วานนี้ ( 13 ธ.ค.) นายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ แถลงว่า กรณีที่นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ 6 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จากกรณีมีคำสั่งยกคำร้อง ระงับการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ที่มีพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย เป็นแกนนำในชุมนุมนั้น
ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญขอชี้แจงทำความเข้าใจแก่สาธารณชนว่า การพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าว เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการที่มีอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 197 และเป็นการใช้อำนาจโดยสุจริต ที่คำนึงถึงเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
ดังนั้นการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่มุ่งทำลายความน่า เชื่อถือขององค์กรศาลรัฐธรรมนูญโดยจงใจ และไม่สุจริตของผู้มีวิชาชีพทางกฎหมาย และผู้เกี่ยวข้องที่กระทำต่อการทำหน้าที่ขององค์กรตุลาการ ซึ่งทางสำนักงาน ก็จะได้มีการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ เมื่อแล้วเสร็จก็จะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายพิมล กล่าวอีกว่า การดำเนินการของนายสิงห์ทอง ทางตุลาการฯ ได้รับทราบจากที่ปรากฏเป็นข่าว โดยไม่ได้มีความเห็นใดๆ รวมทั้งยังไม่มีแนวคิดที่จะฟ้องกลับ มีเพียงผู้บริหารของสำนักงานที่เห็นว่า การกระทำของนายสิงห์ทอง และคณะไม่ใช่การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าจะตรวจสอบ กฎหมายมีช่องทางให้ดำเนินการในลักษณะการยื่นถอดถอน อีกทั้งทำให้องค์กรศาลรัฐธรรมนูญเสียหาย ประชาชนอาจเกิดความเข้าใจผิดได้ จึงจำเป็นต้องออกมาชี้แจง และพิจารณาที่จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับนายสิงห์ทอง และผู้เกี่ยวข้องในอนาคตต่อไป เพราะคดีที่เป็นเหตุมีการนำไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการฯนั้น ตุลาการฯ ถือว่าตุลาการฯ เป็นคนกลาง การพิจารณาตัดสิน ก็เป็นไปตามที่กฎหมายและ รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้
ทั้งนี้ทางสำนักงานฯ ไม่ได้รู้สึกกังวลว่าจะต้องเผชิญกับกลุ่มมวลชนที่อาจจะมาชุมนุมกดดัน หากสำนักงานเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่กล่าวหาตุลาการ เนื่องจากกรณีดังกล่าว มีข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้ว ทางสำนักงานฯ คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
**เสธ.อ้ายลาออกปธ.องค์การพิทักษ์สยาม
พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้ลาออกจากการเป็นประธานขององค์การพิทักษ์สยามแล้ว โดยให้ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ รองประธานขึ้นเป็นรักษาการประธานชั่วคราวแทน ส่วนการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและถูกดำเนินคดีนั้น องค์การพิทักษ์สยามก็มีคณะทำงานให้การช่วยเหลืออยู่เช่นกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่ทิ้งองค์การพิทักษ์สยามไปไหน หากเมื่อใดมีการจาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแรงตนก็พร้อมออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พล.อ.บุญเลิศ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความกับตนในข้อหาหมิ่นประมาท อันเป็นผลมาจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย.นั้น ตนไม่รู้สึกกังวลใจ เพราะมองว่าคนที่อยู่ต่างประเทศจะฟ้องร้องคนในประเทศได้อย่างไร ถึงแม้มีการเซ็นมอบอำนาจแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าลายเซ็นนั้นเป็นลายเซ็นที่แท้จริง อีกทั้งหากมีการขึ้นศาลก็จะไม่มีโจทย์มาให้การในการสืบพยานด้วย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ในประเทศ
ทางสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญขอชี้แจงทำความเข้าใจแก่สาธารณชนว่า การพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าว เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการที่มีอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 197 และเป็นการใช้อำนาจโดยสุจริต ที่คำนึงถึงเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
ดังนั้นการกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำที่มุ่งทำลายความน่า เชื่อถือขององค์กรศาลรัฐธรรมนูญโดยจงใจ และไม่สุจริตของผู้มีวิชาชีพทางกฎหมาย และผู้เกี่ยวข้องที่กระทำต่อการทำหน้าที่ขององค์กรตุลาการ ซึ่งทางสำนักงาน ก็จะได้มีการพิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ เมื่อแล้วเสร็จก็จะมีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
นายพิมล กล่าวอีกว่า การดำเนินการของนายสิงห์ทอง ทางตุลาการฯ ได้รับทราบจากที่ปรากฏเป็นข่าว โดยไม่ได้มีความเห็นใดๆ รวมทั้งยังไม่มีแนวคิดที่จะฟ้องกลับ มีเพียงผู้บริหารของสำนักงานที่เห็นว่า การกระทำของนายสิงห์ทอง และคณะไม่ใช่การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าจะตรวจสอบ กฎหมายมีช่องทางให้ดำเนินการในลักษณะการยื่นถอดถอน อีกทั้งทำให้องค์กรศาลรัฐธรรมนูญเสียหาย ประชาชนอาจเกิดความเข้าใจผิดได้ จึงจำเป็นต้องออกมาชี้แจง และพิจารณาที่จะดำเนินคดีทางกฎหมายกับนายสิงห์ทอง และผู้เกี่ยวข้องในอนาคตต่อไป เพราะคดีที่เป็นเหตุมีการนำไปแจ้งความดำเนินคดีกับตุลาการฯนั้น ตุลาการฯ ถือว่าตุลาการฯ เป็นคนกลาง การพิจารณาตัดสิน ก็เป็นไปตามที่กฎหมายและ รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้
ทั้งนี้ทางสำนักงานฯ ไม่ได้รู้สึกกังวลว่าจะต้องเผชิญกับกลุ่มมวลชนที่อาจจะมาชุมนุมกดดัน หากสำนักงานเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่กล่าวหาตุลาการ เนื่องจากกรณีดังกล่าว มีข้อเท็จจริงปรากฏอยู่แล้ว ทางสำนักงานฯ คงปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม
**เสธ.อ้ายลาออกปธ.องค์การพิทักษ์สยาม
พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้ลาออกจากการเป็นประธานขององค์การพิทักษ์สยามแล้ว โดยให้ พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ รองประธานขึ้นเป็นรักษาการประธานชั่วคราวแทน ส่วนการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย. ทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและถูกดำเนินคดีนั้น องค์การพิทักษ์สยามก็มีคณะทำงานให้การช่วยเหลืออยู่เช่นกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะไม่ทิ้งองค์การพิทักษ์สยามไปไหน หากเมื่อใดมีการจาบจ้วงสถาบันอย่างรุนแรงตนก็พร้อมออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พล.อ.บุญเลิศ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้ทนายความเข้าแจ้งความกับตนในข้อหาหมิ่นประมาท อันเป็นผลมาจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย.นั้น ตนไม่รู้สึกกังวลใจ เพราะมองว่าคนที่อยู่ต่างประเทศจะฟ้องร้องคนในประเทศได้อย่างไร ถึงแม้มีการเซ็นมอบอำนาจแล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าลายเซ็นนั้นเป็นลายเซ็นที่แท้จริง อีกทั้งหากมีการขึ้นศาลก็จะไม่มีโจทย์มาให้การในการสืบพยานด้วย เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ในประเทศ