อีกไม่ถึงสัปดาห์ก็จะมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้วครับ คนกรุงเทพฯ ที่มีสิทธิ์ออกเสียงลือกตั้งอย่าได้นอนหลับทับสิทธิ์
จะเลือกใครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดี?
เป็นคำถามในวงสนทนาของผู้ที่สนใจเหตุบ้านการเมืองอยู่แทบจะทุกวงการ เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเกิดขึ้นจริงๆ มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง และจะต้องมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาบริหารกรุงเทพมหานครจริงๆ ปล่อยว่างไม่ได้ สำหรับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งก็จะเสียสิทธิ์อย่างอื่น เป็นต้นสิทธิ์ที่จะสมัครรับเลือกตั้ง สิทธิ์ที่จะร้องเรียน สิทธิ์ที่จะถอดถอนนักการเมือง ฯลฯ ที่สำคัญก็คืออาจจะได้คนที่เราไม่ต้องการให้มาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครก็ได้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เพราะกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองใหญ่ เป็นหน้าตาของประเทศไทย
และเรากำลังจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียน กรุงเทพฯ ควรที่จะเป็นเมืองหลวงของประชาคมอาเซียน
มีตัวเก็ง 2 คนในขณะนี้ที่โพลการสำรวจของสถาบันต่างๆ บอกว่าคะแนนนำผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นๆ คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เบอร์ 9 และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เบอร์ 16 ทั้งสองคนสังกัดพรรคการเมืองคนละขั้วอย่างชัดเจน
เบอร์ 9 สังกัดพรรคเพื่อไทยซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังหนีคุกอยู่เบื้องหลัง ส่วนม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งลาออกก่อนครบวาระ 1 วัน เพื่อจะได้ไม่ต้องรักษาการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง
พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นนายตำรวจใหญ่ระดับพลตำรวจเอก เป็นอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีโอกาสที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยที่การไต่เต้าจากร้อยตำรวจตรีจนกระทั่งถึงพลตำรวจเอก ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันในด้านการสืบสวนสอบสวน หรืองานที่เป็นตำรวจอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะงานส่วนใหญ่เป็นนายเวร เป็นหน้าห้อง
อีกงานหนึ่งที่ถนัดก็คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์
เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง เราจึงเห็น พล.ต.อ.พงศพัศขับรถเมล์บ้าง เก็บขยะบ้าง เปิดฝาท่อน้ำทิ้งบ้าง โชว์ให้เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ และจอโทรทัศน์
พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง จบปริญญาเอกจากเมืองนอกเมืองนา แต่ระหว่างที่ไปเรียนหนังสือมีข่าวว่าหยิบวิทยุในห้างสรรพสินค้าติดมือมาโดยลืมบอกพนักงานขาย ซึ่งนี่อาจจะเป็นรอยด่างเล็กๆ สำหรับคนเป็นตำรวจ แต่นายตำรวจใหญ่อย่าง พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ พูดตรงๆ โต้งๆ ว่า “รับไม่ได้”
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก่อนเล่นการเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยมาก่อน เมื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลาออกจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ตัดสินใจทิ้งการเมืองระดับชาติมาสู่ผู้บริหารท้องถิ่น และก็ได้รับเลือกตั้งทิ้งคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทยท่วมท้น
บุคลิกของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นคนนุ่มออกไปทางอ่อนโยน แต่บทจะแข็งก็จะเห็นว่าเป็นคนเด็ดเดี่ยวจริงจัง ดังจะเห็นจากช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานคร รัฐบาลกับกรุงเทพมหานคร ออกจะขัดๆ กันในการแก้ปัญหาน้ำท่วม รัฐบาลไปทาง กรุงเทพมหานครไปทาง
“ขอให้เชื่อผม ฟังผม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร บอกคนกรุงเทพมหานคร”
และเมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีบอกว่า อย่าแก้ปัญหาน้ำท่วมเฉพาะกรุงเทพฯ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ย้อนกลับทันทีว่า ขณะนี้เป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ก็ต้องแก้ปัญหาให้คนกรุงเทพฯ จะไปแก้ปัญหาให้จังหวัดอื่นได้ยังไง อยากให้แก้ปัญหาจังหวัดอื่นก็ออกคำสั่งมาซิ
จะเลือกใครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดี?
