**เหตุการณ์ความรุนแรงและความสูญเสียที่เกิดขึ้นรายวัน จนเป็นเรื่องชาชิน นั่นคือหากเป็นการเสียชีวิตและบาดเจ็บของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่เพียงแค่รายสองราย ทำท่ากลายเป็นว่าเป็นเรื่องปกติประจำวันไปแล้ว
อย่างไรก็ดี หากไปถามรองนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ต้องบอกว่า “รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว” รวมไปถึง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็จะได้รับคำตอบไม่แตกต่างกัน อีกทั้งมีการเปรียบเทียบสถิติการก่อเหตุให้เห็น เพื่อเกทับรัฐบาลชุดก่อน
แต่ในความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ตำตา เป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน และมีแนวโน้มรุนแรงโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับคำพูดของบรรดารัฐมนตรีที่รับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมันย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ก็คือ ความล้มเหลว และที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้นก็คือการ “ปิดบังความจริง” คิดแต่มุ่งในเรื่องการเมืองฉาบฉวย
**แต่นั่นไม่อันตรายเท่ากับความขัดแย้ง พูดและทำกันไปคนละทาง ระหว่างรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาต่างทำงาน “ห่วยแตก” ด้วยกันทั้งคู่ มันก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่
คำพูดที่โต้แย้งกันและชิงบทบาทระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศูนย์ที่ชื่อยาวเหยียด ที่แม้แต่เจ้าตัวก็คงจำไม่ได้อย่าง ศปก.กปต.ได้รับมอบหมายจาก นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นัยว่าเป็นงานด้านยุทธศาสตร์ เสนอให้ประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่สีแดงบางแห่ง และที่ผ่านมาก็ยกตัวอย่าง เช่น อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา และ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เป็นต้น
กำหนดห้ามออกนอกบ้านในบางช่วงเวลา ซึ่งได้รับการคัดค้านจากพล.อ.อ.สุกำพล รวมไปถึงฝ่ายทหารในพื้นที่ทั้งแม่ทัพภาคที่ 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.ภาค 4) ฝ่ายมวลชนในพื้นที่ อ้างว่าจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก และที่สำคัญที่ผ่านมาเคยทำมาแล้ว แต่ล้มเหลวจนต้องยกเลิกในที่สุด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ คนที่ออกมาพูดออกมาแสดงความคิดเห็นดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ความหมายก็คือ ทั้งคู่ไม่เคยรู้เรื่องความเป็นไปของสถานการณ์ในพื้นที่จริง นอกจากได้รับรายงานเข้ามาเท่านั้น ถามว่าที่ผ่านมาคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยลงพื้นที่สักครั้งหรือไม่ แม้แว่บเดียวก็ไม่เคย ขณะเดียวกันเมื่อได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านยุทธศาสตร์ ตัวเองก็อิดออด ไม่อยากรับหน้าที่
ส่วนพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น แม้ว่าจะเคยลงไปสัมผัสกับพื้นที่จริงบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นความคิดริเริ่มอะไรใหม่ๆให้เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหลับหูหลับตาบอกว่า “สถานการณ์ดีขึ้น มาถูกทางแล้ว” ท่องอยู่แค่นี้จริงๆ
คำถามก็คือ เหตุการณ์ร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ทำให้ทหารเสียชีวิตไปอีก 5 ศพ หากเป็นแบบนี้มันก็ไม่ต้องประกาศเคอร์ฟิวเพิ่มขึ้นอีกพื้นที่หรือ หรือว่าในวันรุ่งขึ้นหากเกิดเหตุขึ้นอีกจะทำอย่างไร ดังนั้น สิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือ สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้ที่กำลังลุกลามน่าเป็นห่วงเวลานี้ ส่วนสำคัญที่สุดเป็นเพราะฝ่ายกำหนดนโยบาย คือรัฐบาล ไม่เคยจริงใจในการแก้ปัญหา มองแต่เรื่องการเมือง เป็นเกมที่ต้องการทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
**ขณะเดียวกัน การแต่งตั้งบุคคลเข้ามาดูแลรับผิดชอบ ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.อ.อ.สุกำพล มันก็เหมือนกับว่าต้องการ “ลอยแพ” ปล่อยให้ทุกอย่างไปตามยถากรรม
ดังนั้นถ้าบอกว่า สถานการณ์ชายแดนใต้ในรัฐบาลนี้ไม่มีทางเห็นแนวโน้มที่ดีในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งวัดได้จากปัญหา “มหาหิน” ในภาคใต้ ซึ่งไม่มีทางจะนำมาใช้หาเสียงฉาบฉวยได้เป็นอันขาด เนื่องจากต้องใช้เวลา และเข้าใจปัญหาอันละเอียดอ่อน ซึ่งที่ผ่านมา หากว่าไปแล้ว คนที่สุมไฟให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งก็คือ รัฐบาลในยุค ทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้วิธี “รัฐตำรวจ” ไล่ล่าปราบปรามดะไปหมด และเมื่อมาถึงยุค “น้องสาว” ก็ยิ่งเละไปกันใหญ่ เพราะนอกว่ายังใช้วิธีการเดิมๆไม่ต่างกัน เอาง่ายๆแค่ชื่อศูนย์อำนวยการแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ไม่รู้ว่าจะเจ้าหน้าที่คนไหนรู้เรื่องและจดจำได้กี่คน เพราะเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกสามถึงหกเดือน อีกทั้งคนที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลก็ไม่อยากทำหน้าที่ ไม่เคยลงไปสัมผัสพื้นที่จริง ดีแต่โม้ โชว์พาวเวอร์อยู่ในกรุงเทพฯ
**ถ้าการที่ค่อนแคะคนที่คัดค้านว่าเป็นพวกที่ติอยู่แต่ในห้องแอร์ก็ต้องถามว่าแล้วตัวเองได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากมีข่าวเมาไวน์ น่ารังเกียจ ส่วนอีกคนก็หมดสภาพ แม้กระทั่งเด็กเมื่อวานซืนยังถอนหงอก สอนมวยเรื่อง “งานข่าว” แล้วคนประเภทนี้ละหรือที่สมควรได้รับมอบหมายให้ดูแลงานสำคัญ !!
อย่างไรก็ดี หากไปถามรองนายกรัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ต้องบอกว่า “รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว” รวมไปถึง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็จะได้รับคำตอบไม่แตกต่างกัน อีกทั้งมีการเปรียบเทียบสถิติการก่อเหตุให้เห็น เพื่อเกทับรัฐบาลชุดก่อน
แต่ในความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ตำตา เป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน และมีแนวโน้มรุนแรงโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสวนทางกับคำพูดของบรรดารัฐมนตรีที่รับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมันย่อมมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ก็คือ ความล้มเหลว และที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้นก็คือการ “ปิดบังความจริง” คิดแต่มุ่งในเรื่องการเมืองฉาบฉวย
**แต่นั่นไม่อันตรายเท่ากับความขัดแย้ง พูดและทำกันไปคนละทาง ระหว่างรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาต่างทำงาน “ห่วยแตก” ด้วยกันทั้งคู่ มันก็ยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่
คำพูดที่โต้แย้งกันและชิงบทบาทระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศูนย์ที่ชื่อยาวเหยียด ที่แม้แต่เจ้าตัวก็คงจำไม่ได้อย่าง ศปก.กปต.ได้รับมอบหมายจาก นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นัยว่าเป็นงานด้านยุทธศาสตร์ เสนอให้ประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่สีแดงบางแห่ง และที่ผ่านมาก็ยกตัวอย่าง เช่น อำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา และ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เป็นต้น
กำหนดห้ามออกนอกบ้านในบางช่วงเวลา ซึ่งได้รับการคัดค้านจากพล.อ.อ.สุกำพล รวมไปถึงฝ่ายทหารในพื้นที่ทั้งแม่ทัพภาคที่ 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.ภาค 4) ฝ่ายมวลชนในพื้นที่ อ้างว่าจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก และที่สำคัญที่ผ่านมาเคยทำมาแล้ว แต่ล้มเหลวจนต้องยกเลิกในที่สุด
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ คนที่ออกมาพูดออกมาแสดงความคิดเห็นดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ความหมายก็คือ ทั้งคู่ไม่เคยรู้เรื่องความเป็นไปของสถานการณ์ในพื้นที่จริง นอกจากได้รับรายงานเข้ามาเท่านั้น ถามว่าที่ผ่านมาคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เคยลงพื้นที่สักครั้งหรือไม่ แม้แว่บเดียวก็ไม่เคย ขณะเดียวกันเมื่อได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านยุทธศาสตร์ ตัวเองก็อิดออด ไม่อยากรับหน้าที่
ส่วนพล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น แม้ว่าจะเคยลงไปสัมผัสกับพื้นที่จริงบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นความคิดริเริ่มอะไรใหม่ๆให้เป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากหลับหูหลับตาบอกว่า “สถานการณ์ดีขึ้น มาถูกทางแล้ว” ท่องอยู่แค่นี้จริงๆ
คำถามก็คือ เหตุการณ์ร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา ทำให้ทหารเสียชีวิตไปอีก 5 ศพ หากเป็นแบบนี้มันก็ไม่ต้องประกาศเคอร์ฟิวเพิ่มขึ้นอีกพื้นที่หรือ หรือว่าในวันรุ่งขึ้นหากเกิดเหตุขึ้นอีกจะทำอย่างไร ดังนั้น สิ่งที่สะท้อนให้เห็นก็คือ สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้ที่กำลังลุกลามน่าเป็นห่วงเวลานี้ ส่วนสำคัญที่สุดเป็นเพราะฝ่ายกำหนดนโยบาย คือรัฐบาล ไม่เคยจริงใจในการแก้ปัญหา มองแต่เรื่องการเมือง เป็นเกมที่ต้องการทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น
**ขณะเดียวกัน การแต่งตั้งบุคคลเข้ามาดูแลรับผิดชอบ ทั้ง ร.ต.อ.เฉลิม และ พล.อ.อ.สุกำพล มันก็เหมือนกับว่าต้องการ “ลอยแพ” ปล่อยให้ทุกอย่างไปตามยถากรรม
ดังนั้นถ้าบอกว่า สถานการณ์ชายแดนใต้ในรัฐบาลนี้ไม่มีทางเห็นแนวโน้มที่ดีในรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งวัดได้จากปัญหา “มหาหิน” ในภาคใต้ ซึ่งไม่มีทางจะนำมาใช้หาเสียงฉาบฉวยได้เป็นอันขาด เนื่องจากต้องใช้เวลา และเข้าใจปัญหาอันละเอียดอ่อน ซึ่งที่ผ่านมา หากว่าไปแล้ว คนที่สุมไฟให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งก็คือ รัฐบาลในยุค ทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้วิธี “รัฐตำรวจ” ไล่ล่าปราบปรามดะไปหมด และเมื่อมาถึงยุค “น้องสาว” ก็ยิ่งเละไปกันใหญ่ เพราะนอกว่ายังใช้วิธีการเดิมๆไม่ต่างกัน เอาง่ายๆแค่ชื่อศูนย์อำนวยการแก้ปัญหาทางยุทธศาสตร์ไม่รู้ว่าจะเจ้าหน้าที่คนไหนรู้เรื่องและจดจำได้กี่คน เพราะเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกสามถึงหกเดือน อีกทั้งคนที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลก็ไม่อยากทำหน้าที่ ไม่เคยลงไปสัมผัสพื้นที่จริง ดีแต่โม้ โชว์พาวเวอร์อยู่ในกรุงเทพฯ
**ถ้าการที่ค่อนแคะคนที่คัดค้านว่าเป็นพวกที่ติอยู่แต่ในห้องแอร์ก็ต้องถามว่าแล้วตัวเองได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้าง นอกจากมีข่าวเมาไวน์ น่ารังเกียจ ส่วนอีกคนก็หมดสภาพ แม้กระทั่งเด็กเมื่อวานซืนยังถอนหงอก สอนมวยเรื่อง “งานข่าว” แล้วคนประเภทนี้ละหรือที่สมควรได้รับมอบหมายให้ดูแลงานสำคัญ !!
