ไม่นานวันมานี้ได้ข่าวว่านายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้เข้ายื่นความจำนงขอจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ “ทวงคืนผืนป่าประเทศไทย” โดยการตั้งพรรคนี้ไม่หวังจะได้เสียง ส.ส.มาก แต่หวังเพียงให้ได้มีเวทีในการนำเสนอวาระการทวงคืนผืนป่าต่อสังคมเท่านั้น
ผมขอปรบมือดังๆ ให้ และสัญญาว่าจะเลือกพรรคนี้หากมีการส่ง ส.ส. ลงสมัครในเขตเลือกตั้งของผม อย่างน้อยก็ในระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อให้คนอันดับต้น (หมายถึงนายดำรงค์) ได้เข้าไปเป็น ส.ส.
แต่ผมติงนิดว่าชื่อพรรคมันแคบไปหน่อย ถ้ายังทันอยู่เสนอให้เปลี่ยนให้กว้างขึ้น เช่น...พรรคทวงคืนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (แบบนี้มันคลุมกว้างไปถึงป่าชายเลน การปล่อยมลพิษของโรงงาน การใช้สารเคมีในการเกษตรกรรมและปศุสัตว์ (หันมาปลูกผักปลอดสารพิษแทน) รวมไปถึงสุขภาพของประชาชนในภาพรวม ...แบบนี้จะได้ฐานเสียงแนวร่วมมากขึ้นอักโข
สำหรับการทวงคืนผืนป่าที่ถูกบุกรุกนั้น ผมเห็นว่าการทวงคืนไม่ยากเลย เพราะป่าเหล่านี้ยังมีประชากรไม่หนาแน่นมาก (ฐานมวลชนที่จะมาต่อต้านน้อย) (เช่น สามร้อยยอด น้ำหนาว วังน้ำเขียว และอื่นๆ) อาจใช้มาตรการหนักเด็ดขาดระยะสั้น หรือมาตรการผ่อนปรนระยะยาว หรือทั้งสองอย่างผสมกัน
มาตรการระยะยาวที่ผมได้เสนอไว้ในอดีต คือ ให้ออกกฎหมายห้ามโอนถ่ายสิทธิ์ครอบครองที่ดินต่อลูกหลาน ซึ่งลูกหลานวันนี้ก็ไม่มีใครอยากเป็นเกษตรกรอีกต่อไปแล้วด้วย จากนั้นสร้างอุตสาหกรรมริมป่าให้ทั้งตัวเขาและลูกหลานมีงานทำ สร้างคอนโดฯ ให้อยู่ แล้วทำงานในอุตสาหกรรมริมป่านั้น
อุตสาหกรรมที่จะทำนั้นหากหาอะไรไม่ได้ก็อุตสาหกรรมป่าไม้ไงล่ะ โดยการตัดสางไม้ในป่าเดิมและป่าที่ปลูกใหม่มาทำเฟอร์นิเจอร์ขายในประเทศและส่งออก
ถ้าทำแบบนี้ ภายใน ๕๐ ปี ที่คนรุ่นนี้ ที่บุกรุกป่าตายหมด เราก็ได้ผืนป่าคืน แถมคนมีงานทำ มีรายได้ดี ...ซึ่งผมได้เคยคำนวณให้เห็นไว้แล้วว่า อุตสาหกรรมป่าไม้นั้นถ้าทำให้ดี มีสมอง ฝีมือ จะมีรายได้ไร่ละหนึ่งล้านบาทเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่ทำนาได้ไร่ละ ๕,๐๐๐ เท่านั้น
ดังนั้น อย่าว่าแต่เอาผืนป่าคืน เราควรเอาผืนนาคืนด้วยซ้ำไป ให้เหลือพื้นที่พอทำกินในประเทศ โดยเลิกส่งออกข้าวแข่งกับเวียดนาม พม่า เขมร เสียที แล้วเอาพื้นที่มาปลูกป่าแทน จากนั้นเราปลูกมันป่าให้มันพันต้นไม้ขึ้นไปก็ได้มันกินอีก ผมเคยคำนวณพบว่ามันป่าหนึ่งไร่ปลูกแบบทิ้งขว้างได้สามตันสบายๆ ส่วนข้าวปลูกกันเหนื่อยยากแทบตายได้แค่ครึ่งตัน ปลูกมันสำปะหลังก็ได้สามตันเหมือนกัน
อีกวิธีหนึ่งในการทวงคืนผืนป่าที่ผมได้เคยเสนอไว้แล้ว คือ การส่งเสริมให้ผู้บุกรุกหันมาปลูกสวนป่าแทนทำนาไร่ โดยรัฐจ้างผู้บุกรุกนั่นแหละให้ปลูกและดูแลป่าไร่ละ ๒,๐๐๐ บาทต่อปี (ทำนาอีสานได้กำไรสุทธิเพียงไร่ละ ๑,๕๐๐ บาท เท่านั้น)
สมมติว่าปลูกป่าที่ถูกบุกรุก ๒๐ ล้านไร่ ก็จะเป็นเงินเพียง ๔ หมื่นล้านบาทต่อปีเท่านั้นเอง เงินนี้ถ้าไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีประเทศไปขอคาร์บอนเครดิตจากอียูก็ได้ (จะได้มากกว่านี้เสียอีกเพราะจะได้ประมาณไร่ละ ๖,๐๐๐ บาท)
น่าคิดว่าเงินสี่หมื่นล้านนี้น้อยกว่าเงินกำไรขายหุ้นของคนคนเดียว น้อยกว่าเงินที่จะเอาไปจ่ายให้คนเห่อเหิมซื้อรถคันแรก น้อยกว่าเงินที่เอาไปถมให้คนโกงการรับจำนำข้าวมากหลาย น้อยกว่ารายได้ที่สูญหายไปจากการลดภาษีนิติบุคคลให้คนรวย แล้วเราจะเอาเงินนี้ซื้อป่าคืนมาให้ลูกหลานเราไม่ได้เชียวหรือ ..ทำให้ดีๆ จะมีกำไรในระยะยาวเสียอีก (จากอุตสาหกรรมป่าไม้)
ในสิบปีแรกไม้ยังไม่โตก็ยังมีรายได้เสริมอีกมาก เช่น การปลูกพืชใต้ร่มเงา การปลูกมันให้พันต้นไม้ (มันบางชนิดเช่น มันเลือด สามารถให้ผลผลิตได้ปีละสิบตันต่อไร่สบายๆ)
พอไม้โตแล้ว ให้ทำสัญญาว่าจะต้องตัดแบบสางเท่านั้น โดยให้ย้ายบ้านออกมาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านใหญ่ริมป่าที่รัฐสร้างให้ที่สะดวกสบาย ใช้พื้นที่น้อย แล้วทำอุตสาหกรรมป่าไม้จากป่าที่ตนเองปลูก พอมีรายได้ก็ผ่อนหนี้ใช้คืนหลวงแบบน้อยๆ ระยะยาว
แบบนี้เราก็อยู่ร่วมกันได้ แต่มันเป็นการนิรโทษกรรมผู้บุกรุกกลายๆเหมือนกัน
มาตรการเสริม น่าจะคือการบีบคั้นทางอ้อม สังเกตว่ารัฐบาลไทยใจดีมาก มีชุมชนบุกรุกป่า แต่รัฐกลับไปสร้างโรงเรียน อนามัย วัด ให้เฉย เท่ากับไปอำนวยความสะดวกให้คนทำผิดกฎหมาย อีกทั้งเป็นการยอมรับโดยปริยาย ...เสนอว่าให้สั่งรื้อสวัสดิการให้หมด อีกทั้งยังมีหมายศาลเรียกผู้บุกรุกไปให้ปากคำเป็นรายๆ เป็นระยะ เพื่อสร้างแรงกดดัน (อย่าให้อยู่อย่างเป็นสุข)
ในขณะเดียวกัน ก็ใช้มาตรปลูกป่า สร้างงานริมป่าให้เขา เพื่อให้เป็นทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ดีกว่า โดยไม่ต้องถูกกฎหมายรบกวน ถ้ามีทางเลือกให้เขาแบบนี้ แถมมีรายได้ดีกว่าทำเกษตรอันเหนื่อยยาก เชื่อว่า เขาเลิกแน่
ถ้ารัฐไม่อยากลงทุนเอง ก็จัดโซนอุตสาหกรรมพิเศษริมป่าเป้าหมายขึ้นมาสิ ให้ BOI เป็นสองเท่าอัตราปกติยังได้
ผมขอปรบมือดังๆ ให้ และสัญญาว่าจะเลือกพรรคนี้หากมีการส่ง ส.ส. ลงสมัครในเขตเลือกตั้งของผม อย่างน้อยก็ในระบบบัญชีรายชื่อ เพื่อให้คนอันดับต้น (หมายถึงนายดำรงค์) ได้เข้าไปเป็น ส.ส.
แต่ผมติงนิดว่าชื่อพรรคมันแคบไปหน่อย ถ้ายังทันอยู่เสนอให้เปลี่ยนให้กว้างขึ้น เช่น...พรรคทวงคืนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (แบบนี้มันคลุมกว้างไปถึงป่าชายเลน การปล่อยมลพิษของโรงงาน การใช้สารเคมีในการเกษตรกรรมและปศุสัตว์ (หันมาปลูกผักปลอดสารพิษแทน) รวมไปถึงสุขภาพของประชาชนในภาพรวม ...แบบนี้จะได้ฐานเสียงแนวร่วมมากขึ้นอักโข
สำหรับการทวงคืนผืนป่าที่ถูกบุกรุกนั้น ผมเห็นว่าการทวงคืนไม่ยากเลย เพราะป่าเหล่านี้ยังมีประชากรไม่หนาแน่นมาก (ฐานมวลชนที่จะมาต่อต้านน้อย) (เช่น สามร้อยยอด น้ำหนาว วังน้ำเขียว และอื่นๆ) อาจใช้มาตรการหนักเด็ดขาดระยะสั้น หรือมาตรการผ่อนปรนระยะยาว หรือทั้งสองอย่างผสมกัน
มาตรการระยะยาวที่ผมได้เสนอไว้ในอดีต คือ ให้ออกกฎหมายห้ามโอนถ่ายสิทธิ์ครอบครองที่ดินต่อลูกหลาน ซึ่งลูกหลานวันนี้ก็ไม่มีใครอยากเป็นเกษตรกรอีกต่อไปแล้วด้วย จากนั้นสร้างอุตสาหกรรมริมป่าให้ทั้งตัวเขาและลูกหลานมีงานทำ สร้างคอนโดฯ ให้อยู่ แล้วทำงานในอุตสาหกรรมริมป่านั้น
อุตสาหกรรมที่จะทำนั้นหากหาอะไรไม่ได้ก็อุตสาหกรรมป่าไม้ไงล่ะ โดยการตัดสางไม้ในป่าเดิมและป่าที่ปลูกใหม่มาทำเฟอร์นิเจอร์ขายในประเทศและส่งออก
ถ้าทำแบบนี้ ภายใน ๕๐ ปี ที่คนรุ่นนี้ ที่บุกรุกป่าตายหมด เราก็ได้ผืนป่าคืน แถมคนมีงานทำ มีรายได้ดี ...ซึ่งผมได้เคยคำนวณให้เห็นไว้แล้วว่า อุตสาหกรรมป่าไม้นั้นถ้าทำให้ดี มีสมอง ฝีมือ จะมีรายได้ไร่ละหนึ่งล้านบาทเป็นอย่างต่ำ ในขณะที่ทำนาได้ไร่ละ ๕,๐๐๐ เท่านั้น
ดังนั้น อย่าว่าแต่เอาผืนป่าคืน เราควรเอาผืนนาคืนด้วยซ้ำไป ให้เหลือพื้นที่พอทำกินในประเทศ โดยเลิกส่งออกข้าวแข่งกับเวียดนาม พม่า เขมร เสียที แล้วเอาพื้นที่มาปลูกป่าแทน จากนั้นเราปลูกมันป่าให้มันพันต้นไม้ขึ้นไปก็ได้มันกินอีก ผมเคยคำนวณพบว่ามันป่าหนึ่งไร่ปลูกแบบทิ้งขว้างได้สามตันสบายๆ ส่วนข้าวปลูกกันเหนื่อยยากแทบตายได้แค่ครึ่งตัน ปลูกมันสำปะหลังก็ได้สามตันเหมือนกัน
อีกวิธีหนึ่งในการทวงคืนผืนป่าที่ผมได้เคยเสนอไว้แล้ว คือ การส่งเสริมให้ผู้บุกรุกหันมาปลูกสวนป่าแทนทำนาไร่ โดยรัฐจ้างผู้บุกรุกนั่นแหละให้ปลูกและดูแลป่าไร่ละ ๒,๐๐๐ บาทต่อปี (ทำนาอีสานได้กำไรสุทธิเพียงไร่ละ ๑,๕๐๐ บาท เท่านั้น)
สมมติว่าปลูกป่าที่ถูกบุกรุก ๒๐ ล้านไร่ ก็จะเป็นเงินเพียง ๔ หมื่นล้านบาทต่อปีเท่านั้นเอง เงินนี้ถ้าไม่กลัวเสียศักดิ์ศรีประเทศไปขอคาร์บอนเครดิตจากอียูก็ได้ (จะได้มากกว่านี้เสียอีกเพราะจะได้ประมาณไร่ละ ๖,๐๐๐ บาท)
น่าคิดว่าเงินสี่หมื่นล้านนี้น้อยกว่าเงินกำไรขายหุ้นของคนคนเดียว น้อยกว่าเงินที่จะเอาไปจ่ายให้คนเห่อเหิมซื้อรถคันแรก น้อยกว่าเงินที่เอาไปถมให้คนโกงการรับจำนำข้าวมากหลาย น้อยกว่ารายได้ที่สูญหายไปจากการลดภาษีนิติบุคคลให้คนรวย แล้วเราจะเอาเงินนี้ซื้อป่าคืนมาให้ลูกหลานเราไม่ได้เชียวหรือ ..ทำให้ดีๆ จะมีกำไรในระยะยาวเสียอีก (จากอุตสาหกรรมป่าไม้)
ในสิบปีแรกไม้ยังไม่โตก็ยังมีรายได้เสริมอีกมาก เช่น การปลูกพืชใต้ร่มเงา การปลูกมันให้พันต้นไม้ (มันบางชนิดเช่น มันเลือด สามารถให้ผลผลิตได้ปีละสิบตันต่อไร่สบายๆ)
พอไม้โตแล้ว ให้ทำสัญญาว่าจะต้องตัดแบบสางเท่านั้น โดยให้ย้ายบ้านออกมาอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านใหญ่ริมป่าที่รัฐสร้างให้ที่สะดวกสบาย ใช้พื้นที่น้อย แล้วทำอุตสาหกรรมป่าไม้จากป่าที่ตนเองปลูก พอมีรายได้ก็ผ่อนหนี้ใช้คืนหลวงแบบน้อยๆ ระยะยาว
แบบนี้เราก็อยู่ร่วมกันได้ แต่มันเป็นการนิรโทษกรรมผู้บุกรุกกลายๆเหมือนกัน
มาตรการเสริม น่าจะคือการบีบคั้นทางอ้อม สังเกตว่ารัฐบาลไทยใจดีมาก มีชุมชนบุกรุกป่า แต่รัฐกลับไปสร้างโรงเรียน อนามัย วัด ให้เฉย เท่ากับไปอำนวยความสะดวกให้คนทำผิดกฎหมาย อีกทั้งเป็นการยอมรับโดยปริยาย ...เสนอว่าให้สั่งรื้อสวัสดิการให้หมด อีกทั้งยังมีหมายศาลเรียกผู้บุกรุกไปให้ปากคำเป็นรายๆ เป็นระยะ เพื่อสร้างแรงกดดัน (อย่าให้อยู่อย่างเป็นสุข)
ในขณะเดียวกัน ก็ใช้มาตรปลูกป่า สร้างงานริมป่าให้เขา เพื่อให้เป็นทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ดีกว่า โดยไม่ต้องถูกกฎหมายรบกวน ถ้ามีทางเลือกให้เขาแบบนี้ แถมมีรายได้ดีกว่าทำเกษตรอันเหนื่อยยาก เชื่อว่า เขาเลิกแน่
ถ้ารัฐไม่อยากลงทุนเอง ก็จัดโซนอุตสาหกรรมพิเศษริมป่าเป้าหมายขึ้นมาสิ ให้ BOI เป็นสองเท่าอัตราปกติยังได้