ในที่สุดผู้คนในสังคมไทย และสังคมโลกก็ได้ใช้ชีวิตผ่านปี พ.ศ. 2555 ไปได้อีกหนึ่งปี โดยมีความสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ราบรื่นบ้าง ไม่ราบรื่นบ้าง ตามวิถีทางแห่งโลกียชน
แต่ที่น่าเห็นใจก็คือ คนกลุ่มหนึ่งที่มีความวิตกกังวลกับวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวันสิ้นโลกตามนัยแห่งปฏิทินของชาวมายาที่มาสิ้นสุด ณ วันนั้น ครั้นผ่านพ้นวันนั้นมาได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็คงจะทำให้คนกลุ่มนี้คลายความกังวลลงได้
ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ ก็คงไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีผลอะไรกับการที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเพียงอย่างเดียวก็คือ เป็นบทสอนใจให้รู้ว่าเชื่อในสิ่งที่เชื่อตามกันมาโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ประการใดด้วยเหตุและผล
ถึงแม้ว่าสังคมไทยไม่มีหรือมีคนอยู่ส่วนน้อยที่เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก แต่คนไทยส่วนหนึ่งหรืออาจส่วนใหญ่ด้วยเชื่อเรื่องศาสตร์พยากรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหราศาสตร์อันเป็นศาสตร์ที่อาศัยหลักแห่งดาราศาสตร์ และสถิติศาสตร์เข้ามาประยุกต์กัน เพื่อประมวลเหตุการณ์อันเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคล และบ้านเมือง
ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นธรรมเนียมหรือประเพณีของบรรดาโหรทั้งหลายที่ออกมาพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองในปีใหม่ทุกปี และเชื่อว่าในปีนี้ก็คงจะเกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน
ในฐานะผู้เขียนเป็นโหรสมัครเล่น จึงขอมีส่วนในการแสดงความคิดเห็นในเชิงพยากรณ์ดวงเมือง ดังต่อไปนี้
ดวงเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งหมายถึงดวงพระฤกษ์ที่ฝังเสาหลักเมือง ตรงกับอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล วันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 น.
ตำแหน่งของดวงดาวพระเคราะห์ต่างๆ คำนวณตามโหราศาสตร์ระบบนิรายนะ คือสมมติเอาจุดศูนย์องศาในราศีเมษ เป็นจุดที่อยู่คงที่จะได้องศาของพระเคราะห์ต่างๆ โดยประมาณดังนี้
ดาวอาทิตย์สถิตราศีเมษ 10 องศา 11 ลิปดา
ดาวจันทร์สถิตราศีกรกฎ 18 องศา 20 ลิปดา
ดาวอังคารสถิตราศีพฤษภ 20 องศา 2 ลิปดา
ดาวพุธสถิตราศีมีน 13 องศา 25 ลิปดา
ดาวพฤหัสบดีสถิตราศีธนู 8 องศา 16 ลิปดา
ดาวศุกร์สถิตราศีมีน 4 องศา 11 ลิปดา
ดาวเสาร์สถิตราศีธนู 7 องศา 30 ลิปดา
ดาวราหูสถิตราศีมีน 22 องศา 42 ลิปดา
ที่มา : โหราศาสตร์ในวรรณคดี
รวบรวมโดย เทพย์ สาริกบุตร
ข้อสังเกต :
ในดวงเมืองจะมีดาวเพียง 8 ดวง ซึ่งนิยมศึกษากันในระบบนิรายนะ ส่วนดาวเกตุและมฤตยูนั้นเป็นดาวที่เพิ่มเข้ามาในภายหลัง
จากพื้นเพของดวงเมือง จะเห็นได้ว่ามีดวงดาวปรากฏอยู่เพียง 5 ราศีเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อดาวจรเข้ามาใน 5 ราศีนี้ก็จะเท่ากับทับ และถ้าโคจรเป็น 3 ก็จะเท่ากับโยค ถ้าเป็น 5 ก็เท่ากับตรีโกณ และถ้าเป็น 7 ก็จะเท่ากับเล็ง ซึ่งจะมีผลต่อดวงเมืองทั้งในแง่บวกและลบทั้งสิ้น
จากพื้นดวงดังกล่าวแล้ว เมื่อนำมาเทียบเคียงกับดาวจรในปี พ.ศ. 2556 ก็จะปรากฏเหตุการณ์ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อดวงเมือง โดยจะยึดถือเพียงดาวใหญ่ 3 ดวง คือ พฤหัสบดี ราหู และเสาร์ ดังนี้
1. ดาวเสาร์ อันเป็นดาวบาปพระเคราะห์ หมายถึงความทุกข์ ความเดือดร้อน ถ้าหมายถึงบุคคลจะได้แก่ผู้ใช้แรงงาน และเกษตรกร ได้โคจรเข้ามาเล็งลัคนาดวงเมืองเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 และจะยังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดปี 2556
2. ดาวราหู หมายถึงความมัวเมา ความโง่ และความหลง ถ้าเป็นบุคคลหมายถึง พ่อค้า นักการเมืองที่ด้อยคุณธรรม เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว ได้โคจรเข้ามาเล็งลัคนาตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2555 และจะยังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดปี 2556
อีกประการหนึ่ง ถ้านำเอาทักษามาพยากรณ์ร่วม ด้วยปีนี้ดวงเมืองจะตกภูมิศุกร์ โดยมีราหูเป็นกาลกิณีจรด้วย
จากนัยแห่งดาวเสาร์และราหูที่เข้ามาเล็งลัคนานี้เอง ในทางหลักแห่งพยากรณ์ศาสตร์ถือว่าเป็นปีที่ดวงเมืองประสบเคราะห์กรรม นักการเมืองที่มีพฤติกรรมเสมอเหมือนพ่อ และพ่อค้าที่ขาดคุณธรรม จริยธรรม จะนำบ้านเมืองไปสู่ความล่มจมต่อความทุกข์ ความเดือดร้อนให้ประเทศโดยรวมในปี พ.ศ. 2556 จากม.ค.-พ.ค.2556 เนื่องจากดาวพฤหัสบดีอันเป็นดาวฝ่ายศุภเคราะห์ หรือดาวฝ่ายดีหมายถึงคุณธรรม และจริยธรรมควบคุมดาวเสาร์ และราหูไม่ถึง จึงเท่ากับปล่อยให้ดาวบาปพระเคราะห์คู่นี้แสดงฤทธิ์เดชได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อถึงวันที่ 29 พ.ค. 2556 ดาวพฤหัสบดีโคจรเข้ามาโยคลัคนาดวงเมือง และทำมุมตรีโกณกับดาวเสาร์และราหู ก็จะควบคุมพฤติกรรมของดาวคู่บาปพระเคราะห์ได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีพฤติกรรมอันเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองอยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย และศีลธรรมได้ ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
สรุปง่ายๆ ก็คือ จาก ม.ค.-พ.ค. ดาวพฤหัสบดีอันเป็นดาวฝ่ายคุณธรรมยังควบคุมดาวบาปพระเคราะห์ไม่ได้ จึงเป็นช่วงที่นักการเมือง และพ่อค้าที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรมแสดงฤทธิ์เดชได้ แต่เมื่อดาวพฤหัสบดีเข้ามาควบคุมทุกอย่างก็จะจบลง และบ้านเมืองจะค่อยๆ สงบลง
ส่วนในด้านเศรษฐกิจ และสังคมก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ทางการเมือง การเมืองสงบสังคมก็ดีขึ้น และเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นตาม
ดังนั้น เหตุการณ์ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมขึ้นอยู่กับฝ่ายคุณธรรมว่าจะสามารถเข้าควบคุมฝ่ายอธรรมได้เมื่อไหร่ ซึ่งถ้าดูตามดวงแล้วคงไม่เกินพฤษภาคมแน่นอน
แต่ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสที่ฝ่ายจริยธรรมและคุณธรรมจะเข้ามาควบคุมฝ่ายอธรรมได้ โดยมีดาวพฤหัสบดีทับอังคารอันเป็นคู่สมพลอยู่ ก็มีโอกาสที่ฝ่ายตุลาการและกองทัพจะร่วมมือกันจัดการฝ่ายอธรรมได้ โดยใช้กฎหมายนำหน้าแล้วใช้กองทัพตามออกมาร่วม ความสงบก็เกิดขึ้นได้
แต่ที่น่าเห็นใจก็คือ คนกลุ่มหนึ่งที่มีความวิตกกังวลกับวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวันสิ้นโลกตามนัยแห่งปฏิทินของชาวมายาที่มาสิ้นสุด ณ วันนั้น ครั้นผ่านพ้นวันนั้นมาได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็คงจะทำให้คนกลุ่มนี้คลายความกังวลลงได้
ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ ก็คงไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีผลอะไรกับการที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะมีเพียงอย่างเดียวก็คือ เป็นบทสอนใจให้รู้ว่าเชื่อในสิ่งที่เชื่อตามกันมาโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ประการใดด้วยเหตุและผล
ถึงแม้ว่าสังคมไทยไม่มีหรือมีคนอยู่ส่วนน้อยที่เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก แต่คนไทยส่วนหนึ่งหรืออาจส่วนใหญ่ด้วยเชื่อเรื่องศาสตร์พยากรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหราศาสตร์อันเป็นศาสตร์ที่อาศัยหลักแห่งดาราศาสตร์ และสถิติศาสตร์เข้ามาประยุกต์กัน เพื่อประมวลเหตุการณ์อันเป็นอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคล และบ้านเมือง
ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นธรรมเนียมหรือประเพณีของบรรดาโหรทั้งหลายที่ออกมาพยากรณ์เหตุการณ์บ้านเมืองในปีใหม่ทุกปี และเชื่อว่าในปีนี้ก็คงจะเกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน
ในฐานะผู้เขียนเป็นโหรสมัครเล่น จึงขอมีส่วนในการแสดงความคิดเห็นในเชิงพยากรณ์ดวงเมือง ดังต่อไปนี้
ดวงเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งหมายถึงดวงพระฤกษ์ที่ฝังเสาหลักเมือง ตรงกับอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล วันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 เวลา 06.54 น.
ตำแหน่งของดวงดาวพระเคราะห์ต่างๆ คำนวณตามโหราศาสตร์ระบบนิรายนะ คือสมมติเอาจุดศูนย์องศาในราศีเมษ เป็นจุดที่อยู่คงที่จะได้องศาของพระเคราะห์ต่างๆ โดยประมาณดังนี้
ดาวอาทิตย์สถิตราศีเมษ 10 องศา 11 ลิปดา
ดาวจันทร์สถิตราศีกรกฎ 18 องศา 20 ลิปดา
ดาวอังคารสถิตราศีพฤษภ 20 องศา 2 ลิปดา
ดาวพุธสถิตราศีมีน 13 องศา 25 ลิปดา
ดาวพฤหัสบดีสถิตราศีธนู 8 องศา 16 ลิปดา
ดาวศุกร์สถิตราศีมีน 4 องศา 11 ลิปดา
ดาวเสาร์สถิตราศีธนู 7 องศา 30 ลิปดา
ดาวราหูสถิตราศีมีน 22 องศา 42 ลิปดา
ที่มา : โหราศาสตร์ในวรรณคดี
รวบรวมโดย เทพย์ สาริกบุตร
ข้อสังเกต :
ในดวงเมืองจะมีดาวเพียง 8 ดวง ซึ่งนิยมศึกษากันในระบบนิรายนะ ส่วนดาวเกตุและมฤตยูนั้นเป็นดาวที่เพิ่มเข้ามาในภายหลัง
จากพื้นเพของดวงเมือง จะเห็นได้ว่ามีดวงดาวปรากฏอยู่เพียง 5 ราศีเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อดาวจรเข้ามาใน 5 ราศีนี้ก็จะเท่ากับทับ และถ้าโคจรเป็น 3 ก็จะเท่ากับโยค ถ้าเป็น 5 ก็เท่ากับตรีโกณ และถ้าเป็น 7 ก็จะเท่ากับเล็ง ซึ่งจะมีผลต่อดวงเมืองทั้งในแง่บวกและลบทั้งสิ้น
