ASTV ผู้จัดการรายวัน - “ดีเอสไอ” รับลูก “เพื่อไทย” สอบฮั้วประมูลสร้างโรงพัก 396 แห่ง หลังพบเอกชนทิ้งงาน ด้าน “ธาริต” เด้งรับสั่งตรวจสอบด่วน
วานนี้ (24 ธ.ค. 55) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นเรื่องให้ดีเอสไอตรวจสอบโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 สถานี มูลค่า 5,848 ล้านบาทในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เนื่องจากได้รับร้องเรียนจากตำรวจและประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนเพราะสถานีตำรวจบางแห่งถูกรื้อและยังไม่มีการก่อสร้างใหม่ ทำให้ต้องใช้สถานที่อื่น เช่น บ้านพัก ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นสถานที่ทำงานแทน
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างดังกล่าวมีข้อพิรุธจำนวนมาก โดยเฉพาะกรณีที่มีบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวกลับรับงานก่อสร้างทุกโครงการ มีการทำสัญญาก่อสร้างโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2554 และต้องแล้วเสร็จในวันที่ 17 มิ.ย. 2555 แต่กลับอ้างว่าเพราะเกิดเหตุน้ำท่วมทำให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จจึงมีการเลื่อนกำหนดสัญญาไปถึงวันที่ 13 ม.ค. 2556 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง รวมถึงจากที่ตนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจะพบว่าการก่อสร้างไม่น่าจะสำเร็จตามสัญญาแน่นอน เพราะขณะนี้บริษัทที่รับงานก่อสร้างหลายแห่งได้ทิ้งงานไปแล้ว โดยมีทั้งในส่วนที่รื้อสถานีตำรวจเก่าเพื่อเตรียมสร้างสถานีตำรวจใหม่ในที่เดิม แต่ก็ยังไม่เริ่มการก่อสร้าง ทำให้ตำรวจต้องไปหาสถานที่เช่าทำงาน ห้องขังไม่ได้มาตรฐานและประชาชนที่มาใช้บริการก็ไม่ได้รับความสะดวก
นอกจากนี้ยังพบบางสถานีตำรวจ เช่น ในพื้นที่ จ.สระบุรี ผู้รับเหมาก่อสร้างทิ้งงานกลางคัน โดยอ้างว่าไม่สามารถทำต่อไหวเพราะมีปัญหาด้านการเงิน ดังนั้น ตนตั้งข้อสังเกตว่าโครงการดังกล่าวน่าจะมีการทุจริต เพราะมีเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเพียงบริษัทเดียวรับเหมางานก่อสร้างเกือบ 400 สถานี เข้าข่ายความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ(ฮั้วประมูล) นอกจากนี้ยังต้องการให้ดีเอสไอตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับนักการเมือง โดยเฉพาะประเด็นที่ผู้รับเหมาอ้างว่ามีปัญหาด้านการเงิน อาจเป็นเพราะต้องเจียดเงินไปจ่ายให้คนบางกลุ่มทำให้ขาดเงินหมุนเวียนหรือคิดว่าหากดำเนินการก่อสร้างต่อไปก็ไม่คุ้ม
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาบ้างแล้ว พบว่ามีการว่าจ้างบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวก่อสร้างสถานีตำรวจทั้ง 396 สถานี และต่อมามีการแก้ไขรายละเอียดในสัญญาหลายครั้งและยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ทำให้หลายสถานีตำรวจได้รับความเดือดร้อนไปใช้สถานที่อื่นทำงาน ทั้งนี้ หลังได้รับหนังสือร้องเรียนและเอกสารจากพรรคเพื่อไทยจะมอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นผู้รับผิดชอบ โดยหลังช่วงปีใหม่ตนจะนำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที
วานนี้ (24 ธ.ค. 55) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นเรื่องให้ดีเอสไอตรวจสอบโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจทดแทนจำนวน 396 สถานี มูลค่า 5,848 ล้านบาทในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เนื่องจากได้รับร้องเรียนจากตำรวจและประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเดือดร้อนเพราะสถานีตำรวจบางแห่งถูกรื้อและยังไม่มีการก่อสร้างใหม่ ทำให้ต้องใช้สถานที่อื่น เช่น บ้านพัก ตู้คอนเทนเนอร์ เป็นสถานที่ทำงานแทน
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างดังกล่าวมีข้อพิรุธจำนวนมาก โดยเฉพาะกรณีที่มีบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวกลับรับงานก่อสร้างทุกโครงการ มีการทำสัญญาก่อสร้างโครงการเริ่มตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. 2554 และต้องแล้วเสร็จในวันที่ 17 มิ.ย. 2555 แต่กลับอ้างว่าเพราะเกิดเหตุน้ำท่วมทำให้การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จจึงมีการเลื่อนกำหนดสัญญาไปถึงวันที่ 13 ม.ค. 2556 อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง รวมถึงจากที่ตนได้ลงพื้นที่ตรวจสอบจะพบว่าการก่อสร้างไม่น่าจะสำเร็จตามสัญญาแน่นอน เพราะขณะนี้บริษัทที่รับงานก่อสร้างหลายแห่งได้ทิ้งงานไปแล้ว โดยมีทั้งในส่วนที่รื้อสถานีตำรวจเก่าเพื่อเตรียมสร้างสถานีตำรวจใหม่ในที่เดิม แต่ก็ยังไม่เริ่มการก่อสร้าง ทำให้ตำรวจต้องไปหาสถานที่เช่าทำงาน ห้องขังไม่ได้มาตรฐานและประชาชนที่มาใช้บริการก็ไม่ได้รับความสะดวก
นอกจากนี้ยังพบบางสถานีตำรวจ เช่น ในพื้นที่ จ.สระบุรี ผู้รับเหมาก่อสร้างทิ้งงานกลางคัน โดยอ้างว่าไม่สามารถทำต่อไหวเพราะมีปัญหาด้านการเงิน ดังนั้น ตนตั้งข้อสังเกตว่าโครงการดังกล่าวน่าจะมีการทุจริต เพราะมีเอื้อประโยชน์ให้เอกชนเพียงบริษัทเดียวรับเหมางานก่อสร้างเกือบ 400 สถานี เข้าข่ายความผิดว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ(ฮั้วประมูล) นอกจากนี้ยังต้องการให้ดีเอสไอตรวจสอบว่าเรื่องดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับนักการเมือง โดยเฉพาะประเด็นที่ผู้รับเหมาอ้างว่ามีปัญหาด้านการเงิน อาจเป็นเพราะต้องเจียดเงินไปจ่ายให้คนบางกลุ่มทำให้ขาดเงินหมุนเวียนหรือคิดว่าหากดำเนินการก่อสร้างต่อไปก็ไม่คุ้ม
ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ได้ติดตามเรื่องดังกล่าวมาบ้างแล้ว พบว่ามีการว่าจ้างบริษัทเอกชนเพียงรายเดียวก่อสร้างสถานีตำรวจทั้ง 396 สถานี และต่อมามีการแก้ไขรายละเอียดในสัญญาหลายครั้งและยังไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ทำให้หลายสถานีตำรวจได้รับความเดือดร้อนไปใช้สถานที่อื่นทำงาน ทั้งนี้ หลังได้รับหนังสือร้องเรียนและเอกสารจากพรรคเพื่อไทยจะมอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นผู้รับผิดชอบ โดยหลังช่วงปีใหม่ตนจะนำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงทันที
