ASTVผู้จัดการรายวัน - “กลุ่มเซ็นทรัล” สร้างแกร่งรับเออีซี งัด 3 ยุทธศาสตร์หลักบุก ทุ่มเงิน 3 ปีจากนี้ 90,000 ล้านบาท โหมลงทุนในและต่างประเทศ พร้อมจ้องเทคโอเวอร์ ชี้มี 10 ดีลเจรจา เผยชะลอแผนขยายธุรกิจในจีนก่อน
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนในช่วง 3 ปีจากนี้จะใช้งบประมาณลงทุนรวมทั้งกลุ่มไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ การทำควบรวมกิจการด้วย เพื่อเป็นการรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558
โดยในปี 2556 นี้ วางแผนลงทุนรวม 38,000 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเป็น 227,300 ล้านบาท เติบโต 24% จากปี 2555 ที่มีรายได้ทั้งกลุ่มรวมกัน 183,300 ล้านบาท เติบโต 31.3% ซึ่งปีที่แล้วใช้งบลงทุนรวม 39,600 ล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากมีโอกาสทางธุรกิจเช่น การเข้าซื้อหุ้นในแฟมิลี่มาร์ทประเทศไทยจำนวน 50.29% และการนำออฟฟิศดีโป้กับบีทูเอสเข้าควบรวมกิจการกับออฟฟิศเมท เป็นต้น
ปี 2555 ทั้งกลุ่มเติบโตทุกธุรกิจ คือ ค้าปลีกหรือซีอาร์ซี เติบโต 31% พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือซีพีเอ็น เติบโต 36% ค้าส่งแฟชั่นหรือซีเอ็มจี เติบโต 30% โรงแรมหรือซีเอชอาร์เติบโต 23% และอาหารหรือซีอาร์จีเติบโต 27%
ซึ่งรายได้หลักมาจากกลุ่มซีอาร์ซี
สำหรับแผนธุรกิจปี 2556 จะเน้นใน 3 ส่วนหลักคือ การขยายแบรนด์ให้เติบโต การพัฒนาบุคคลากร และการหาพันธมิตรทางธุรกิจในการขยายตัว เพื่อรองรับเออีซีในปี 2558 ซึ่งตลาดจะเปิดกว้างและใหญ่ขึ้นเป็น 600 ล้านคนจาก 10 ประเทศเออีซี ไม่ใช่แค่ตลาดไทยอย่างเดียวอีกต่อไป
ที่ผ่านมาได้เตรียมพร้อมไว้บ้างแล้ว เช่น ในประเทศคือปีนี้ จะเปิดห้างโรบินสันอีก 5 สาขา ขยายสาขากลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์อีก 350 สาขา จากปัจจุบันมี 582 สาขาทุกแบรนด์ การเปิดเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ปลายปีนี้ ส่วนในต่างประเทศเช่น การเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่กับกลุ่มพีทีแกรนด์อินโดนีเซีย เพื่อเปิดห้างเซ็นทรัลใจกลางกรุงจาการ์ตา พื้นที่ 21,000 ตารางเมตร มูลค่า 600 ล้านบาท การเปิดห้างเซ็นทรัลในจีน
“ตลาดในอาเซียน 3-5 ปีจากนี้จะดีเติบโตมาก เมื่อทั้ง10ประเทศรวมตัวกัน ทำให้เป็นตลาดที่น่าลงทุนมากขึ้น และส่วนใหญ่ก็จะพุ่งมาลงทุนที่ไทยเพราะความได้เปรียบทางด้านทำเล ภูมิศาสตร์ และไทยมีความได้เปรียบที่เหมาะกับการเป็นฮับในกลุ่มนี้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไขและดำเนินการคือ การเตรียมพร้อมเรื่องอินฟราสตรัคเจออ์และการสื่อสารทั้งลหาย เพื่อรองรับกลุ่มทุนที่จะเคลื่อนทัพเข้ามา ต้องพัฒนาให้ต่อเนื่องและเต็มที่มี่ ดูประเทศเพื่อนบ้านใช้3จีกันแล้ว แต่ไทยยังไปไม่ถึงไหน โครงข่ายระบบถนนทางหลวงต่างๆ เรื่องโลจิสติกส์ ต้องพร้อมและมีความปลอดภัย ความสะดวกสบาย เรื่องโลจิสติกส์สำตัญมาก
นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร และซีเอฟโอ ด้านการบริหารการเงิน กล่าวว่า ปีนี้ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 38,000 ล้านบาท และคาดว่าอีก 2 ปีคงใช้ปริมาณใกล้เคียงกันเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มหลักคือ ซีอาร์ซี ประมาณ 20,000 ล้านบาท และซีพีเอ็นประมาณ 10,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นของกลุ่มอื่น
