xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

อายัดทรัพย์ 'พล.อ.เสถียร' วิบากกรรมทหารแตงโม สิ้นบารมี 'ทักกี้'ไม่เหลียวแล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นับเป็นหน้าประวัติศาสตร์ของกองทัพไทยเลยทีเดียวสำหรับกรณีของ 'พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์' อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สั่งอายัดทรัพย์จำนวนถึง 65 ล้าน เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่ 'บิ๊ก ทหาร' จะถูกดำเนินคดีคอร์รัปชั่น !!

โดยทรัพย์ที่ ป.ป.ช. มีคำสั่งอายัดเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2556 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย เงินฝากในธนาคาร 5 บัญชี โฉนดที่ดิน 7 แปลง น.ส.3 ก. 2 แปลง และรถยนต์อีก 2 คัน รวมมูลค่า 65 ล้านบาท ซึ่งทรัพย์สินในส่วนนี้อยู่ในชื่อของ 'ดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์' ซึ่งเป็นภรรยา และ 'ร.อ.หญิง ณิชาพัฒน์ เพิ่มทองอินทร์' บุตรสาว นอกจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังชี้มูลความผิดกรณีที่ พล.อ.เสถียร ไม่ได้แสดงทรัพย์สิน 9 รายการ จำนวน 14,127,364.79 บาท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ในระหว่างปี 2550-2551 ข้อหาเเจ้งบัญชีทรัพย์สินเเละหนี้สินอันเป็นเท็จ ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกส่งให้ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมืองเเล้ว

ที่สำคัญยังมีประเด็นที่ฮือฮาไม่แพ้กันก็คือขบวนการผ่องถ่ายทรัพย์สินซึ่งน่าจะได้มาโดยมิชอบของ 'บิ๊กเปี๊ยก' ซึ่งงานนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องมี ดร.ณัฐณิชาช์ หรือ 'มาดามอู๊ด' ศรีภรรยา อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลคำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี พ่วงท้ายด้วยดีกรี “แกนนำคนเสื้อแดง” ร่วมอยู่ในขบวนการด้วย

เนื่องจาก ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่าในสมัยที่ พล.อ.เสถียรเป็นกรรมการ อคส.จนถึงผู้บัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุดนั้นมีข้อมูลว่า พล.อ.เสถียรร่ำรวยผิดปกติ เพราะมีเงินเข้าบัญชีของ พล.อ.เสถียร 10 กว่าล้านบาท ขณะที่ภรรยาเเละบุตรสาวของ พล.อ.เสถียรนั้น พบว่ามีเงินเข้าบัญชี 100 กว่าล้านบาท และมีการถ่ายโอนเงินของบุตรสาวไปให้ 'นายสมบัติ จันทรวงศ์' อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของบุตรสาวของ พล.อ.เสถียร โดยนายสมบัติยอมรับกับ ป.ป.ช.ว่ารับฝากเงินจำนวนนี้ไว้จริง เเละได้นำเงินดังกล่าวไปลงทุนในสหกรณ์ออมทรัพย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวนั้นคงแปลเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากการจงใจ 'ซุกบัญชีทรัพย์สิน' ไม่ต่างจากกรณีที่ 'น.ช.ทักษิณ ชินวัตร' ซุกหุ้นไว้กับคนใช้ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ ป.ป.ช. จะมีคำสั่งอายัดบัญชีเเละทรัพย์สินอื่นๆ ของ 'ดร.ณัฐณิชาช์ ' ซึ่งเป็นภรรยา เเละ'ร.อ.หญิง ณิชาพัฒน์' บุตรสาว พล.อ.เสถียร รวม 65 ล้านบาทด้วย

ทั้งนี้ ทางด้านอาจารย์สมบัติได้ชี้แจงถึงกรณีการรับฝากเงินดังกล่าวว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลดังกล่าว เพียงแต่เป็นผู้รับฝากเงินไว้เท่านั้น

“ ผมรู้จักกับ ดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์ ภรรยา ของพล.อ.เสถียร และลูกสาวจริง โดยทั้งคู่ เป็นลูกศิษย์ ต่อมาเมื่อประมาณปี 2554 จำไม่ได้ว่าช่วงเดือนไหน ดร.ณัฐณิชาช์ ได้เดินทางมาหาพร้อมกับเงินสดจำนวน 18 ล้านบาท โดยแจ้งว่าต้องการนำมาฝาก ซึ่งขณะนั้นสอบถามแล้วรับทราบว่ามีปัญหาบางอย่างภายในครอบครัว หลังจากนั้นตนเองก็รับฝากไว้ กระทั่งต่อมา มีการติดต่อกลับมาเพื่อขอเบิกเงินจำนวนดังกล่าว แต่ได้รับเป็นเช็คจำนวน 20 กว่าล้านบาทมาแทน และเองได้ทยอยเบิกเงินสดคืนกลับไป ซึ่งยืนยันว่าผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ และไม่มีเจตนาปกปิดอะไร เนื่องจากเงินที่รับฝากมาก็นำไปเข้าธนาคารอย่างเปิดเผย โดยเรื่องเหล่านี้ผมได้เตรียมชี้แจงกับทาง ป.ป.ช. ด้วยเช่นกัน” อาจารย์สมบัติแจงถึงที่มาของเงินร้อนที่กำลังเป็นปัญหา

