ASTV ผู้จัดการรายวัน - “อีซูซุ” เล็งภายใน 3 ปี มั่นใจผลิตรถทะลุ 1 ล้านคัน หรือฉลองครบ 4 ล้านคันในไทย จากเดิมใช้เวลามากกว่าเท่าตัว เผยตลาดในและต่างประเทศมีความต้องการ“ดีแมคซ์”ใหม่มาก คาดยอดปีนี้ยอดขาย 2.1 แสนคัน ประเมินตลาดรถไทยปีหน้า ใกล้เคียงหรือตกไม่เกิน 10% เหตุโครงการรถคันแรกสิ้นสุด
นายฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุ เซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า อีซูซุดำเนินธุรกิจในไทยมาตลอด 55 ปี วานนี้ (26พ.ย.) อีซูซุ อีซูซุสามารถผลิตรถในไทยครบ 3 ล้านคัน และสามารถครองอันดับ 1 อย่างมั่นคง จากศักยภาพดังกล่าวทำให้อีซูซุย้ายฐานการผลิตปิกอัพจากประเทศญี่ปุ่นมาไทยเพื่อส่งออกไปทั่วโลก และยังได้เปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รวมถึงการตอบรับของปิกอัพโฉมใหม่ อีซูซุ ดีแมคซ์ และล่าสุดได้แนะนำปิกอัพรุ่นเอ็กซ์-ซีรี่ส์ใหม่เปิดตัวสู่ตลาด ซึ่งจากสิ่งเหล่านี้เชื่อมั่นว่าจะทำให้ยอดการผลิตรถอีซูซุในไทย ฉลองครบ 4 ล้านคันได้เร็วขึ้น
นายเคียวยะ คนโด รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ตรีเพชรอีซูซุ เซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมาอีซูซุได้มีการเปิดตัวปิกอัพโฉมใหม่ อีซูซุ ดีแมคซ์ ทำให้เกิดกระแสตอบรับอย่างมาก ด้วยการสร้างสถิติยอดขายและค้างส่งมอบกว่า 2 แสนคัน ภายในระยะเวลา 1 ปี แต่การเปิดโรงงานแห่งใหม่ทำให้การผลิตดีขึ้น และปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อปิกอัพอีซูซุจะต้องรอรับรถนานประมาณ 4 เดือน
“การเปิดโรงงานแห่งใหม่ทำให้สามารถตอบสนองตลาดในประเทศได้ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันตลาดต่างประเทศมีความต้องการมากเช่นกัน จึงจำเป็นแบ่งสัดส่วนให้ตอบสนองต่อทั้งสองตลาดอย่างเหมาะสม แต่จากสิ่งเหล่านี้มั่นใจว่ายอดการผลิตครบ 1 ล้านคันถัดไป จะใช้ระยะเวลาเร็วกว่าในช่วงที่ผ่านมา หรือคาดว่าจะภายใน 3 ปีเท่านั้น ซึ่งอีซูซุน่าจะฉลองการผลิตครบ 4 ล้านคันในประเทศไทย”
สำหรับตลาดในประเทศไทยของอีซูซุปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายและส่งมอบได้ประมาณ 2.1 แสนคัน แต่ยังมียอดค้างส่งมอบอีกเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปีหน้าอีซูซุประเมินจะสามารถขายและส่งมอบรถได้ใกล้เคียงกัน เพราะการผลิตทั้งสองโรงงานจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น เนื่องจากต้องส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการมากเช่นกัน
นอกจากนี้ตลาดรถในประเทศไทยปีหน้า แนวโน้มน่าจะใกล้เคียงกับปีนี้ประมาณ 1.4 ล้านคัน เนื่องจากโครงการรถคันแรกได้ยุติลง แม้จะมียอดค้างส่งมอบรถจากโครงการดังกล่าว แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะต้องดูผลกระทบจากเรื่องค่าแรง 300 บาทต่อวัน หรือสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก จึงคาดว่าตลาดรถไทยปีหน้าจะใกล้เคียงกับปีนี้ หรือลดลงประมาณ 5-10% เท่านั้น
นายฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุ เซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า อีซูซุดำเนินธุรกิจในไทยมาตลอด 55 ปี วานนี้ (26พ.ย.) อีซูซุ อีซูซุสามารถผลิตรถในไทยครบ 3 ล้านคัน และสามารถครองอันดับ 1 อย่างมั่นคง จากศักยภาพดังกล่าวทำให้อีซูซุย้ายฐานการผลิตปิกอัพจากประเทศญี่ปุ่นมาไทยเพื่อส่งออกไปทั่วโลก และยังได้เปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รวมถึงการตอบรับของปิกอัพโฉมใหม่ อีซูซุ ดีแมคซ์ และล่าสุดได้แนะนำปิกอัพรุ่นเอ็กซ์-ซีรี่ส์ใหม่เปิดตัวสู่ตลาด ซึ่งจากสิ่งเหล่านี้เชื่อมั่นว่าจะทำให้ยอดการผลิตรถอีซูซุในไทย ฉลองครบ 4 ล้านคันได้เร็วขึ้น
นายเคียวยะ คนโด รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ตรีเพชรอีซูซุ เซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อปลายปีที่ผ่านมาอีซูซุได้มีการเปิดตัวปิกอัพโฉมใหม่ อีซูซุ ดีแมคซ์ ทำให้เกิดกระแสตอบรับอย่างมาก ด้วยการสร้างสถิติยอดขายและค้างส่งมอบกว่า 2 แสนคัน ภายในระยะเวลา 1 ปี แต่การเปิดโรงงานแห่งใหม่ทำให้การผลิตดีขึ้น และปัจจุบันลูกค้าที่ซื้อปิกอัพอีซูซุจะต้องรอรับรถนานประมาณ 4 เดือน
“การเปิดโรงงานแห่งใหม่ทำให้สามารถตอบสนองตลาดในประเทศได้ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันตลาดต่างประเทศมีความต้องการมากเช่นกัน จึงจำเป็นแบ่งสัดส่วนให้ตอบสนองต่อทั้งสองตลาดอย่างเหมาะสม แต่จากสิ่งเหล่านี้มั่นใจว่ายอดการผลิตครบ 1 ล้านคันถัดไป จะใช้ระยะเวลาเร็วกว่าในช่วงที่ผ่านมา หรือคาดว่าจะภายใน 3 ปีเท่านั้น ซึ่งอีซูซุน่าจะฉลองการผลิตครบ 4 ล้านคันในประเทศไทย”
สำหรับตลาดในประเทศไทยของอีซูซุปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายและส่งมอบได้ประมาณ 2.1 แสนคัน แต่ยังมียอดค้างส่งมอบอีกเป็นจำนวนมาก ขณะที่ปีหน้าอีซูซุประเมินจะสามารถขายและส่งมอบรถได้ใกล้เคียงกัน เพราะการผลิตทั้งสองโรงงานจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น เนื่องจากต้องส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศที่มีความต้องการมากเช่นกัน
นอกจากนี้ตลาดรถในประเทศไทยปีหน้า แนวโน้มน่าจะใกล้เคียงกับปีนี้ประมาณ 1.4 ล้านคัน เนื่องจากโครงการรถคันแรกได้ยุติลง แม้จะมียอดค้างส่งมอบรถจากโครงการดังกล่าว แต่ในช่วงครึ่งปีหลังยังไม่สามารถประเมินได้ เพราะต้องดูผลกระทบจากเรื่องค่าแรง 300 บาทต่อวัน หรือสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งจึงไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก จึงคาดว่าตลาดรถไทยปีหน้าจะใกล้เคียงกับปีนี้ หรือลดลงประมาณ 5-10% เท่านั้น