xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

'ไอ้โม่งโอ๊ค' อีแอบจอมขมังเวทย์ แฉเครือทักษิณ-ช่อง3 ร่วมธุรกิจเพียบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นับเป็นความเลวทรามแห่งหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง กับการ 'สั่งแบน' ละครสร้างสรรค์สังคมเรื่อง 'เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์' ที่สร้างโดย บริษัทเมตตามหานิยม จำกัด และมี 'ฉัตรชัย เปล่งพานิช' เป็นผู้จัด เป็นเหตุให้ละครเรื่องนี้ต้องหยุดออกอากาศกลางคันทั้งที่ยังไม่จบ !!

โฉมหน้าจอมบงการ

ข่าววงในว่ากันว่างานนี้เป็นดำริของ 'ลูกชาย' นักการการเมืองคอร์รัปชั่นที่หนีคดีไปเป็นกบดานอยู่ในต่างประเทศ เนื่องจากลูกชายได้ดูละครในบางช่วงบางตอนแล้วเกิดอาการ 'ร้อนท้อง' อดรนทนไม่ได้ต้องวิ่งโร่โทร.ไปฟ้อง 'พ่อ' แรกทีเดียว 'นช.ผู้พ่อ' ก็ไม่สนใจอะไรมากเพราะเห็นว่าเป็นแค่ละคร แต่ก็ให้เลขาไปตรวจสอบดู เมื่อเลขาฯกลับมารายงานว่าเป็นละครที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมืองชั่ว ข้าราชชั่ว ตำรวจชั่ว 'นช.ผู้พ่อ' จึงถามต่อว่าใครแสดงบ้าง เมื่อเลขาฯเอ่ยชื่อขึ้นมา 'นช.ผู้พ่อ' ถึงกับของขึ้น เพราะล้วนแล้วแต่เป็นทีมนักแสดงที่ต่อต้านระบบทุนนิยมสามานย์ของเขาทั้งสิ้น เขาจึงเกิดจินตนาการกว้างไกลว่าละครเรื่องนี้ไซร้ต้องสร้างขึ้นมาเพื่อประนามถึงความชั่วช้าสามานย์ของนักการเมืองเช่นเขาแน่ๆ จึงเป็นที่มาของ 'คำสั่งแบน' ดังกล่าว

โดย 'นช.ผู้พ่อ' ได้สั่งการไปยังน้องสาว น้องสาวก็สั่งรัฐมนตรีหน้าจืด(คนสนิท)ไปจัดการ รัฐมนตรีก็บอกผู้บริหารทีวีให้จัดการ โดยได้ยื่นเงื่อนไขให้ผู้บริหารช่อง3 สองข้อ คือ 1. ให้เปลี่ยนแปลงบท 2. หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบทได้ก็ให้ยุติการออกอากาศ นี่จึงเป็นสาเหตุที่มีคนเห็น 'ลูกชาย' บุกไปถึงช่อง 3 และหอบหิ้วผู้บริหารของช่อง 3 บินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเจรจาต่อรองกับ 'นช.ผู้พ่อ' ก่อนที่ละครเหนือเมฆ 2 จะถูกสั่งแบนเพียงไม่กี่วัน นอกจากนั้นยังแว่วว่าการเดินทางไปพบปะกันครั้งนี้มีการพูดคุยถึงเรื่องการร่วมหุ้นทางธุรกิจระหว่าง 'ลูกชาย' และทางช่อง 3 ด้วยโดยอาศัยบารมีของ 'นช.ผู้พ่อ' เป็นคนออกหน้าเจรจาต่อรองให้

แต่เมื่อผู้บริหารของสถานีมาคุยกับผู้จัดและผู้กำกับ ก็ปรากกฏว่าผู้จัดและผู้กำกับยังคงยืนยันว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ อีกทั้งละครเป็นศิลปะ เป็นเรื่องจินตนาการ ไม่ได้ไปกระทบกระเทือนหรือใส่ร้ายใคร จึงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงบท ทางสถานีจะไม่ให้ออกอากาศก็ไม่เป็นไร สุดท้ายละครเหนือเมฆ 2 จึงมีชะตากรรมอย่างที่เห็นกลายเป็นละครที่ไม่มีตอนจบ

'โอ๊ค'มั่วได้ใจ ปล่อยไก่หมดเล้า

ข่าววงในดังกล่าวนั้นก็ช่างสอดคล้องกับเนื้อหาที่ 'ลูกโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร' โพสลงในหน้าเฟสบุคแฟนเพจ “Oak Panthongtae Shinawatra” เพราะข้อความที่เขาโพสนั้นเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาไม่พอใจอย่างมากที่เนื้อหาของละครไปละม้ายคล้ายคลึงกับ 'พฤติกรรม' ของคนในครอบครัวเขา

“ ในเนื้อของละครเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักธุรกิจที่เติบโตมาจากการสัมปทานดาวเทียม เมื่อเข้ามาเป็นนักการเมืองก็มีเรื่องทุจริตโกงกิน ในที่สุดก็ต้องชดใช้กรรมด้วยการถูก M79 ยิงตาย ขณะที่มางานเปิดสถานีสื่อสารมวลชนที่ลูกของตนเป็นเจ้าของ ตัวละครก็มีทั้งชื่อ เพชร..'แท้' ซึ่งเป็นเจ้าของสถานีฯ “แพร”..ไพลิน ซึ่งเป็นลูกสาวของนักธุรกิจเครือข่ายสื่อสารยักษ์ใหญ่ของไทย ขาดก็แต่ถ้าพลอตเรื่องมีชื่อ 'พิณ......' อะไรซักอย่าง มาดูแลธุรกิจอสังหาฯ ของตระกูลบ้านทรายทอง ก็คงไม่ต้องเดากันว่าจะสื่อถึงใคร ประทับตราว่า 'สำเนาถูกต้อง' ให้ได้เลยครับว่านี่คือ 'ตาดูดาว เท้าติดดิน ภาคพิสดาร' ” ส่วนหนึ่งของข้อความที่นายพานทองแท้โพสในเฟสบุคส่วนตัวเพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับการแบนละครเหนือเมฆ2

อย่างไรก็ดี การที่ 'ลูกโอ๊ค' ออกมาพร่ำพรรณนาว่าเนื้อหาของละครเสียดสีให้ร้ายครอบครัวเขา แต่ตัวเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสั่งแบนละครเรื่องนี้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทางช่อง 3 นำละครกลับมาฉายใหม่นั้น นอกจากจะไม่มีใครเชื่อในน้ำคำ 'ลูกโอ๊ค' แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความ 'มั่ว' ในการหาข้อมูลของลูกชายอดีตนายกฯคนนี้ เพราะเนื้อหาของละครเหนือเมฆที่ 'ลูกโอ๊ค' พูดถึงนั้นมันผิดเพี้ยนไปจากบทละครของจริงชนิด 'กู่ไม่กลับ'

เริ่มตั้งแต่ตัวเดินเรื่องซึ่งเป็นนักธุรกิจที่ผันตัวมาเข้ามาเล่นการเมืองและมีพฤติกรรมโกงกินนั้นในละครไม่ได้พูดถึงเลยว่าเติบโตมาจากธุรกิจสัมปทานดาวเทียม และตอนจบนักการเมืองคนนี้ก็ไม่ได้เสียชีวิตเพราะถูกยิงด้วย M79 แต่เสียชีวิตเพราะถูกวางระเบิด อีกทั้งเขายังเป็นหนุ่มที่ยังไม่มีครอบครัว จึงไม่ได้มีลูกเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์อย่างที่ 'ลูกโอ๊ค'ระบุ

ส่วนตัวละครที่ชื่อ 'เพชรแท้' ซึ่งเป็นแม่ของ 'แพรไพลิน' นางเอกของเรื่องนั้นเป็นเจ้าแม่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจดาวเทียม ไม่ได้เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ ดังนั้นที่ 'ลูกโอ๊ค' บอกว่าเนื้อหาและชื่อของตัวละครเป็นการล้อเลียนเสียดสีตระกูล'ชินวัตร' ครอบครัวของตนนั้นก็เป็นข้อกล่าวหาที่ 'มั่วสิ้นดี' ชนิดที่ฟังไม่สับจับมากระเดียด ดังนั้นขอแนะนำว่า 'ลูกโอ๊ค' ควรเล่นเฟสบุ๊คให้น้อยลงแล้วเอาเวลาไปหาเรื่องย่อละครเหนือเมฆที่เผยแพร่อยู่เกลื่อนกลาดตามเว็บไซต์ต่างๆ มาอ่าน ก่อนที่จะออกมาวิพากษ์วิจารณ์อะไร จะได้ไม่ 'ปล่อยไก่' ให้เสียชื่อลูกชายอดีตนายกฯ

ช่อง3 จำใจ..แถ-ลง

ขณะเดียวกันการที่ผู้บริหารช่อง 3 ออกมารับสมอ้างว่าเป็นคนตัดสินใจ 'สั่งแบน' ละครเหนือเมฆ2 เองนั้นก็สร้างความกังขาให้บรรดาแฟนละครอย่างยิ่ง โดยช่วงแรกที่ยุติการออกอากาศนั้นทางผู้บริหารช่อง 3 ไม่ได้ให้สัมภาษณ์หรือออกมาชี้แจงใดๆ มีเพียงการขึ้นตัววิ่งบนหน้าจอว่าจำเป็นต้องยุติการออกอากาศละคร 'เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์' เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม

แต่เมื่อถูกกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งบทบาทของสื่ออย่างช่อง 3 และการทำหน้าที่กำกับดูแลสื่อของ กสทช.( คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) 'พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ' กรรมการ กสทช. ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ ผู้บริหารช่อง 3 ได้เข้าชี้แจงต่อ กสทช.ว่าทางช่องเป็นผู้ตัดสินใจสั่งระงับการออกอากาศละครเหนือเมฆ2 เอง เนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาของละครบางส่วนบางตอน ขัดมาตรา 37 ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นเนื้อหาส่วนไหน ”

ซึ่งคำชี้แจงดังกล่าวกลับมีเสียงวิจารณ์หนักขึ้นไปอีก เนื่องจาก มาตรา 37 ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ระบุว่า... “ ห้ามไม่ให้ออกอากาศเนื้อหารายการที่มีลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำซึ่งเข้าลักษณะลามกอนาจารหรือมีผลกระทบต่อการให้เกิดความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง” ประชาชนส่วนใหญ่จึงมองว่าเนื้อหาของละครนั้นไม่มีส่วนไหนที่เข้าข่ายผิดมาตรา 37

อีกทั้งยังมีเสียงเรียกร้องให้ กสทช.เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น กสทช.จึงต้องเทคแอคชั่นด้วยการประกาศว่าจะให้ช่อง 3 ส่งเทปละครเรื่องนี้มาให้ตรวจสอบว่ามีเนื้อหาส่วนไหนที่ขัดกับมาตรา 37 หรือไม่ ส่งผลให้ผู้บริหารช่อง 3 ต้องออกมาแถลงแก้เกี้ยวว่าเหตุผลที่สั่งระงับการออกอากาศนั้นเป็นเพราะเนื้อหาไม่เหมาะสมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการขัดมาตรา 37 แต่อย่างใด

คำชี้แจงของผู้บริหารช่อง 3 นั้นดูจะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ทางสถานีจะไม่ทราบถึงเนื้อหาของละครที่จะนำมาฉาย เนื่องจากระบบในการสร้างละครของช่อง 3 นั้นแตกต่างจากช่องอื่น กล่าวคือผู้จัดละครส่วนใหญ่จะเป็นทีมที่ทางสถานีให้การสนับสนุนและมีลักษณะ 'ผูกขาด' คือผลิตละครป้อนช่อง 3 เพียงแห่งเดียว และก่อนที่จะสร้างละครแต่ละเรื่องผู้จัดก็ต้องได้รับการอนุมัติจากทางช่อง ดังนั้นการที่ 'สั่งแบน' ละครเหนือเมฆ2 ทั้งที่ฉายจนใกล้จะจบเรื่องโดยอ้างว่าเนื้อหาไม่เหมาะสมนั้นจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ !!

แบน 'เหนือเมฆ' แลกเคลียร์สัญญาสัมปทาน

ทั้งนี้ ประเด็นหนึ่งที่สังคมต่างพากันจับตาก็คือเหตุใดช่อง 3 จึงต้องเกรงอกเกรงใจและทำตาม 'คำสั่ง'ของฝ่ายการเมืองซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'ผู้ยิ่งใหญ่'ในรัฐบาลเพื่อไทย ถึงขั้นยอมระงับการออกอากาศละครเหนือเมฆ 2 ทำให้ทางช่องต้องเสียเงินค่าทำละครให้แก่ทีมผู้จัดไปฟรีๆทั้งที่ละครยังฉายไม่จบ ซึ่งเมื่อสาวลึกลงไปก็คงพอเห็นเหตุผลที่เป็นไปได้อยู่ 2-3 กรณี

ประการแรกคือ ข้อต่อรองในการต่อสัญญาสัมปทานของช่อง 3 ซึ่งก่อนหน้านี้ชมรมนักกฎหมายพิทักษ์ผลประโยชน์รัฐได้เข้าร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขอให้ตรวจสอบกรณีที่บริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) ต่อสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีกับบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (ช่อง 3) ทำให้ช่อง 3 ได้รับการขยายอายุสัมปทานออกไปเป็นระยะเวลา 10 ปี เนื่องจากเห็นว่าการต่อสัญญาสัมปทานครั้งนี้ไม่มีความโปร่งใส ซึ่งขณะนี้ เรื่องดังกล่าวเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบแล้ว โดยเบื้องต้นดีเอสไอได้ทำหนังสือเชิญตัวแทนผู้ถูกร้องทั้ง 2 ฝ่ายคือนายวิชัย มาลีนนท์ กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ฯ และนายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานกรรมการ บริษัท อสมท.ฯ มาชี้แจงรายละเอียดในวันที่ 16 ม.ค.ที่จะถึงนี้

หลายฝ่ายจึงเชื่อว่าช่อง 3 ตัดสินใจ 'สั่งแบน' ละครเรื่องเหนือเมฆ 2 ตามคำขอของ 'นายใหญ่แห่งดูไบ' เพื่อแลกกับการเคลียร์ปัญหาเรื่องสัญญาสัมปทาน

สัมพันธ์ลึกกว่า 30 ปี 'ประชา' VS 'ทักษิณ'

ประการที่ 2 คือ ผลประโยชน์ทางธุรกิจระหว่าง 'ตระกูลมาลีนนท์' กับ 'ทักษิณ ชินวัตร' ซึ่งรายงานจากสำนักข่าวอิศรา แจ้งว่า 'ประชา มาลีนนท์' ซึ่งเพิ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ไปเมื่อปลายปี 2555 ที่ผ่านมา นั้นมีความสัมพันพันธ์กับ 'ทักษิณ' มายาวนานกว่า 30 ปีแล้วตั้งแต่ครั้งที่ 'ทักษิณ' ออกจากวงการหนัง ไปทำบริษัทตลาดซื้อขายผลผลิตทางการเกษตรล่วงหน้าชื่อ อัพไทม์ โดยให้คุณหญิงพจมาน ชินวัตร (ดามาพงศ์) ไปนั่งกินเงินเดือน 7,500 บาท คู่กับสุวิมล ภรรยาของวิศิษฐ์ มิ่งวัฒนบุญ ต่อมาเมื่อบริษัทอัพไทม์ เจ๊ง ผู้ที่เข้ามาเทกโอเวอร์บริษัทอัพไทม์แห่งนี้ก็คือ 'ประชา มาลีนนท์'

นอกจากนั้น 'ประชา' ยังได้ร่วมทำธุรกิจกับ 'ทักษิณ' มาตั้งแต่ก่อนที่ทักษิณจะก่อตั้งบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ ในปี 2526 เสียอีก โดยนายประชา และทักษิณ ได้ร่วมทุนกับหุ้นส่วนอีก 8 คน ก่อตั้งบริษัท บางกะปิ สรรพสินค้า จำกัด ซึ่งจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2525 ทั้งนี้บริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจ การค้าและผลิตสินค้าผ้า ต่อมาบริษัทนี้ได้จดทะเบียนเลิกกิจการในปี 2528

ทั้งนี้ยังไม่นับรวมการร่วมทำธุรกิจระหว่าง 'ประชา' กับบรรดา 'นักธุรกิจในเครือข่ายทักษิณ' อาทิ 'นายสมศักดิ์ พยับเดชาชัย' เจ้าของธุรกิจบาร์และไนต์คลับ ซึ่งเป็นกรรมการร่วมกับนายประชาอย่างน้อย 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท มีเดียโปรโมชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจซื้อและจำหน่ายภาพยนตร์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจบันเทิง บริษัท ไทย โซล่าร์ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด ประกอบธุรกิจพลังงาน และทำธุรกิจร่วมคนตระกูลมาลีนนท์อื่นอีกนับสิบแห่ง อาทิ บริษัท ซีวิว รีสอร์ท แอท เขาหลัก จำกัดบริษัท เขาหลัก พลาซ่า จำกัด บริษัท เขาหลัก ซีวิว รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด หรือการร่วมทุนในบริษัท เชียงใหม่แลนด์ จำกัดระหว่าง 'นายสุนทร โภคาชัยพัฒน์' หุ้นส่วนธุรกิจของ นายประชา มาลีนนท์ กับ 'นายบุญทรง เตริยาภิรมย์' รมว.พาณิชย์ ในรัฐบาลเพื่อไทย

ล่าสุดก็มีข่าวแว่วว่า 'ตระกูลมาลนนท์' มีแผนที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจดาวเทียม ซึ่งานนี้คงหนีไม่พ้นต้องพึ่งบารมีของเจ้าพ่อดาวเทียมอย่าง 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' อีกเช่นเคย

ประการที่ 3 สายสัมพันธ์ ระหว่าง 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' กับ 'ประชา มาลีนนท์' ซึ่งอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าทั้งสองคนนั้นรู้จักสนิทสนมกันมากว่า 30 ปี นอกจากประชาจะมาช่วยเทกโอเวอร์บริษัทอัพไทม์ที่เจ๊งไม่เป็นท่าของทักษิณแล้ว ขณะที่ทักษิณยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ในวงการธุรกิจประชาก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้ง กระทั่งเมื่อทักษิณตัดสินใจเข้ามาเป็นเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม และได้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา ประชา มาลีนนท์ ก็ยังเป็นหนึ่งในกลุ่มทุนที่ให้การสนับสนุนแก่พรรค และได้รับมอบหมายให้จัดหาทุนเพื่อดูแลการเลือกตั้งของภาคกลางและภาคเหนือตอนบน โดยเงินทุนที่ใช้ในการสนับสนุนนั้นจะผ่านต่อไปยังแกนนำคนสำคัญๆ ของพรรค เช่น เยาวภา วงศ์สวัสดิ์, สมศักดิ์ เทพสุทิน, ลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ และไพโรจน์ โล่ห์สุนทร

จึงไม่แปลกที่ประชา มาลีนนท์ จะได้รับเอกสิทธิ์นั่งเก้าอี้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณถึง 4 กระทรวง ได้แก่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อปี 2544, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ปี 2545, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อปี 2548 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาในปีเดียวกัน

อีกทั้งยังมีเรื่องเมาท์กันสนั่นเมืองว่าเมื่อครั้งที่ประชาเริ่มถอยออกจากช่อง 3 และหันมาจับธุรกิจส่วนตัวหลายประเภท เช่น การจัดคอนเสิร์ต, การทำภาพยนตร์ , เปิดร้านอาหารคุ้มหลวง และผับ TABAC ย่านอาร์ซีเอ ก็มีการจัดห้องพิเศษไว้รับรองแขกวีไอพีที่ชื่อ 'ทักษิณ ชินวัตร' ซึ่งมักหลบไปคั่วกับบรรดานักร้องสาวๆ จน 'คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร' จำต้องพาสังขารมาอาละวาดสาวๆ ของพี่แม้วที่นี่อยู่บ่อยครั้ง

ช่อง 3 เจอกระแสต้านหนัก

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ผู้บริหารช่อง 3 คงไม่คาดคิดว่าการ 'สั่งแบน' ละครเหนือเมฆ 2 จะก่อให้เกิดกระแสต้านอย่างหนักทั้งจากบรรดาผู้ชม ศิลปินดารา และนักวิชาการ อาทิ นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล วิทยากรรายการชูรักชูรส ซึ่งออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3 ได้ขอถอนตัวจากการเป็นวิทยากรในรายการ และไม่ขอเกี่ยวข้องกับสถานีไทยทีวีสีช่อง 3 อีกต่อไป เนื่องจากรับไม่ได้ที่จะต้องทำงานภายใต้องค์กรที่ไร้ศักดิ์ศรี

ด้าน “ทิพย์ธิดา ศรัทธาทิพย์” นักเขียนบทละครเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ก็ได้แสดงความเห็นต่อกรณีการเมืองเข้าแทรกแซงละครเหนือเมฆ 2 อย่างเผ็ดร้อนว่า

“สัตว์นรก มึงแบนละครทีวี ไอ้นาซี ละครคงแทงใจดำมึงมากล่ะสิ กูชอบนะเนี่ย เพราะนี่คือปรากฏการณ์ความชั่วของพวกมึง และจะจุดชนวนทางสังคม ด้วยมือพวกมึงเอง สาธุ ขอให้ศิลปินที่ทำละครโทรทัศน์จงภาคภูมิใจ พวกคุณมีเกียรติกว่าคนทำข่าวอีก ที่เป็นหัวหอกทิ่มแทงคนชั่ว จนพวกมันทนไม่ได้ ละครที่อยู่บนฟ้า ย่อมส่องแสงลงมาให้ปีศาจร้อนรนทนไม่ไหว มึงโผล่หัว หางมาให้เต็มตัวเถิด จวนถึงวันที่พระเจ้าจะพิพากษาแล้ว”

ขณะที่ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สำนักข่าวเอเอฟพี , สำนักข่าวเอพี , วอลสตรีทเจอร์นัล หรือสถานีโทรทัศน์ NEW Asia ของสิงคโปร์ ต่างก็พากันตีข่าวเรื่องนี้กันอย่างครึกโครมไปทั่วโลก โดยวอลสตรีทเจอร์นัล รายงานว่า ละครเหนือเมฆ2 มีเนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมือง จึงถูกยกเลิกการออกอากาศ

แต่ที่หนักหน่วงที่สุดเห็นจะเป็นกระแสจากโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีการวิจารณ์และมีปฏิกิริยาเรื่องนี้อย่างรุนแรง ถึงขนาดขึ้นสเตตัสว่า “ขี้ข้าทุกนาที ดูทีวีสีช่อง 3 ” มีแฮกเกอร์เข้าไปเจาะระบบเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นรูป 'จา พนม' และนักแสดงเรื่องเหนือเมฆ2 พร้อมทั้งขึ้นข้อความล้อเลียนว่า “ เหนือเมฆกูอยู่ไหน ” นอกจากนั้นยังมีแฟนละครที่ไม่พอใจช่อง 3 ที่ถอดละครเหนือเมฆ 2 ได้ตั้งเพจใน FACEBOOK โดยใช้ชื่อว่า รณรงค์แบนช่อง 3 กรณีถอดละคร "เหนือเฆม 2" สนองคำสั่งนักโกงเมือง

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ 'ระบอบทักษิณ'ใช้อำนาจการเมืองคุกคามสั่งแบนละคร 'เหนือเมฆ2 มือปราบจอมขมังเวทย์' ในครั้งนี้นั้นเป็นการส่งสัญญานของการก้าวเข้าสู่ 'ระบบเผด็จการ' เต็มรูปแบบ ซึ่งนาทีนี้คนไทยที่รักชาติรักความยุติธรรมคงต้องช่วยกันประกาศก้อง ดังที่ปรากฎในบทละครเรื่องเหนือเมฆ2 ว่า

“ ขอให้ความดีเป็นที่พึ่งแก่ทุกชีวิต ขอให้ความดีเป็นเกราะคุ้มภัยให้แก่คนที่คิดทำประโยชน์สุจริตต่อประเทศชาติ ขอให้ความชั่วความเลว ที่เกาะกินอยู่บนแผ่นดินนี้ สูญหาย พ่ายแพ้แก่พระบารมีของคุณงามความดีที่ปกปักรักษาประเทศ”

///////////////////////////////

(ล้อมกรอบ)

'รศ.สดศรี เผ่าอินจันทร์' ต่อไปใครจะกล้าสร้างละครน้ำดี

สำหรับมุมมองของนักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน อย่าง 'รศ.สดศรี เผ่าอินจันทร์' อดีตคณบดีคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปรมาจารย์ด้านการสื่อสารที่มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ในแวดวงสิ่งพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์มากมาย ก็ได้ให้ความเห็นต่อกรณีการ 'สั่งแบน' ละครเรื่อง 'เหนือเมฆ2 มือปราบจอมขมังเวทย์' ไว้อย่างน่าสนใจ

“ ดิฉันรู้สึกชื่นชมผู้เขียนบทที่เขียนได้เข้าถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม ...ซึ่งคุณพานทองแท้ (ชินวัตร) อาจจะไปคิดเอาเองว่าชื่อนั้นไปพ้องกับคนในครอบครัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ตลกมาก ทำไมถึงจะต้องร้อนรนขนาดนั้น แล้วเรื่องนี้มันมีทั้งไสยศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งใครดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา ในทางกลับกันละครได้สะท้อนให้คนดูศรัทธาในการทำความดี ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งในฐานะนักวิชาการด้านการสื่อสารเนี่ยดิฉันถือว่าเป็นบทละครที่เยี่ยมยอด เป็นการสร้างมิติในเชิงสร้างสรรค์ให้คนดูเกิดแง่คิดที่จะทำความดี ต่อต้านการทุจริตที่กำลังเป็นมะเร็งร้ายทำลายประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

เพราะฉะนั้นถ้าช่อง 3 เซ็นเซอร์ตัวเองอย่างที่อ้างก็ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่คับแคบมาก แต่ถ้าทำเพราะแรงกดดันทางการเมืองก็น่าเสียดายที่ผู้บริหารสื่อยอมจำนนต่ออำนาจมืด และทำร้ายทีมงานที่มีอุดมการณ์ นอกจากนั้นคุณยังทำร้ายความรู้สึกของประชาชนที่ติดตามละครของคุณอยู่ ซึ่งเขาสะเทือนใจกับการใช้อำนาจแทรกแซงสื่อ เพราะไม่มีใครเชื่อหรอกว่าอยู่ๆช่อง 3 จะเซ็นเซอร์ตัวเอง เรื่องนี้มันต้องมีอะไรที่เหนือกว่าอำนาจของช่อง 3 เป็นการทำเพื่อสนองใครบางคนที่รับไม่ได้ สะเทือนใจกับเนื้อหาที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นโกงบ้านกินเมือง

เมื่อรู้สึกว่าถูกคุกคามสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารสิ่งที่ประชาชนทำได้ก็คือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีหน้าที่กำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็น กสทช. , สมาคมคุ้มครองผู้บริโภค เพราะไม่เช่นนั้นก็เท่ากับเรายอมรับบรรทัดฐานที่ผู้มีอำนาจสร้างขึ้น สถานการณ์ของประเทศไทยตอนนี้ก็ไม่ต่างจากประเทศที่ปกครองด้วยเผด็จการ ต่อไปนี้จะมีใครกล้าสร้างละครสะท้อนสังคม ละครที่สร้างจิตสำนึกให้คนหันมาทำความดี ต่อต้านความชั่ว ”


รศ.สดศรี เผ่าอินจันทร์
กำลังโหลดความคิดเห็น