กรุงเทพฯ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เช่นเดียวกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นหน้าตาของประเทศ ประเทศไทยถูกทำร้ายมาตั้งแต่ที่ทักษิณสูญเสียอำนาจด้วยการถูกปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังจากนั้นทักษิณก็พยายามที่จะคืนกลับสู่อำนาจ แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนเจอปมปัญหา ทักษิณถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท และยังมีคดีค้างศาลอีกหลายคดี ทักษิณพยายามดิ้นรนให้กลับประเทศไทยได้โดยไม่ต้องติดคุก ได้สมบัติที่ถูกยึดคืน และคดีทั้งหลายทั้งปวงลบออกไปจากสารบบศาล
ทักษิณได้อำนาจรัฐไว้แล้วด้วยการส่งน้องสาวที่ไม่ประสีประสาทางการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรี นำพาประเทศไปสู่หายนะทุกขณะ ดังเช่นการรับจำนำข้าวเสียหายไปแล้ว 2 แสนล้านบาท จนขณะนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ โอดครวญแล้วว่า ไม่มีเงิน นอกจากรัฐบาลจะจัดสรรมาให้ รับซื้อหอมแดงเจ๊งไปแล้ว 2 พันล้านบาท บอกศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความจำเป็นรีบด่วนในการแก้ปัญหาน้ำท่วมขอกู้ 3.5 แสนล้านบาท ผ่านมาครบปีแล้วใช้เงินไม่ถึงหมื่นล้านบาท และขณะนี้ทั่วประเทศกำลังเจอภัยแล้ง นี่แสดงว่าไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีสติปัญญาในการบริหารประเทศอย่างชัดเจนที่สุด
แต่บรรดานักวิชาการทั้งหลายก็ทน สื่อมวลชนทั้งหลายก็ทน นอกจากทนแล้วยังประจบประแจงสนับสนุนเสริมส่งอีกด้วย
ประชาชนก็ทน
ไม่รู้ว่าจะต้องทนเพื่อให้หายนะมาถึงจะได้ไม่ต้องทนอีก เพราะถึงเวลานั้นต่างก็รู้แล้วว่าหายนะเป็นอย่างไร เสียหายขนาดไหน
จะเห็นได้ก็วันที่ 3 มีนาคม 2556 วันเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนี่แหละครับ จะให้คนที่มันเผาบ้านเผาเมืองมาคืนความสุขให้กับตัว หรือจะเข็ดขยาดกับคำพูดที่ว่า เผามันเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง พี่น้องอย่ากลับบ้านมือเปล่า
วันที่ 3 มีนาคมนี้ รู้ครับ
จะเลือกใครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดี?
เป็นคำถามในวงสนทนาของผู้ที่สนใจเหตุบ้านการเมืองอยู่แทบจะทุกวงการ เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเกิดขึ้นจริงๆ มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง และจะต้องมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาบริหารกรุงเทพมหานครจริงๆ ปล่อยว่างไม่ได้ สำหรับผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งก็จะเสียสิทธิ์อย่างอื่น เป็นต้นสิทธิ์ที่จะสมัครรับเลือกตั้ง สิทธิ์ที่จะร้องเรียน สิทธิ์ที่จะถอดถอนนักการเมือง ฯลฯ ที่สำคัญก็คืออาจจะได้คนที่เราไม่ต้องการให้มาเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครก็ได้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ เพราะกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวง เป็นเมืองใหญ่ เป็นหน้าตาของประเทศไทย
และเรากำลังจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียน กรุงเทพฯ ควรที่จะเป็นเมืองหลวงของประชาคมอาเซียน
มีตัวเก็ง 2 คนในขณะนี้ที่โพลการสำรวจของสถาบันต่างๆ บอกว่าคะแนนนำผู้สมัครรับเลือกตั้งคนอื่นๆ คือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ เบอร์ 9 และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เบอร์ 16 ทั้งสองคนสังกัดพรรคการเมืองคนละขั้วอย่างชัดเจน
เบอร์ 9 สังกัดพรรคเพื่อไทยซึ่งมี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่กำลังหนีคุกอยู่เบื้องหลัง ส่วนม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งลาออกก่อนครบวาระ 1 วัน เพื่อจะได้ไม่ต้องรักษาการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อจะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง
พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นนายตำรวจใหญ่ระดับพลตำรวจเอก เป็นอดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีโอกาสที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยที่การไต่เต้าจากร้อยตำรวจตรีจนกระทั่งถึงพลตำรวจเอก ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันในด้านการสืบสวนสอบสวน หรืองานที่เป็นตำรวจอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพราะงานส่วนใหญ่เป็นนายเวร เป็นหน้าห้อง
อีกงานหนึ่งที่ถนัดก็คือการโฆษณาประชาสัมพันธ์
เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง เราจึงเห็น พล.ต.อ.พงศพัศขับรถเมล์บ้าง เก็บขยะบ้าง เปิดฝาท่อน้ำทิ้งบ้าง โชว์ให้เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ และจอโทรทัศน์
พล.ต.อ.พงศพัศ เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง จบปริญญาเอกจากเมืองนอกเมืองนา แต่ระหว่างที่ไปเรียนหนังสือมีข่าวว่าหยิบวิทยุในห้างสรรพสินค้าติดมือมาโดยลืมบอกพนักงานขาย ซึ่งนี่อาจจะเป็นรอยด่างเล็กๆ สำหรับคนเป็นตำรวจ แต่นายตำรวจใหญ่อย่าง พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ พูดตรงๆ โต้งๆ ว่า “รับไม่ได้”
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ก่อนเล่นการเมืองด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยมาก่อน เมื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ลาออกจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ตัดสินใจทิ้งการเมืองระดับชาติมาสู่ผู้บริหารท้องถิ่น และก็ได้รับเลือกตั้งทิ้งคู่แข่งจากพรรคเพื่อไทยท่วมท้น
บุคลิกของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เป็นคนนุ่มออกไปทางอ่อนโยน แต่บทจะแข็งก็จะเห็นว่าเป็นคนเด็ดเดี่ยวจริงจัง ดังจะเห็นจากช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพมหานคร รัฐบาลกับกรุงเทพมหานคร ออกจะขัดๆ กันในการแก้ปัญหาน้ำท่วม รัฐบาลไปทาง กรุงเทพมหานครไปทาง
“ขอให้เชื่อผม ฟังผม ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร บอกคนกรุงเทพมหานคร”
และเมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีบอกว่า อย่าแก้ปัญหาน้ำท่วมเฉพาะกรุงเทพฯ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ย้อนกลับทันทีว่า ขณะนี้เป็นผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ ก็ต้องแก้ปัญหาให้คนกรุงเทพฯ จะไปแก้ปัญหาให้จังหวัดอื่นได้ยังไง อยากให้แก้ปัญหาจังหวัดอื่นก็ออกคำสั่งมาซิ
จะเลือกใครเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดี?
กรุงเทพฯ เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เช่นเดียวกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นหน้าตาของประเทศ ประเทศไทยถูกทำร้ายมาตั้งแต่ที่ทักษิณสูญเสียอำนาจด้วยการถูกปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 หลังจากนั้นทักษิณก็พยายามที่จะคืนกลับสู่อำนาจ แต่ยิ่งดิ้นก็เหมือนเจอปมปัญหา ทักษิณถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ถูกยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท และยังมีคดีค้างศาลอีกหลายคดี ทักษิณพยายามดิ้นรนให้กลับประเทศไทยได้โดยไม่ต้องติดคุก ได้สมบัติที่ถูกยึดคืน และคดีทั้งหลายทั้งปวงลบออกไปจากสารบบศาล
ทักษิณได้อำนาจรัฐไว้แล้วด้วยการส่งน้องสาวที่ไม่ประสีประสาทางการเมืองมาเป็นนายกรัฐมนตรี นำพาประเทศไปสู่หายนะทุกขณะ ดังเช่นการรับจำนำข้าวเสียหายไปแล้ว 2 แสนล้านบาท จนขณะนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรฯ โอดครวญแล้วว่า ไม่มีเงิน นอกจากรัฐบาลจะจัดสรรมาให้ รับซื้อหอมแดงเจ๊งไปแล้ว 2 พันล้านบาท บอกศาลรัฐธรรมนูญว่ามีความจำเป็นรีบด่วนในการแก้ปัญหาน้ำท่วมขอกู้ 3.5 แสนล้านบาท ผ่านมาครบปีแล้วใช้เงินไม่ถึงหมื่นล้านบาท และขณะนี้ทั่วประเทศกำลังเจอภัยแล้ง นี่แสดงว่าไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีสติปัญญาในการบริหารประเทศอย่างชัดเจนที่สุด
แต่บรรดานักวิชาการทั้งหลายก็ทน สื่อมวลชนทั้งหลายก็ทน นอกจากทนแล้วยังประจบประแจงสนับสนุนเสริมส่งอีกด้วย
ประชาชนก็ทน
ไม่รู้ว่าจะต้องทนเพื่อให้หายนะมาถึงจะได้ไม่ต้องทนอีก เพราะถึงเวลานั้นต่างก็รู้แล้วว่าหายนะเป็นอย่างไร เสียหายขนาดไหน
จะเห็นได้ก็วันที่ 3 มีนาคม 2556 วันเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนี่แหละครับ จะให้คนที่มันเผาบ้านเผาเมืองมาคืนความสุขให้กับตัว หรือจะเข็ดขยาดกับคำพูดที่ว่า เผามันเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง พี่น้องอย่ากลับบ้านมือเปล่า
วันที่ 3 มีนาคมนี้ รู้ครับ