**ปี 2556 มะเส็ง งูเล็ก หวังใจว่าคนไทยจะมีความสุข สมหวัง พบเจอแต่สิ่งที่ดีๆ แต่ที่ดูเหมือนจะหวังอะไรได้ยากก็คือการเมืองบ้านเรา ณ คาบนี้ ความขัดแย้งวุ่นวายทำท่าจะลามข้ามปี งูใหญ่ไม่จบ ต้องมาแก้กันต่อในปีงูเล็ก ไม่รู้ปีนี้จะกลายเป็นปี งูพ่นพิษ หรือเปล่า
เรื่องความปรองดองพูดกันมาหลายปีดีดัก ไม่เห็นจะค้นหาเจอสักที ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “ปูกรรเชียง” เริ่มนับหนึ่งแล้วหรือยังใครช่วยตอบที!!
ได้ยินแต่เสียงเจื้อยแจ้ว เห็นก็แต่ปากว่า จะปรองดองอย่างนั้นอย่างนี้ คำพูดสวยหรูฟังแล้วก็ซ้ำเดิม ได้ยินบ่อยชักรำคาญหู เพราะไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ไม่มีอะไรเป็นผลสัมฤทธิ์ “ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน ทุกคนต้องเปิดใจยอมรับ” พูดทุกวี่วัน จนเป็นเรื่องไร้สาระ
ความจริงรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ไม่ต้องออกมาแหกปากเรียกร้องให้ใครต่อใครทำอย่างนั้นอย่างนี้หรอก ตัวเองต่างหากที่ต้องเริ่มต้นแสดงให้เห็นก่อน ปากบอกจะแก้ความแตกแยก แก้ความขัดแย้ง แต่โผล่ไปแก้รัฐธรรมนูญ??
คนที่ริเริ่มและนำพาซึ่งความสมานฉันท์กลับมาได้ง่ายที่สุดก็คือรัฐบาลเอง หากมุ่งหน้าทำงานการเมืองในเชิงบริหารประเทศตามหน้าที่ของตัวเองเป็นหลัก ลด ละ เลิก การทะเลาะเบาะแว้ง ตอบโต้กับฝ่ายค้านหรือฝ่ายใดก็ตาม ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
แต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ มันไม่ใช่แนวทาง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” ตามสโลแกนของ นายกฯนกแก้วตีกรรเชียง เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หลายฝ่ายมองว่าจะเป็นชนวนขัดแย้งอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะยักไหล่ไม่สนใจ พูดกันดังๆ ในพรรค
** “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดรัฐธรรมนูญต้องแก้ให้เร็วที่สุด” จะต้องสู้รบปรบมือกับใคร จะต้องเผาเมืองอีกสักครั้งก็จะเอา จะลุยมันท่าเดียว!!
โดยเฉพาะพลพรรคคนเสื้อแดง ที่มี “คางคกวืดวอ” จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นตัวชูโรง ตั้งหน้าตั้งตาดันวาระแก้รัฐธรรมนูญเป็นวาระแห่งแก๊ง จะเป็นจะตายต้องแก้ให้ได้แม้พวกเดียวกันบอกให้ช้าๆ ชะลอไว้ก่อนก็ไม่ฟัง จนนายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษหลบหนีต้องออกมาปราม จึงสงบลงไปได้บ้าง แต่เชื่อเหลือเกินว่าเชื้อชั่วไม่มีวันตายง่ายๆ
คนเสื้อแดงถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไปไม่ค่อยสวย เหมือนเป็นก้อนกรวดในรองเท้า วีรเวร ความถ่อย เถื่อน ในอดีตเป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างดี มาวันนี้ฝ่ายตัวเองพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล แทนที่จะสลายตัวไปแล้วมุ่งมั่นทำงานบริหารบ้านเมืองไปพร้อมกับรัฐบาล พรรคพวกตัวเองก็เข้าไปมีตำแหน่งแห่งที่ในทำเนียบฯ ในสภาฯ ก็ไม่น้อย
แต่ก็ยังไม่สลายแก๊งไปง่ายๆ พยายามจะตั้งตัวให้มั่น คงสถานะเอาไว้ บอกว่าจะเป็นสถาบันรักษาประชาธิปไตย โธ่..ใครหลายคนฟังแล้วรับไม่ได้ เพราะรู้เช่นเห็นชาติว่าเบื้องหลังมันมืดดำสกปรกอย่างไร!!
**พูดไป “คนก็นินทาหมาก็ดูถูก” พฤติกรรมที่เขาป้องปากซุบซิบกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอกว่า “สู้แล้วรวย สู้แล้วมีอำนาจ” แต่ภาพมันก็เห็นตำตากันแล้วนี่!!
