ASTVผู้จัดการรายวัน-เกิดเหตุสลด! พบเด็กชายวัย 3 ขวบ 6 เดือน ติดอยู่ในห้องโดยสารรถเก๋งที่จอดตากแดดนานนับ 6 ชั่วโมง หลังบ่นกับปู่อยากกินเงาะ ซื้อให้เสร็จเด็กหาย พบอีกที เจอนอนปากซีดมือเกร็งแน่นอยู่ในเก๋งจุดที่ปู่พาไปซื้อเงาะ รีบนำส่ง รพ.บางมด ยื้อชีวิตไม่สำเร็จ เหตุเสียชีวิตมาก่อนแล้ว แพทย์เตือนพ่อแม่อย่าทิ้งลูกไว้ในรถ เหตุอาจตายได้จากความร้อนที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ขาดอากาศ
เมื่อเวลา 00.15 น.วานนี้ (19 ธ.ค.) ร.ต.ต.ธงชัย ศรีสำโรง ร้อยเวรสอบสวน สน.ท่าข้าม รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รพ.บางมด ว่า มีเด็กขาดอากาศหายใจถูกส่งตัวมารักษาแล้วเสียชีวิต จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ภายในห้องห้องฉุกเฉินพบศพ ด.ช.พันธวีร์ ยอดทอง หรือน้องเหนือ อายุ 3 ขวบ 6 เดือน สภาพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าลายการ์ตูน นุ่งกางเกงขาสั้นสีดำ ตามเนื้อตัวทั้งแขนและขามีร่องรอยคล้ายถูกแดดเผาไหม้จนแดง ปากซีด เบื้องต้นไม่พบบาดแผลจากการถูกทำร้ายร่างกาย คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
สอบสวนนายบุญเลิศ ยอดทอง อายุ 65 ปี ปู่ของผู้ตายให้การต่อตำรวจว่า ตนและน้องเหนือพักอยู่ที่ห้องเลขที่ 214 ชั้น 5 อาคารพีเพิลพาร์คเพลส ซอยอนามัยงามเจริญ 15 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน และเป็นคนเลี้ยงน้องเหนือมาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะลูกชายกับลูกสะใภ้ต้องเดินทางไปทำงานที่โรงงานแถวบางบอน โดยลูกชายจะมารับน้องเหนือกลับไปนอนด้วยเฉพาะในคืนวันเสาร์เท่านั้น ก่อนเกิดเหตุช่วงเวลาประมาณ 12.30 น. ของวันที่ 18 ธ.ค. น้องเหนือบ่นว่าอยากกินเงาะ จึงจูงหลานเดินลงมาหาซื้อเงาะที่รถขายกับข้าว ซึ่งจะมาจอดบริเวณด้านหน้าหอพักทุกวัน แต่พอซื้อเสร็จปรากฏว่าน้องเหนือหายตัวไป จึงตะโกนขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านให้ช่วยตามหาแต่หาเท่าไรก็ไม่พบ
กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่า 6 ชั่วโมง มีเพื่อนบ้านได้วิ่งขึ้นไปแจ้งว่าพบน้องเหนือนอนแน่นิ่งอยู่ในห้องโดยสารของรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรลล่า สีขาว ทะเบียน 6ธ 8773 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจอดอยู่ตรงลานจอดรถหน้าหอพักใกล้ๆ กับจุดที่รถขายกับข้าวมาจอดตามปกติ จึงรีบวิ่งลงมาดูพบว่าน้องเหนือนอนแน่นิ่งอยู่ที่เบาะด้านหลังรถ มีอาการปากซีด มือทั้ง 2 ข้างเกร็งแน่น จึงช่วยกันรีบนำส่งที่ รพ.บางมด แต่ก็ไม่ทันการณ์
ด้านร.ต.ต.ธีรสิทธิ์ อโปกุล พงส. สน.ท่าข้าม เจ้าของคดี กล่าวถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้เรียกตัวผู้ปกครอง เจ้าของรถ และผู้พบศพคนแรกมาสอบปากคำอีกครั้งว่าเป็นความประมาทของผู้ใดบ้างหรือไม่ ทางเจ้าของรถเก๋งคันดังกล่าวได้เดินทางมาสอบปากคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าของรถยืนยันว่าได้ทำการล็อคประตูรถเรียบร้อย เบื้องต้นไม่สามารถแจ้งข้อหาเจ้าของรถได้เนื่องจากรถเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล และเจ้าของรถไม่รู้จักกับเด็กผู้ตายหรือครอบครัว ถือว่าเข้าไปในรถโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงถือว่าเจ้าของรถไม่มีความผิด ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของ น้องเหนือ ต้องรอผลชันสูตรศพนิติเวช รพ.ศิริราช ต่อไป