อย่างไรก็ดี คำอธิบายของอาจารย์สมบัติซึ่งเป็นผู้รับฝากเงินจากบุตรสาวของ พล.อ.เสถียร ดูจะไม่สามารถคลี่คลายข้อกังขาของสังคมได้ เพราะย่อมเกิดคำถามตามมาว่าเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ทรงคุณวุฒิระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยจะรับฝากเงินจำนวนนับสิบล้านบาทจากคนที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องโดยที่ไม่ได้สนใจที่มาที่ไปของเงิน แค่ได้ยินว่ามีปัญหาบางอย่างภายในครอบครัวก็ตกลงปลงใจรับเผือกร้อน ดูแลเงินให้สองแม่ลูกทันที ?

ข้างฝ่าย พล.อ.เสถียร และ 'มาดามอู๊ด' ศรีภรยานั้น ทันทีที่มีคำสั่งอายัดทรัพย์ดังกล่าวออกมา ก็พากันล่องหนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่ทรัพย์สินบางอย่างก็ถูกขายไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น บ้านพักสุดหรูในหมู่บ้านบางกอกบลูเลอวาร์ด ย่านลาดปลาเค้า ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหมู่บ้านแจ้งว่า พล.อ.เสถียร ได้ขายบ้านหลังดังกล่าวไปแล้ว หลังจาก พล.อ.เสถียร โดนคำสั่งเด้งฟ้าผ่าจากเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการประจำสำนักงานรัฐมนตรีกลาโหมได้ประมาณ 1 เดือน

สำหรับทรัพย์สินที่เพิ่มพูนขึ้นมาจะได้มาด้วยวิธีการใดนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องตรวจสอบกันต่อไป อย่างไรก็ดีจากการเปิดเผยของ 'สำนักข่าวอิศรา' พบว่า ในยุคที่ พล.อ.เสถียร เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม (ช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 27 สิงหาคม 2555) หน่วยซึ่งขึ้นตรงของสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ได้แก่ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร โรงงานวัตถุระเบิดทหาร โรงงานเภสัชกรรมทหาร ศูนย์พัฒนากิจการอวกาศกลาโหม สำนักโยธาธิการกลาโหม สำนักงานปลัดกระทรวง ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ ได้เป็นคู่สัญญาจัดซื้อจากเอกชน 81 รายการ รวมวงเงิน 300,479,179 บาท ซึ่งวงเงินว่าจ้างสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่

1.จ้างบริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด(มหาชน) จัดงานแสดงพลุจากต่างประเทศ (งานแสดงและประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ดวงประทีปพราวนภา เทิดราชาราชินี บารมีศรีแผ่นดิน 5 ธ.ค.2554) โดยสำนักโยธาธิการกลาโหม วงเงิน 26,950,000 บาท เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2554

2.จ้างบริษัท โกลบอลเทค จำกัด ก่อสร้างโครงการจัดหาเครื่องจักรเพื่อทดแทน และขยายกำลังผลิต โดย โรงงานเภสัชกรรมทหาร วงเงิน 21,500,000 บาท เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2555

3.ซื้อขายวัสดุประกอบรวมกระสุนสำหรับกระสุนปืนเล็กขนาด 5.56 มิลลิเมตร จำนวน 1,250,000 ชุด บริษัท วี.พี.ดีเฟส์น โปรดักส์ จำกัด โดยโรงงาน วัตถุระเบิดทหาร วงเงิน 15,889,500 บาท เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2554

นอกจากนั้นยังมีอีกรายการที่น่าสนใจคือ การว่าจ้างบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ให้บริการช่องสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงินเป็นรายเดือน วงเงิน 9,405,000 บาท เมื่อวันที่ 12 ม.ค.2555