ชั่วโมงนี้สำรวจตรวจพฤติกรรมหลายอย่างที่แสดงออกมาจากแกนนำพันธุ์ถ่อยในแต่ละวันแล้ว ล้วนเป็นที่อิดหนาระอาใจแก่ผู้พบเห็นไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกัน ออกมาเสนอหน้าพูดจาเย้ยฟ้าท้านรก จี้ให้สะสางคดี เอาคนผิดมาลงโทษ พูดอยู่แค่นั้นเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ถ้าไม่มีใครทำตามเสียงเรียกร้อง ก็ข่มขู่ระรานไปทั่ว หรือถ้าทำช้า ก็ออกมาเอะอะโวยวาย เป็นอันธพาลครองเมือง...
ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องเดินหน้าไปตามครรลองอยู่แล้ว เร็วบ้าง ช้าบ้าง ว่าไปตามเรื่อง แต่ปฏิกิริยาเร่งเร้าจากคนเสื้อแดง ทำให้ผู้คนในสังคมล้วนเบื่อหน่าย และทำใจแล้วว่าเป็นกลุ่มคนจำพวกเดียวที่เข้าใจอะไรได้ยาก คิดถึงแต่พวกกู ของกู!!
แม้แต่รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยเอง หลายครั้งหลายคน ก็ต้องปวดตับอับจนใจ เพราะ “กากี่นั้ง” คนกันเองประเภทนี้ บางเรื่องคุยกันจนจะสรุปแล้ว ก็ต้องชะลอ หรือทบทวนใหม่ เพราะคนเสื้อแดงไม่เห็นด้วย ครั้นจะไม่ฟังเสียก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกลำเลิกบุญคุณ หรือไปก่อหวอดทรยศหักหลัง ต้องรักษาน้ำใจกันไว้เหมือน “ผีเน่ากับโลงผุ” ให้สมกับที่ได้อุ้มชูกันมา!!
เรื่องความปรองดองก็เช่นเดียวกันปัญหาก็เกิดจากสนิมเนื้อใน แนวทางสมานฉันท์แบบสายพิราบ ประนีประนอม มีอันต้องพังพาบไปแทบทุกครั้ง เพราะติดหล่มคนเสื้อแดง ความห่ามห้าว จ้องเอาชนะ เอาเป็นเอาตายเกินเหตุ เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับการปรองดอง
เมื่อวันนี้คุณกดหัวผู้แพ้จนจมมิดธรณี วันหน้าเมื่อเป็นทีของผู้แพ้ขึ้นมาเป็นผู้มีชัยบ้าง ก็คงจะโดนย้อนศรกลับมาไม่ต่างกัน เพราะต่างฝ่ายต่างได้ฝากรอยแค้นเอาไว้จนเป็นรอยแผลเป็น!!
มันก็จะเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มก่อน วันนี้แม้จะมีบางคนบางฝ่ายในรัฐบาลมีความคิดที่จะทำบ้านเมืองให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดองจริงๆ แต่ก็มีอันต้องล้มเลิก ยอมจำนนกับอุปสรรค ขวากหนามที่ดำรงอยู่
ทำทีไรก็ไร้ผล เสนอความเห็นจากจิตใจที่รักประเทศ รักแผ่นดินเกิด ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ด้วยเพราะเสียงจากเหล่ามารผจญ เหล่าอสูรร้ายมันดังก้องกังวานกว่าอยู่ร่ำไป ประกอบกับผู้ถืออำนาจ และผู้มีอำนาจตัวจริง ก็ไม่ได้เห็นด้วยอย่างสุจริตใจกับแนวทางปรองดองเพื่อประเทศ ยังเต็มไปด้วยประโยชน์ เคลือบแฝง ทับซ้อนซ่อนเงื่อน
หากแม้นบ้านเมืองจะสมานฉันท์ได้จริง แต่ตัวเองไม่ได้อะไร ไม่ได้สิ่งที่หวังไว้ตามเป้าหมาย ก็เลือกที่จะไม่เดินไปทางนั้น หรือชักช้าชะลออยู่ อาการแบบนี้สังเกตได้ไม่ยาก มันคล้ายๆ กับสิ่งที่เห็นและเป็นไปในกระดานการเมืองยามนี้
แนวทางปรองดองที่พูดกันน้ำลายเต็มกระโถนแฉะ คนโน้นคนนี้เสนอมา ใช้โซ่ข้อกลาง ใช้คนกลาง ล้วนสำเร็จเลือนราง ตราบใดที่ใครบางคนจิตใจยังไม่สุจริต สกปรกโสกโครก คิดถึงผลประโยชน์ตนเองเหนือประเทศชาติ...
** “เสธ.หนั่น-บรรหาร” หรือใครอีกสักสิบสักร้อยคน จะขันอาสาหรือเสนออะไรมาก็ดี คงไม่มีหวัง... หยุดเสียดีกว่า... สุดท้ายมันก็เป็นจำอวด ขายหน้าคนดูเหมือนอย่างเคย!!