นายปิยะวิทย์ ลิมสุทธิรัตน์ อายุ 33 ปี เจ้าของรถเก๋งคันเกิดเหตุ กล่าวว่า พักอยู่กับภรรยาในห้องเลขที่ 236 ชั้น 5 อาคารเดียวกัน ปกติจะใช้รถเก๋งอีกคันหนึ่ง แต่เนื่องจากรถคันที่ใช้ประจำเพิ่งถูกโจรงัดแงะไป จึงนำไปเข้าอู่เพื่อซ่อมประตู แล้วจึงนำรถคันเกิดเหตุนี้มาจอดไว้แทนเผื่อจะใช้งาน แต่พอช่วงหัวค่ำวันที่ 18 ธ.ค. ขณะที่ตนยังทำงานอยู่ ภรรยาได้โทรศัพท์มาบอกว่ามีเด็กเสียชีวิตในรถให้รีบกลับมาดู ตกใจมาก เพราะมั่นใจว่าตอนจอด ก็ล็อกรถด้วยระบบเซ็นทรัลล็อกเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่ทราบจริงๆ ว่าเด็กเปิดประตูเข้าไปนอนอยู่ในรถได้อย่างไร
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า พ่อแม่ห้ามทิ้งลูกไว้ในรถที่จอดกลางแจ้งเด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องลงไปธุระนอกรถเร็วหรือช้า แต่ควรนำเด็กลงจากรถไปด้วยทุกครั้ง และไม่ควรเปิดแง้มหน้าต่างไว้แล้วปล่อยให้เด็กอยู่ภายใน เพราะอาจเข้าใจว่าเด็กไม่ขาดอากาศหายใจแล้วจะปลอดภัย แต่ความจริงแล้วเด็กตายเพราะความร้อนสูง การเปิดแง้มหน้าต่างทิ้งไว้ไม่ได้รับประกันว่าความร้อนภายในรถจะไม่สูงขึ้นและช่วยให้เด็กปลอดภัย ส่วนการจอดรถในที่ร่ม เด็กก็อาจจะเสียชีวิตจากความร้อนที่สูงขึ้นได้เช่นกันแต่อาจใช้เวลานานกว่าที่จอดกลางแจ้ง ดังนั้น จึงไม่ควรทิ้งเด็กไว้ในรถ
“ปกติร่างกายจะรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้น ช่วงแรกร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ แต่เมื่อถึงจุดที่ร่างกายทนไม่ไหว ร่างกายก็จะหยุดทำงาน เกิดภาวะเลือดเป็นกรด หยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงาน หากเจอเด็กที่ติดในรถเร็วจะพบในสภาพตัวแดง แต่หากนานแล้วเด็กจะตัวซีดและเสียชีวิต” รศ.นพ.อดิศักดิ์กล่าว
เมื่อเวลา 00.15 น.วานนี้ (19 ธ.ค.) ร.ต.ต.ธงชัย ศรีสำโรง ร้อยเวรสอบสวน สน.ท่าข้าม รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รพ.บางมด ว่า มีเด็กขาดอากาศหายใจถูกส่งตัวมารักษาแล้วเสียชีวิต จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู ภายในห้องห้องฉุกเฉินพบศพ ด.ช.พันธวีร์ ยอดทอง หรือน้องเหนือ อายุ 3 ขวบ 6 เดือน สภาพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าลายการ์ตูน นุ่งกางเกงขาสั้นสีดำ ตามเนื้อตัวทั้งแขนและขามีร่องรอยคล้ายถูกแดดเผาไหม้จนแดง ปากซีด เบื้องต้นไม่พบบาดแผลจากการถูกทำร้ายร่างกาย คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
สอบสวนนายบุญเลิศ ยอดทอง อายุ 65 ปี ปู่ของผู้ตายให้การต่อตำรวจว่า ตนและน้องเหนือพักอยู่ที่ห้องเลขที่ 214 ชั้น 5 อาคารพีเพิลพาร์คเพลส ซอยอนามัยงามเจริญ 15 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน และเป็นคนเลี้ยงน้องเหนือมาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะลูกชายกับลูกสะใภ้ต้องเดินทางไปทำงานที่โรงงานแถวบางบอน โดยลูกชายจะมารับน้องเหนือกลับไปนอนด้วยเฉพาะในคืนวันเสาร์เท่านั้น ก่อนเกิดเหตุช่วงเวลาประมาณ 12.30 น. ของวันที่ 18 ธ.ค. น้องเหนือบ่นว่าอยากกินเงาะ จึงจูงหลานเดินลงมาหาซื้อเงาะที่รถขายกับข้าว ซึ่งจะมาจอดบริเวณด้านหน้าหอพักทุกวัน แต่พอซื้อเสร็จปรากฏว่าน้องเหนือหายตัวไป จึงตะโกนขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านให้ช่วยตามหาแต่หาเท่าไรก็ไม่พบ
