พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) และประธานอนุกรรมการด้านผังรายการ และเนื้อหารายการ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการฯ ได้ข้อสรุปแล้วว่า การที่สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ถ่ายทอดสด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการแข่งขันเทิดพระเกียรติ มวยไทยวอริเออร์ส ที่เขตปกครองพิเศษมาเก๊า เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ไม่ขัดมาตรา 37 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 แต่อย่างใด
ทั้งนี้ หลังเรียกผู้บริหารช่อง 11 เข้าเชี้แจง เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. พบว่า กระบวนการการออกอากาศเป็นไปตามการอนุญาต ทั้งระเบียบของช่อง และเกณฑ์ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพราะได้แจ้งรายละเอียดอย่างกว้างๆ แล้วว่า ถ่ายทอดสดรายการอะไร ที่ไหน อย่างไร
"ถ้าถามว่าใครควรออกรายการหรือไม่ ในฐานะผู้ดูแลกำกับเนื้อหารายการของ กสทช. ไม่มีสิทธิละเมิดว่า รายการจะนำใครมาออกรายการ เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิสื่อ เช่น กรณีสัมภาษณ์นักโทษค้ายาเสพติด ประโยชน์คือ การถ่ายทอดข้อเสียของการค้ายาเสพติด การที่ กสทช. ไประบุว่า ใครห้ามออกหรือไม่นั้น ถือเป็นการไปแทรกแซงสื่อ" พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว
สำหรับผลสรุปของคณะอนุกรรมการฯ จะนำเสนอ ให้ที่ประชุมบอร์ด กสท. พิจารณาในวันที่ 7 ม.ค.56 ซึ่งแนวทางหลังจากนี้ คณะอนุกรรมการได้ขอให้สื่อสารมวลชนทุกแขนงพิจารณา และระมัดระวังอย่างรอบคอบว่าเนื้อหาที่เผยแพร่ออกไปนั้น จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนในสังคม โดยสื่อสารมวลชนจะต้องเป็นสื่อมืออาชีพ การผลิตรายการต้องสนองต่อมวลชนจริงๆ ไม่ใช่การรับใช้เจ้าของกิจการหรือรัฐบาล ซึ่ง กสทช. กำลังพัฒนาด้านจริยธรรม เพื่อให้สื่อมวลชนมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ขณะที่ประกาศเรื่องหลักเกณฑ์การจัดทำผังรายการสำหรับการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. ... อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา หลังผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะต้องเชิญสื่อช่องต่างๆ มาทำความเข้าใจถึงการบังคับใช้ โดยเกณฑ์การแจ้งผังรายการออกอากาศจะมีระยะเวลาสั้นลง คือ แจ้งล่วงหน้า 15 วัน
" สาระหลักคือ การกำกับมากกว่า มาตรา 37 ใน พ.ร.บ. กสทช. เพราะปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้คือ ข้อความที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม (Hate Speech) เนื้อหาก่อให้เกิดคววามสมานฉันท์ ไม่สนับสนุนความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งหลายอย่างอาจห้ามตรงๆ ไม่ได้ ” พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ หลังเรียกผู้บริหารช่อง 11 เข้าเชี้แจง เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. พบว่า กระบวนการการออกอากาศเป็นไปตามการอนุญาต ทั้งระเบียบของช่อง และเกณฑ์ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพราะได้แจ้งรายละเอียดอย่างกว้างๆ แล้วว่า ถ่ายทอดสดรายการอะไร ที่ไหน อย่างไร
"ถ้าถามว่าใครควรออกรายการหรือไม่ ในฐานะผู้ดูแลกำกับเนื้อหารายการของ กสทช. ไม่มีสิทธิละเมิดว่า รายการจะนำใครมาออกรายการ เพราะถือเป็นการละเมิดสิทธิสื่อ เช่น กรณีสัมภาษณ์นักโทษค้ายาเสพติด ประโยชน์คือ การถ่ายทอดข้อเสียของการค้ายาเสพติด การที่ กสทช. ไประบุว่า ใครห้ามออกหรือไม่นั้น ถือเป็นการไปแทรกแซงสื่อ" พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว
สำหรับผลสรุปของคณะอนุกรรมการฯ จะนำเสนอ ให้ที่ประชุมบอร์ด กสท. พิจารณาในวันที่ 7 ม.ค.56 ซึ่งแนวทางหลังจากนี้ คณะอนุกรรมการได้ขอให้สื่อสารมวลชนทุกแขนงพิจารณา และระมัดระวังอย่างรอบคอบว่าเนื้อหาที่เผยแพร่ออกไปนั้น จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งของคนในสังคม โดยสื่อสารมวลชนจะต้องเป็นสื่อมืออาชีพ การผลิตรายการต้องสนองต่อมวลชนจริงๆ ไม่ใช่การรับใช้เจ้าของกิจการหรือรัฐบาล ซึ่ง กสทช. กำลังพัฒนาด้านจริยธรรม เพื่อให้สื่อมวลชนมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
ขณะที่ประกาศเรื่องหลักเกณฑ์การจัดทำผังรายการสำหรับการให้บริการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ พ.ศ. ... อยู่ระหว่างรอประกาศในราชกิจจานุเบกษา หลังผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว ซึ่งหลังจากนี้จะต้องเชิญสื่อช่องต่างๆ มาทำความเข้าใจถึงการบังคับใช้ โดยเกณฑ์การแจ้งผังรายการออกอากาศจะมีระยะเวลาสั้นลง คือ แจ้งล่วงหน้า 15 วัน
" สาระหลักคือ การกำกับมากกว่า มาตรา 37 ใน พ.ร.บ. กสทช. เพราะปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้คือ ข้อความที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคม (Hate Speech) เนื้อหาก่อให้เกิดคววามสมานฉันท์ ไม่สนับสนุนความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งหลายอย่างอาจห้ามตรงๆ ไม่ได้ ” พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว
