ASTVผู้จัดการรายวัน - “เสนาฯ” เปิดแผนปี 56 เปิด 12 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 2,500 ลบ. ระบุปัญหาใหญ่ผู้ประกอบการค่าแรงต่อหัวจ่อปรับขึ้นอีก 40-50% แต่โชคดีวัสดุราคาทรงตัว ปีหน้าราคาบ้านปรับขึ้นแน่ 5-10%
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2556 ว่าจะเป็นปีที่ SENA เน้นเติบโตแบบ 360 องศา โดยนอกจากมีการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเน้นการดูแลลูกค้าหลังการขาย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและเป็นข้อแตกต่างของการขายที่อยู่อาศัยยุคปัจจุบัน ที่การก่อสร้างไม่ได้แตกต่างมากนัก
สำหรับแผนด้านการลงทุนในปี 56 เตรียมเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ เน้นแบรนด์เดอะ นิช บ้านแนวราบ 4 โครงการ และโครงการประเภทไลฟ์สไตล์ 2 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,500 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท พร้อมกับตั้งงบประมาณซื้อที่ดินเพื่อรอลงทุนใหม่อีกจำนวน 900 ล้านบาท
ดร.เกษรา กล่าวต่อว่า ในปี 56 คาดว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะดีกว่าปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายปัจจัย ปัจจัยที่น่าจะส่งเสริมมากที่สุดคือการลงทุนของภาครัฐบาลในโครงการขนาดใหญ่ อาทิ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระบบป้องกันน้ำท่วม โครงการรถไฟความเร็วสูง และปัจจัยทางจิตวิทยาต่อการที่น้ำไม่ท่วมในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลในปีนี้ อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในสภาวะทรงตัว
ทั้งนี้ในปี 56 ภาคอสังหาฯยังประสบปัญหาในเรื่องของแรงงานขาดแคลนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อีกทั้งค่าแรงยังมีแนวโน้มปรับขึ้นโดยคาดว่าค่าแรงต่อหัวจะปรับขึ้นอีก 40-50% ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้น แต่
อย่างไรก็ตามต้นทุนวัสดุในช่วงที่ผ่านมายังมีแนวโน้มทรงตัวโดยเฉพาะ เหล็กและปูน จึงทำให้ในภาพรวมต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้นเพียง 5-10% เท่านั้น โดยจะทำให้ราคาบ้านปรับขึ้น 5-10% เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาบ้านขึ้นตามต้นทุนได้ทุกรายหรือทุกทำเล ขึ้นอยู่กับการแข่งขัน ปริมาณสินค้าที่มีอยู่ในตลาดและความต้องการของผู้บริโค ฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกดดันให้ผู้ประกอบการจะต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดีเพื่อลดต้นทุนไม่ให้เพิ่มขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 55 คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 1,700 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ประมาณ 1500-1,600 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของกำลังซื้อในช่วงไตรมาสแรกซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่ในปลายปี 54 นอกจากนี้ในไตรมาส 3 กำลังซื้อยังมีการชะลอตัวเนืองจากเกรงว่าน้ำจะท่วมอีกครั้งในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตามกำลังซื้อได้กลับเข้ามามากในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากอั้นไว้นาน
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2556 ว่าจะเป็นปีที่ SENA เน้นเติบโตแบบ 360 องศา โดยนอกจากมีการพัฒนาสินค้าให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังเน้นการดูแลลูกค้าหลังการขาย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและเป็นข้อแตกต่างของการขายที่อยู่อาศัยยุคปัจจุบัน ที่การก่อสร้างไม่ได้แตกต่างมากนัก
สำหรับแผนด้านการลงทุนในปี 56 เตรียมเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 6 โครงการ เน้นแบรนด์เดอะ นิช บ้านแนวราบ 4 โครงการ และโครงการประเภทไลฟ์สไตล์ 2 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,500 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 2,000 ล้านบาท พร้อมกับตั้งงบประมาณซื้อที่ดินเพื่อรอลงทุนใหม่อีกจำนวน 900 ล้านบาท
ดร.เกษรา กล่าวต่อว่า ในปี 56 คาดว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะดีกว่าปีนี้ โดยมีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายปัจจัย ปัจจัยที่น่าจะส่งเสริมมากที่สุดคือการลงทุนของภาครัฐบาลในโครงการขนาดใหญ่ อาทิ ระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน ระบบป้องกันน้ำท่วม โครงการรถไฟความเร็วสูง และปัจจัยทางจิตวิทยาต่อการที่น้ำไม่ท่วมในพื้นที่ กทม.และปริมณฑลในปีนี้ อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในสภาวะทรงตัว
ทั้งนี้ในปี 56 ภาคอสังหาฯยังประสบปัญหาในเรื่องของแรงงานขาดแคลนต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อีกทั้งค่าแรงยังมีแนวโน้มปรับขึ้นโดยคาดว่าค่าแรงต่อหัวจะปรับขึ้นอีก 40-50% ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้น แต่
อย่างไรก็ตามต้นทุนวัสดุในช่วงที่ผ่านมายังมีแนวโน้มทรงตัวโดยเฉพาะ เหล็กและปูน จึงทำให้ในภาพรวมต้นทุนค่าก่อสร้างปรับขึ้นเพียง 5-10% เท่านั้น โดยจะทำให้ราคาบ้านปรับขึ้น 5-10% เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาบ้านขึ้นตามต้นทุนได้ทุกรายหรือทุกทำเล ขึ้นอยู่กับการแข่งขัน ปริมาณสินค้าที่มีอยู่ในตลาดและความต้องการของผู้บริโค ฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกดดันให้ผู้ประกอบการจะต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดีเพื่อลดต้นทุนไม่ให้เพิ่มขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 55 คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 1,700 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ประมาณ 1500-1,600 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการชะลอตัวของกำลังซื้อในช่วงไตรมาสแรกซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่ในปลายปี 54 นอกจากนี้ในไตรมาส 3 กำลังซื้อยังมีการชะลอตัวเนืองจากเกรงว่าน้ำจะท่วมอีกครั้งในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตามกำลังซื้อได้กลับเข้ามามากในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากอั้นไว้นาน