กระทั่งเวลาผ่านไปนานกว่า 6 ชั่วโมง มีเพื่อนบ้านได้วิ่งขึ้นไปแจ้งว่าพบน้องเหนือนอนแน่นิ่งอยู่ในห้องโดยสารของรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรลล่า สีขาว ทะเบียน 6ธ 8773 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจอดอยู่ตรงลานจอดรถหน้าหอพักใกล้ๆ กับจุดที่รถขายกับข้าวมาจอดตามปกติ จึงรีบวิ่งลงมาดูพบว่าน้องเหนือนอนแน่นิ่งอยู่ที่เบาะด้านหลังรถ มีอาการปากซีด มือทั้ง 2 ข้างเกร็งแน่น จึงช่วยกันรีบนำส่งที่ รพ.บางมด แต่ก็ไม่ทันการณ์
ด้านร.ต.ต.ธีรสิทธิ์ อโปกุล พงส. สน.ท่าข้าม เจ้าของคดี กล่าวถึงความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้เรียกตัวผู้ปกครอง เจ้าของรถ และผู้พบศพคนแรกมาสอบปากคำอีกครั้งว่าเป็นความประมาทของผู้ใดบ้างหรือไม่ ทางเจ้าของรถเก๋งคันดังกล่าวได้เดินทางมาสอบปากคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเจ้าของรถยืนยันว่าได้ทำการล็อคประตูรถเรียบร้อย เบื้องต้นไม่สามารถแจ้งข้อหาเจ้าของรถได้เนื่องจากรถเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล และเจ้าของรถไม่รู้จักกับเด็กผู้ตายหรือครอบครัว ถือว่าเข้าไปในรถโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงถือว่าเจ้าของรถไม่มีความผิด ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตของ น้องเหนือ ต้องรอผลชันสูตรศพนิติเวช รพ.ศิริราช ต่อไป
นายปิยะวิทย์ ลิมสุทธิรัตน์ อายุ 33 ปี เจ้าของรถเก๋งคันเกิดเหตุ กล่าวว่า พักอยู่กับภรรยาในห้องเลขที่ 236 ชั้น 5 อาคารเดียวกัน ปกติจะใช้รถเก๋งอีกคันหนึ่ง แต่เนื่องจากรถคันที่ใช้ประจำเพิ่งถูกโจรงัดแงะไป จึงนำไปเข้าอู่เพื่อซ่อมประตู แล้วจึงนำรถคันเกิดเหตุนี้มาจอดไว้แทนเผื่อจะใช้งาน แต่พอช่วงหัวค่ำวันที่ 18 ธ.ค. ขณะที่ตนยังทำงานอยู่ ภรรยาได้โทรศัพท์มาบอกว่ามีเด็กเสียชีวิตในรถให้รีบกลับมาดู ตกใจมาก เพราะมั่นใจว่าตอนจอด ก็ล็อกรถด้วยระบบเซ็นทรัลล็อกเป็นอย่างดีแล้ว จึงไม่ทราบจริงๆ ว่าเด็กเปิดประตูเข้าไปนอนอยู่ในรถได้อย่างไร
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า พ่อแม่ห้ามทิ้งลูกไว้ในรถที่จอดกลางแจ้งเด็ดขาด ไม่ว่าจะต้องลงไปธุระนอกรถเร็วหรือช้า แต่ควรนำเด็กลงจากรถไปด้วยทุกครั้ง และไม่ควรเปิดแง้มหน้าต่างไว้แล้วปล่อยให้เด็กอยู่ภายใน เพราะอาจเข้าใจว่าเด็กไม่ขาดอากาศหายใจแล้วจะปลอดภัย แต่ความจริงแล้วเด็กตายเพราะความร้อนสูง การเปิดแง้มหน้าต่างทิ้งไว้ไม่ได้รับประกันว่าความร้อนภายในรถจะไม่สูงขึ้นและช่วยให้เด็กปลอดภัย ส่วนการจอดรถในที่ร่ม เด็กก็อาจจะเสียชีวิตจากความร้อนที่สูงขึ้นได้เช่นกันแต่อาจใช้เวลานานกว่าที่จอดกลางแจ้ง ดังนั้น จึงไม่ควรทิ้งเด็กไว้ในรถ
“ปกติร่างกายจะรักษาอุณหภูมิไว้ที่ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้น ช่วงแรกร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ แต่เมื่อถึงจุดที่ร่างกายทนไม่ไหว ร่างกายก็จะหยุดทำงาน เกิดภาวะเลือดเป็นกรด หยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงาน หากเจอเด็กที่ติดในรถเร็วจะพบในสภาพตัวแดง แต่หากนานแล้วเด็กจะตัวซีดและเสียชีวิต” รศ.นพ.อดิศักดิ์กล่าว