กระนั้นก็ดี ประเด็นหนึ่งที่มิอาจมองข้ามคือเส้นทางการเติบโตของ พล.อ.เสถียร ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามี 'มาดามอู๊ด' ศรีภรรยาอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ โดยหลังบ้านผู้นี้ใช้ทุกวิถีทางที่จะผลักดันให้สามีขึ้นไปมีตำแหน่งระดับบิ๊กในกองทัพ โดยเฉพาะการวิ่งเต้นกับผู้หลักผู้ใหญ่เส้นสายในรัฐบาลทั้งผลักทั้งดันสามีจนได้ถึงฝั่งฝันในเก้าอี้ 'ปลัดกระทรวงกลาโหม' ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในกระทรวงแห่งนี้ อีกทั้งยังวาดหวังให้สามีได้เข้าสู่เส้นทางการเมือง ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีเฉกเช่นนายทหารรุ่นพี่หลายๆนาย

ด้วยความทะเยอทะยาน 'มาดามอู๊ด' จึงเลือกที่จะทิ้งอาชีพครูที่เงินเดือนน้อยนิดมาเป็นแม่ค้าขายของตามตลาดนัด กระทั่งมีเงินมากขึ้นจึงหันมาลงทุนในธุรกิจซื้อขายที่ดิน พร้อมกับทำธุรกิจมีเดียด้วยการเช่าเวลาสถานีวิทยุในกองทัพภาคที่ 2 ทำรายการเพลง โดยเป็นดีเจจัดรายการด้วยตัวเอง จากนั้นจึงก้าวเข้าสู่ถนนการเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เขต 4 อุบลราชธานี เมื่อปี 2544 ในนามพรรคความหวังใหม่ แต่ว่าสอบตก ในปี 2549จึงหันไปลงสมัคร ส.ว.อุบลฯ แต่พลาดไปนิดเดียว จนกระทั่งมีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีตำบลคำขวาง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลฯ เธอก็ลงชิงชัยด้วย ซึ่งครั้งนี้มาดามอู๊ดจึงได้เป็นนายกเทศมนตรีแบบไม่ยากเย็น

และเพื่อความก้าวหน้าของสามี ในยุคที่ระบอบทักษิณเฟื่องฟู 'มาดามอู๊ด' จึงตัดสินใจทุ่มสุดตัวกับบทบาทฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดอุบลฯ ซึ่งการเลือกตั้งที่ผ่านมา 'มาดามอู๊ด' สามารถนำพาผู้สมัครเพื่อไทยให้เข้าป้ายได้เป็น ส.ส.อุบลฯถึง 7 ที่นั่ง อีกทั้งยังเป็น “แกนนำเสื้อแดง” แถวหน้าในภาคอีสานคนหนึ่งอีกด้วย จึงไม่แปลกที่การโยกย้ายเมื่อ 1 ต.ค.2554 “พล.อ.เสถียร” จะอาศัยผลงานของของภรรยา เบียดแทรกเพื่อนร่วมรุ่น ตท.11 “พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์” ขึ้นมานั่งปลัดกระทรวงกลาโหม

แต่ประโยคที่ว่า 'เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ' ก็ยังคงเป็นวลีอมตะของการเมืองในระบอบทักษิณ เพราะทันทีที่ พล.อ.เสถียร ขณะที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นมางัดข้อกับ 'บิ๊กโอ๋' พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ในการเสนอชื่อแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ โดยลืมไปว่า นอกจาก พล.อ.อ.สุกำพล จะเป็นเพื่อนรักของ 'น.ช.ทักษิณ' แล้ว 'พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต' น้องชายของ 'บิ๊กโอ๋' ยังเป็นว่าที่พ่อตาของ 'โอ๊ค' พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวแก้วหัวขวดของ นช.ทักษิณด้วย ส่งผลให้ พล.อ.เสถียรถูกเด้งฟ้าผ่า พ้นเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม ไปนั่งตบยุงช่วยราชการอยู่ที่สำนักงานรัฐมนตรีกลาโหม

ดังนั้นการถูก ป.ป.ช.อายัดทรัพย์ในครั้งนี้ จึงถือเป็นวิบากกรรมที่ทำให้ 'ทหารแตงโม' อย่าง พล.อ.เสถียร ทราบซึ้งถึงสัจธรรมว่าเมื่อสิ้นอำนาจวาสนา ไร้บารมี ก็ถูก 'ถีบหัวส่ง' เพราะในยามที่ตกอับและยากลำบากที่สุดในชีวิตเช่นนี้ดูจะไม่มีใครในพรรคเพื่อไทยที่มีน้ำใจ ยื่นมือเข้าปลอบโยนช่วยเหลือ แม้แต่ 'นายใหญ่' ทักษิณ ที่ตัวเขาและภรรยาเคยทุ่มเททำงานให้ก็ไม่แม้แต่จะชายตาแล !!


กำลังโหลดความคิดเห็น