นอกจากนั้นปีนี้จะทำพร๊อพเพอร์ตี้ฟันด์ของสาขาเชียงใหม่กับรามอินทรา วงเงินประมาณ 7,000 - 8 ,000 ล้านบาทด้วย
อย่างไรก็ตามยังมีเงินสำรองอีกไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับกับการเข้าควบรวมกิจการด้วย ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาไม่ต่ำกว่า 10 ดีล ทั้งในและต่างประเทศ เช่น กลุ่มทุนจากสิงคโปร์กับฮ่องกง ส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาคารสำนักงาน เป็นหลัก ส่วนกลุ่มทุนจากญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจอาหาร ค้าปลีกประเภทสเปเชียลตี้สโตร์ และแฟชั่นเสื้อผ้า เป็นหลัก
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากในประเทศมี 91% จากต่างประเทศ 9% เพิ่มจากปี 2554 ที่รายได้จากต่างประเทศไม่ถึง 5%
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุกริจค้าปลีก กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มเซ็นทรัลได้ตัดสินใจชะลอแผนการลงทุนที่ประเทศจีนไว้ก่อนแล้วอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งถ้าจีนไม่มีความพร้อมจริงก็จะยังไม่ลงทุนเพิ่ม จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะต้องขยายสาขาห้างเซ็นทรัลให้ได้ 10 สาขาภายในเวลา 10 ปี แต่ขณะนี้เปิดไปได้ 3 สาขา หลังจากครบ 3 ปี ซึ่งสาขาที่สามคือที่เฉินตูเปิดเมื่อปีที่แล้ว
เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจจีนโดยเฉพาะในส่วนของอสังหาริมทรัพย์กับรีเทลเริ่มอยู่ในภาวะที่โอเวอร์ซัพพลาย ทำให้โอกาสการลงทุนนั้นไม่ค่อยน่าสนใจเท่าที่ควร แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ถือเป็นโอกาสที่ดีหากมีใครเสนอโครงการเข้ามาก็อาจจะพิจารณาเทคโอเวอร์ก็ได้
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนในช่วง 3 ปีจากนี้จะใช้งบประมาณลงทุนรวมทั้งกลุ่มไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ การทำควบรวมกิจการด้วย เพื่อเป็นการรองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558
โดยในปี 2556 นี้ วางแผนลงทุนรวม 38,000 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายรายได้รวมเป็น 227,300 ล้านบาท เติบโต 24% จากปี 2555 ที่มีรายได้ทั้งกลุ่มรวมกัน 183,300 ล้านบาท เติบโต 31.3% ซึ่งปีที่แล้วใช้งบลงทุนรวม 39,600 ล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากมีโอกาสทางธุรกิจเช่น การเข้าซื้อหุ้นในแฟมิลี่มาร์ทประเทศไทยจำนวน 50.29% และการนำออฟฟิศดีโป้กับบีทูเอสเข้าควบรวมกิจการกับออฟฟิศเมท เป็นต้น
ปี 2555 ทั้งกลุ่มเติบโตทุกธุรกิจ คือ ค้าปลีกหรือซีอาร์ซี เติบโต 31% พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หรือซีพีเอ็น เติบโต 36% ค้าส่งแฟชั่นหรือซีเอ็มจี เติบโต 30% โรงแรมหรือซีเอชอาร์เติบโต 23% และอาหารหรือซีอาร์จีเติบโต 27%
ซึ่งรายได้หลักมาจากกลุ่มซีอาร์ซี
สำหรับแผนธุรกิจปี 2556 จะเน้นใน 3 ส่วนหลักคือ การขยายแบรนด์ให้เติบโต การพัฒนาบุคคลากร และการหาพันธมิตรทางธุรกิจในการขยายตัว เพื่อรองรับเออีซีในปี 2558 ซึ่งตลาดจะเปิดกว้างและใหญ่ขึ้นเป็น 600 ล้านคนจาก 10 ประเทศเออีซี ไม่ใช่แค่ตลาดไทยอย่างเดียวอีกต่อไป
ที่ผ่านมาได้เตรียมพร้อมไว้บ้างแล้ว เช่น ในประเทศคือปีนี้ จะเปิดห้างโรบินสันอีก 5 สาขา ขยายสาขากลุ่มสเปเชียลตี้สโตร์อีก 350 สาขา จากปัจจุบันมี 582 สาขาทุกแบรนด์ การเปิดเซ็นทรัลเอ็มบาสซี่ปลายปีนี้ ส่วนในต่างประเทศเช่น การเซ็นสัญญาเช่าพื้นที่กับกลุ่มพีทีแกรนด์อินโดนีเซีย เพื่อเปิดห้างเซ็นทรัลใจกลางกรุงจาการ์ตา พื้นที่ 21,000 ตารางเมตร มูลค่า 600 ล้านบาท การเปิดห้างเซ็นทรัลในจีน
“ตลาดในอาเซียน 3-5 ปีจากนี้จะดีเติบโตมาก เมื่อทั้ง10ประเทศรวมตัวกัน ทำให้เป็นตลาดที่น่าลงทุนมากขึ้น และส่วนใหญ่ก็จะพุ่งมาลงทุนที่ไทยเพราะความได้เปรียบทางด้านทำเล ภูมิศาสตร์ และไทยมีความได้เปรียบที่เหมาะกับการเป็นฮับในกลุ่มนี้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลต้องรีบแก้ไขและดำเนินการคือ การเตรียมพร้อมเรื่องอินฟราสตรัคเจออ์และการสื่อสารทั้งลหาย เพื่อรองรับกลุ่มทุนที่จะเคลื่อนทัพเข้ามา ต้องพัฒนาให้ต่อเนื่องและเต็มที่มี่ ดูประเทศเพื่อนบ้านใช้3จีกันแล้ว แต่ไทยยังไปไม่ถึงไหน โครงข่ายระบบถนนทางหลวงต่างๆ เรื่องโลจิสติกส์ ต้องพร้อมและมีความปลอดภัย ความสะดวกสบาย เรื่องโลจิสติกส์สำตัญมาก
นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร และซีเอฟโอ ด้านการบริหารการเงิน กล่าวว่า ปีนี้ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 38,000 ล้านบาท และคาดว่าอีก 2 ปีคงใช้ปริมาณใกล้เคียงกันเพื่อขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มหลักคือ ซีอาร์ซี ประมาณ 20,000 ล้านบาท และซีพีเอ็นประมาณ 10,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นของกลุ่มอื่น
นอกจากนั้นปีนี้จะทำพร๊อพเพอร์ตี้ฟันด์ของสาขาเชียงใหม่กับรามอินทรา วงเงินประมาณ 7,000 - 8 ,000 ล้านบาทด้วย
อย่างไรก็ตามยังมีเงินสำรองอีกไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อรองรับกับการเข้าควบรวมกิจการด้วย ซึ่งขณะนี้มีการเจรจาไม่ต่ำกว่า 10 ดีล ทั้งในและต่างประเทศ เช่น กลุ่มทุนจากสิงคโปร์กับฮ่องกง ส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาคารสำนักงาน เป็นหลัก ส่วนกลุ่มทุนจากญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจอาหาร ค้าปลีกประเภทสเปเชียลตี้สโตร์ และแฟชั่นเสื้อผ้า เป็นหลัก
ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากในประเทศมี 91% จากต่างประเทศ 9% เพิ่มจากปี 2554 ที่รายได้จากต่างประเทศไม่ถึง 5%
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่กลุ่มธุกริจค้าปลีก กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มเซ็นทรัลได้ตัดสินใจชะลอแผนการลงทุนที่ประเทศจีนไว้ก่อนแล้วอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งถ้าจีนไม่มีความพร้อมจริงก็จะยังไม่ลงทุนเพิ่ม จากเดิมที่วางแผนไว้ว่าจะต้องขยายสาขาห้างเซ็นทรัลให้ได้ 10 สาขาภายในเวลา 10 ปี แต่ขณะนี้เปิดไปได้ 3 สาขา หลังจากครบ 3 ปี ซึ่งสาขาที่สามคือที่เฉินตูเปิดเมื่อปีที่แล้ว
เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจจีนโดยเฉพาะในส่วนของอสังหาริมทรัพย์กับรีเทลเริ่มอยู่ในภาวะที่โอเวอร์ซัพพลาย ทำให้โอกาสการลงทุนนั้นไม่ค่อยน่าสนใจเท่าที่ควร แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ถือเป็นโอกาสที่ดีหากมีใครเสนอโครงการเข้ามาก็อาจจะพิจารณาเทคโอเวอร์ก็ได้