จากพื้นดวงดังกล่าวแล้ว เมื่อนำมาเทียบเคียงกับดาวจรในปี พ.ศ. 2556 ก็จะปรากฏเหตุการณ์ซึ่งน่าจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อดวงเมือง โดยจะยึดถือเพียงดาวใหญ่ 3 ดวง คือ พฤหัสบดี ราหู และเสาร์ ดังนี้
1. ดาวเสาร์ อันเป็นดาวบาปพระเคราะห์ หมายถึงความทุกข์ ความเดือดร้อน ถ้าหมายถึงบุคคลจะได้แก่ผู้ใช้แรงงาน และเกษตรกร ได้โคจรเข้ามาเล็งลัคนาดวงเมืองเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 และจะยังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดปี 2556
2. ดาวราหู หมายถึงความมัวเมา ความโง่ และความหลง ถ้าเป็นบุคคลหมายถึง พ่อค้า นักการเมืองที่ด้อยคุณธรรม เห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว ได้โคจรเข้ามาเล็งลัคนาตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2555 และจะยังคงอยู่ในตำแหน่งนี้ตลอดปี 2556
อีกประการหนึ่ง ถ้านำเอาทักษามาพยากรณ์ร่วม ด้วยปีนี้ดวงเมืองจะตกภูมิศุกร์ โดยมีราหูเป็นกาลกิณีจรด้วย
จากนัยแห่งดาวเสาร์และราหูที่เข้ามาเล็งลัคนานี้เอง ในทางหลักแห่งพยากรณ์ศาสตร์ถือว่าเป็นปีที่ดวงเมืองประสบเคราะห์กรรม นักการเมืองที่มีพฤติกรรมเสมอเหมือนพ่อ และพ่อค้าที่ขาดคุณธรรม จริยธรรม จะนำบ้านเมืองไปสู่ความล่มจมต่อความทุกข์ ความเดือดร้อนให้ประเทศโดยรวมในปี พ.ศ. 2556 จากม.ค.-พ.ค.2556 เนื่องจากดาวพฤหัสบดีอันเป็นดาวฝ่ายศุภเคราะห์ หรือดาวฝ่ายดีหมายถึงคุณธรรม และจริยธรรมควบคุมดาวเสาร์ และราหูไม่ถึง จึงเท่ากับปล่อยให้ดาวบาปพระเคราะห์คู่นี้แสดงฤทธิ์เดชได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อถึงวันที่ 29 พ.ค. 2556 ดาวพฤหัสบดีโคจรเข้ามาโยคลัคนาดวงเมือง และทำมุมตรีโกณกับดาวเสาร์และราหู ก็จะควบคุมพฤติกรรมของดาวคู่บาปพระเคราะห์ได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีพฤติกรรมอันเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองอยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย และศีลธรรมได้ ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
สรุปง่ายๆ ก็คือ จาก ม.ค.-พ.ค. ดาวพฤหัสบดีอันเป็นดาวฝ่ายคุณธรรมยังควบคุมดาวบาปพระเคราะห์ไม่ได้ จึงเป็นช่วงที่นักการเมือง และพ่อค้าที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรมแสดงฤทธิ์เดชได้ แต่เมื่อดาวพฤหัสบดีเข้ามาควบคุมทุกอย่างก็จะจบลง และบ้านเมืองจะค่อยๆ สงบลง
ส่วนในด้านเศรษฐกิจ และสังคมก็ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ทางการเมือง การเมืองสงบสังคมก็ดีขึ้น และเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นตาม
ดังนั้น เหตุการณ์ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมขึ้นอยู่กับฝ่ายคุณธรรมว่าจะสามารถเข้าควบคุมฝ่ายอธรรมได้เมื่อไหร่ ซึ่งถ้าดูตามดวงแล้วคงไม่เกินพฤษภาคมแน่นอน
แต่ก่อนหน้านี้ก็มีโอกาสที่ฝ่ายจริยธรรมและคุณธรรมจะเข้ามาควบคุมฝ่ายอธรรมได้ โดยมีดาวพฤหัสบดีทับอังคารอันเป็นคู่สมพลอยู่ ก็มีโอกาสที่ฝ่ายตุลาการและกองทัพจะร่วมมือกันจัดการฝ่ายอธรรมได้ โดยใช้กฎหมายนำหน้าแล้วใช้กองทัพตามออกมาร่วม ความสงบก็เกิดขึ้นได้