าสุด เพราะต้องรอผลตรวจจากกองพิสูจน์หลักฐาน และสัตวแพทย์ถึงสาเหตุการตายของช้างก่อน ทั้งกระสุนลูกซอง ลูกปราย และขนาด .22 LR เพราะจากตำแหน่งที่ตรวจพบหัวกระสุนปืนนั้น ยังไม่สามารถทำให้ช้างถึงแก่ความตายได้ในทันทีทันใดหลังจากถูกยิง ซึ่งช้างอาจจะถูกยิงแล้วได้รับบาดเจ็บมาก่อนแล้วผลภายหลังจนทำให้ช้างถึงแก่ความตายได้ในเวลาต่อมา
ส่วนกรณีที่คาดกันว่าน่าจะเป็นการฆ่าช้างเพื่อเอาอวัยวะ ไม่ว่าจะเป็นเพดาน หรือลิ้นช้างนั้น ประเด็นนี้ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ เนื่องจากช้างที่พบเป็นช้างเพศเมีย ไม่มีงา อวัยวะที่น่าจะมีการนำไปซื้อขายกันได้แบบควาญล่าช้างดั้งเดิมนั้นก็จะมีปลายงวง อวัยวะเพศช้างตัวผู้ และปลายหาง ซึ่งขณะนี้อวัยวะพวกนี้ยังอยู่ครบ
"ส่วนประเด็นตอนนี้มุ่งไปที่การกระทบกระทั่งระหว่างชาวบ้านที่มีอาชีพในการทำพืชไร่ในละแวกดังกล่าว โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้มีการกวาดล้างยึดอาวุธปืนทั้งหมดกว่า 100 กระบอก มาทำการตรวจสอบ ซึ่งผลขณะนี้ยังไม่ออกมาเนื่องจากยังทำการตรวจไม่ครบ อีกทั้งหัวกระสุนที่พบในช้างที่ตายล่าสุดนี้ก็เป็นหัวกระสุนชนิดเดียวกับหัวกระสุนที่พบในตัวของช้างตัวที่ตายในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนรอยที่พบบนหัวกะโหลกของช้างนั้นยังไม่ระบุได้ว่าเป็นร่องรอยของหัวกระสุนหรือไม่ เนื่องจากทางสัตวแพทย์บอกว่า เป็นรอยธรรมชาติของช้าง แต่ไม่ใช่รอยอาวุธปืนแน่นอน"
ผบช.ภ.7 กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ได้วางแนวทางการสืบสวนในหลายประเด็น แต่ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ซึ่งได้มีการแบ่งหน้าที่กันทำ โดยทางทหารกับทางฝ่ายปกครองก็มีศูนย์ประสานงานอยู่ที่ อบต.ป่าเด็ง การข่าวทั้งหมดจะเข้าไปที่สำนักงาน และจะกระจายไปในส่วนของเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องจนนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป
"ช้างตัวนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าถูกยิงในพื้นที่ใกล้เคียงกัน หรืออาจถูกยิงพร้อมกันกับช้างตัวที่ตายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยช้างตัวนี้อาจถูกยิงบาดเจ็บ และเกิดการสะสมจนทำให้ตาย ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่มีการกวาดล้างอาวุธปืนหลังจากเกิดเหตุช้างตายตัวแรกก็ไม่น่าจะมีการยิงช้างในพื้นที่อีก เพราะฉะนั้น ช้างตัวนี้อาจถูกยิงก่อนที่จะมีการกวดล้างอาวุธปืนก็อาจเป็นได้ แต่ที่แน่ชัดคือ ช้างไม่ได้ถูกยิงแล้วตายทันทีในจุดที่พบซากช้างอย่างแน่นอน"
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดเผยกรณีหลังทราบว่าอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบสวนคนเองว่า ขณะนี้ตนยังไม่เห็นหนังสือ และหากมีการตั้งกรรมการสอบจริงตนก็พร้อมที่จะชี้แจง หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับกรณีช้างตายก็อย่างที่เห็นมีสถานการณ์รุนแรงอย่างที่เห็นอย่างต่อเนื่อง เพราะเขาไม่เกรงกลัวเราขณะตอนที่เกิดเหตุตอนช้างตายเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ก็มีทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจในพื้นที่มากมายที่ออกลาดตระเวนเพื่อระวังกัน แต่เราก็ทำได้แค่นั้นเพราะพื้นที่กว้างใหญ่แต่กำลังพลมีน้อย ส่วนภัยคุกคามมีมากทั้งในเรื่องบุกรุกตามแนวตะเข็บชายแดน บุกรุกป่า ตัดไม้ และล่าสัตว์ แต่หากมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง
ด้านนายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวถึงกรณีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในกรณีช้างตายล่าสุดว่า การตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมาช้างตาย 2-3 ตัว เว้นระยะห่างกันเพียงไม่นาน ที่สำคัญล่าสุดยังเป็นช้างที่กำลังตั้งท้องด้วย แต่หัวหน้าอุทยานฯกลับไปให้ข่าวสับสนว่าเป็นช้างตัวผู้ที่ถูกฆ่าเอางา ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ ทำไมจึงไม่ลงไปดูให้แน่ชัด จึงต้องมีการตั้งกรรมการสอบ ที่เป็นการสอบหาข้อเท็จจริงว่ากรณีดังกล่าวเกิดจากอะไร ไม่ใช่การตั้งเป้าสอบนายชัยวัฒน์ คนเดียวแต่จะสอบถามกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งข้าราชการ และประชาชน เพราะปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาของกรมอุทยานฯหน่วยงานเดียว แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเป็นเจ้าภาพร่วมกัน
"ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับนายชัยวัฒน์แน่นอน ทั้งนี้หากเป็นอธิบดีกรมอุทยานฯ คนก่อนถ้าเกิดเหตุช้างตายในลักษณะนี้หัวหน้าอุทยานฯ ต้องถูกย้ายเข้ามาประจำที่กรมทันที แต่ตนยังให้เกียรติและให้นายชัยวัฒน์ทำงานต่อไปก่อน"
เมื่อถามว่านายชัยวัฒน์ ยังทำหน้าที่หัวหน้าอุทยานฯจะเป็นอุปสรรคในการสอบข้อเท็จจริงหรือไม่ นายมโนพัศ กล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่เป็นอุปสรรค เพราะเป็นการสอบถามข้อเท็จจริงที่จะถามข้อมูลจากทุกฝ่าย เพราะทุกคนมีความสงสัย พื้นที่แก่งกระจานกับอุทยานฯ กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ก็ติดกันมีช้างจำนวนมากทั้ง 2 พื้นที่ เหตุใดที่กุยบุรีช้างไม่ตาย เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น โดยให้กนายเชิดชัย จริยปัญญา ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) เป็นประธานในการสอบสวนเพราะอยู่ในพื้นที่ จะทราบปัญหาดี ร่วมกับนิติกรและเจ้าหน้าที่สำนักบริหารกลางกรมอุทยานฯ โดยใช้ระยะเวลาในการตรวจสอบ 30 วัน จะทราบความคืบหน้าของกรณีนี้ ส่วนเรื่องคดีก็ให้เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