เรื่องความปรองดองพูดกันมาหลายปีดีดัก ไม่เห็นจะค้นหาเจอสักที ภายใต้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “ปูกรรเชียง” เริ่มนับหนึ่งแล้วหรือยังใครช่วยตอบที!!
ได้ยินแต่เสียงเจื้อยแจ้ว เห็นก็แต่ปากว่า จะปรองดองอย่างนั้นอย่างนี้ คำพูดสวยหรูฟังแล้วก็ซ้ำเดิม ได้ยินบ่อยชักรำคาญหู เพราะไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม ไม่มีอะไรเป็นผลสัมฤทธิ์ “ทุกฝ่ายต้องหันหน้าเข้าหากัน ทุกคนต้องเปิดใจยอมรับ” พูดทุกวี่วัน จนเป็นเรื่องไร้สาระ
ความจริงรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาล ไม่ต้องออกมาแหกปากเรียกร้องให้ใครต่อใครทำอย่างนั้นอย่างนี้หรอก ตัวเองต่างหากที่ต้องเริ่มต้นแสดงให้เห็นก่อน ปากบอกจะแก้ความแตกแยก แก้ความขัดแย้ง แต่โผล่ไปแก้รัฐธรรมนูญ??
คนที่ริเริ่มและนำพาซึ่งความสมานฉันท์กลับมาได้ง่ายที่สุดก็คือรัฐบาลเอง หากมุ่งหน้าทำงานการเมืองในเชิงบริหารประเทศตามหน้าที่ของตัวเองเป็นหลัก ลด ละ เลิก การทะเลาะเบาะแว้ง ตอบโต้กับฝ่ายค้านหรือฝ่ายใดก็ตาม ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
แต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ มันไม่ใช่แนวทาง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” ตามสโลแกนของ นายกฯนกแก้วตีกรรเชียง เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่หลายฝ่ายมองว่าจะเป็นชนวนขัดแย้งอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะยักไหล่ไม่สนใจ พูดกันดังๆ ในพรรค
** “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดรัฐธรรมนูญต้องแก้ให้เร็วที่สุด” จะต้องสู้รบปรบมือกับใคร จะต้องเผาเมืองอีกสักครั้งก็จะเอา จะลุยมันท่าเดียว!!
โดยเฉพาะพลพรรคคนเสื้อแดง ที่มี “คางคกวืดวอ” จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นตัวชูโรง ตั้งหน้าตั้งตาดันวาระแก้รัฐธรรมนูญเป็นวาระแห่งแก๊ง จะเป็นจะตายต้องแก้ให้ได้แม้พวกเดียวกันบอกให้ช้าๆ ชะลอไว้ก่อนก็ไม่ฟัง จนนายใหญ่ “ทักษิณ ชินวัตร” นักโทษหลบหนีต้องออกมาปราม จึงสงบลงไปได้บ้าง แต่เชื่อเหลือเกินว่าเชื้อชั่วไม่มีวันตายง่ายๆ
คนเสื้อแดงถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองเดินหน้าไปไม่ค่อยสวย เหมือนเป็นก้อนกรวดในรองเท้า วีรเวร ความถ่อย เถื่อน ในอดีตเป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างดี มาวันนี้ฝ่ายตัวเองพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล แทนที่จะสลายตัวไปแล้วมุ่งมั่นทำงานบริหารบ้านเมืองไปพร้อมกับรัฐบาล พรรคพวกตัวเองก็เข้าไปมีตำแหน่งแห่งที่ในทำเนียบฯ ในสภาฯ ก็ไม่น้อย
แต่ก็ยังไม่สลายแก๊งไปง่ายๆ พยายามจะตั้งตัวให้มั่น คงสถานะเอาไว้ บอกว่าจะเป็นสถาบันรักษาประชาธิปไตย โธ่..ใครหลายคนฟังแล้วรับไม่ได้ เพราะรู้เช่นเห็นชาติว่าเบื้องหลังมันมืดดำสกปรกอย่างไร!!
**พูดไป “คนก็นินทาหมาก็ดูถูก” พฤติกรรมที่เขาป้องปากซุบซิบกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อหรอกว่า “สู้แล้วรวย สู้แล้วมีอำนาจ” แต่ภาพมันก็เห็นตำตากันแล้วนี่!!
ชั่วโมงนี้สำรวจตรวจพฤติกรรมหลายอย่างที่แสดงออกมาจากแกนนำพันธุ์ถ่อยในแต่ละวันแล้ว ล้วนเป็นที่อิดหนาระอาใจแก่ผู้พบเห็นไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกัน ออกมาเสนอหน้าพูดจาเย้ยฟ้าท้านรก จี้ให้สะสางคดี เอาคนผิดมาลงโทษ พูดอยู่แค่นั้นเป็นแผ่นเสียงตกร่อง ถ้าไม่มีใครทำตามเสียงเรียกร้อง ก็ข่มขู่ระรานไปทั่ว หรือถ้าทำช้า ก็ออกมาเอะอะโวยวาย เป็นอันธพาลครองเมือง...
ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างมันต้องเดินหน้าไปตามครรลองอยู่แล้ว เร็วบ้าง ช้าบ้าง ว่าไปตามเรื่อง แต่ปฏิกิริยาเร่งเร้าจากคนเสื้อแดง ทำให้ผู้คนในสังคมล้วนเบื่อหน่าย และทำใจแล้วว่าเป็นกลุ่มคนจำพวกเดียวที่เข้าใจอะไรได้ยาก คิดถึงแต่พวกกู ของกู!!
แม้แต่รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยเอง หลายครั้งหลายคน ก็ต้องปวดตับอับจนใจ เพราะ “กากี่นั้ง” คนกันเองประเภทนี้ บางเรื่องคุยกันจนจะสรุปแล้ว ก็ต้องชะลอ หรือทบทวนใหม่ เพราะคนเสื้อแดงไม่เห็นด้วย ครั้นจะไม่ฟังเสียก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะถูกลำเลิกบุญคุณ หรือไปก่อหวอดทรยศหักหลัง ต้องรักษาน้ำใจกันไว้เหมือน “ผีเน่ากับโลงผุ” ให้สมกับที่ได้อุ้มชูกันมา!!
เรื่องความปรองดองก็เช่นเดียวกันปัญหาก็เกิดจากสนิมเนื้อใน แนวทางสมานฉันท์แบบสายพิราบ ประนีประนอม มีอันต้องพังพาบไปแทบทุกครั้ง เพราะติดหล่มคนเสื้อแดง ความห่ามห้าว จ้องเอาชนะ เอาเป็นเอาตายเกินเหตุ เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งสำหรับการปรองดอง
เมื่อวันนี้คุณกดหัวผู้แพ้จนจมมิดธรณี วันหน้าเมื่อเป็นทีของผู้แพ้ขึ้นมาเป็นผู้มีชัยบ้าง ก็คงจะโดนย้อนศรกลับมาไม่ต่างกัน เพราะต่างฝ่ายต่างได้ฝากรอยแค้นเอาไว้จนเป็นรอยแผลเป็น!!
มันก็จะเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ถ้าไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มก่อน วันนี้แม้จะมีบางคนบางฝ่ายในรัฐบาลมีความคิดที่จะทำบ้านเมืองให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดองจริงๆ แต่ก็มีอันต้องล้มเลิก ยอมจำนนกับอุปสรรค ขวากหนามที่ดำรงอยู่
ทำทีไรก็ไร้ผล เสนอความเห็นจากจิตใจที่รักประเทศ รักแผ่นดินเกิด ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ด้วยเพราะเสียงจากเหล่ามารผจญ เหล่าอสูรร้ายมันดังก้องกังวานกว่าอยู่ร่ำไป ประกอบกับผู้ถืออำนาจ และผู้มีอำนาจตัวจริง ก็ไม่ได้เห็นด้วยอย่างสุจริตใจกับแนวทางปรองดองเพื่อประเทศ ยังเต็มไปด้วยประโยชน์ เคลือบแฝง ทับซ้อนซ่อนเงื่อน
หากแม้นบ้านเมืองจะสมานฉันท์ได้จริง แต่ตัวเองไม่ได้อะไร ไม่ได้สิ่งที่หวังไว้ตามเป้าหมาย ก็เลือกที่จะไม่เดินไปทางนั้น หรือชักช้าชะลออยู่ อาการแบบนี้สังเกตได้ไม่ยาก มันคล้ายๆ กับสิ่งที่เห็นและเป็นไปในกระดานการเมืองยามนี้
แนวทางปรองดองที่พูดกันน้ำลายเต็มกระโถนแฉะ คนโน้นคนนี้เสนอมา ใช้โซ่ข้อกลาง ใช้คนกลาง ล้วนสำเร็จเลือนราง ตราบใดที่ใครบางคนจิตใจยังไม่สุจริต สกปรกโสกโครก คิดถึงผลประโยชน์ตนเองเหนือประเทศชาติ...
** “เสธ.หนั่น-บรรหาร” หรือใครอีกสักสิบสักร้อยคน จะขันอาสาหรือเสนออะไรมาก็ดี คงไม่มีหวัง... หยุดเสียดีกว่า... สุดท้ายมันก็เป็นจำอวด ขายหน้าคนดูเหมือนอย่างเคย!!