นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตส.ว. กล่าวว่า ในวันที่ 7 ม.ค.นี้ ตนจะยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ได้รับเงินจากรัฐสองทางที่เป็นการซ้ำซ้อนกันหรือไม่ เพราะกรณีผู้ที่มีตำแหน่งเป็นทั้ง ส.ส. และรัฐมนตรี ในคราวเดียวกัน ต้องเลือกรับเงินรายได้จากทางใดทางหนึ่งเท่านั้น
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำให้เข้าใจว่า นายณัฐวุฒิ ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง หรือเงินเพิ่ม มาจากสองทาง คือ ในฐานะส.ส. เป็นเงินประจำตำแหน่งในอัตรา เดือนละ 71,230 บาท กับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท และในฐานะรัฐมนตรี เงินเดือนในอัตราเดือนละ 72,060 บาท กับเงินประจำตำแหน่งอีกเดือนละ 41,500 บาท
ทั้งนี้การยื่นแสดงรายได้ เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ยังปรากฏอยู่ในขณะที่รับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ทั้งสามครั้ง จึงไม่น่าจะเป็นการผิดหลงอีก ทั้งหน้าท้ายรายการมีการลงนามโดยนายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ไว้ด้วย จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสอบโดยหาหลักฐานการจ่ายเงินจากทำเนียบรัฐบาล กับจากสภาผู้แทนราษฎร ว่ามีการจ่ายซ้ำซ้อนหรือไม่ และหากมี จะต้องเรียกคืนเงินอย่างไรหรือไม่ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และวินัยการเงินการคลังที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตามหลัก เงินแผ่นดิน ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ โดยสามารถนำกรณีที่นายกรัฐมนตรี ขอรับเงินในฐานะนายกรัฐมนตรี เพียงทางเดียวซึ่งถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องมาเทียบเคียงในคำร้องได้
ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คนที่ทำหน้าที่ส.ส. หรือรัฐมนตรี ไม่มีความกัลวลว่าจะต้องไปรับ หรือไม่รับเงินเดือนตรงไหน ถ้าบอกว่ารับได้ 2 ทาง หรือให้รับทางใดทางหนึ่ง ก็ไม่ขัดข้อง แต่เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นใหม่ ที่มีการหยิบยกมา ยังไม่มีข้อสรุปทางกฎหมาย และนายเรืองไกร ก็ขยันที่จะไปยื่นเรื่อง หรือไปร้องเรื่องต่างๆ อยูแล้ว กรณีนี้ อยากให้ไปถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าสามารถทำได้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาอะไร
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทำให้เข้าใจว่า นายณัฐวุฒิ ได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง หรือเงินเพิ่ม มาจากสองทาง คือ ในฐานะส.ส. เป็นเงินประจำตำแหน่งในอัตรา เดือนละ 71,230 บาท กับเงินเพิ่มอีกเดือนละ 42,330 บาท และในฐานะรัฐมนตรี เงินเดือนในอัตราเดือนละ 72,060 บาท กับเงินประจำตำแหน่งอีกเดือนละ 41,500 บาท
ทั้งนี้การยื่นแสดงรายได้ เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. ยังปรากฏอยู่ในขณะที่รับตำแหน่ง พ้นจากตำแหน่ง และเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยฯ ทั้งสามครั้ง จึงไม่น่าจะเป็นการผิดหลงอีก ทั้งหน้าท้ายรายการมีการลงนามโดยนายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ไว้ด้วย จึงขอให้นายกรัฐมนตรี ได้ตรวจสอบโดยหาหลักฐานการจ่ายเงินจากทำเนียบรัฐบาล กับจากสภาผู้แทนราษฎร ว่ามีการจ่ายซ้ำซ้อนหรือไม่ และหากมี จะต้องเรียกคืนเงินอย่างไรหรือไม่ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และวินัยการเงินการคลังที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งตามหลัก เงินแผ่นดิน ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ โดยสามารถนำกรณีที่นายกรัฐมนตรี ขอรับเงินในฐานะนายกรัฐมนตรี เพียงทางเดียวซึ่งถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องมาเทียบเคียงในคำร้องได้
ด้านนายณัฐวุฒิ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า คนที่ทำหน้าที่ส.ส. หรือรัฐมนตรี ไม่มีความกัลวลว่าจะต้องไปรับ หรือไม่รับเงินเดือนตรงไหน ถ้าบอกว่ารับได้ 2 ทาง หรือให้รับทางใดทางหนึ่ง ก็ไม่ขัดข้อง แต่เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นใหม่ ที่มีการหยิบยกมา ยังไม่มีข้อสรุปทางกฎหมาย และนายเรืองไกร ก็ขยันที่จะไปยื่นเรื่อง หรือไปร้องเรื่องต่างๆ อยูแล้ว กรณีนี้ อยากให้ไปถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่าสามารถทำได้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาอะไร