xs
xsm
sm
md
lg

เซ็นซื้อข้าว3แสนตัน จีนช่วย"ปู"ไม่ให้หน้าแหก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-รัฐบาลไทยต้อนรับจีนยิ่งใหญ่ "ปู"ชวนร่วมลงทุนบิ๊กโปรเจ็กต์ ทั้งเขตเศรษฐกิจทวาย รถไฟความเร็วสูง ระบบป้องกันน้ำท่วม ด้าน "เวิน เจีย เป่า" ยาหอมคืนบริหารประเทศสำเร็จ พาไทยฟื้นตัวเร็ว ก่อนลงนามเอ็มโอยู 4 ฉบับ เพิ่มความร่วมมือด้านต่างประเทศ โอนตัวนักโทษ การศึกษา และข้าว แต่ไร้กรอบปริมาณและเวลาซื้อขาย ยังดีได้เอกชนกู้หน้าเซ็นซื้อขายข้าว 3 แสนตัน มูลค่า 7 พันล้าน อ้อนขอครอบครัวแพนด้าอยู่ต่อ จีนมอบกรมป่าไม้พิจารณา ปชป.อัดเอ็มโอยูแค่ปุยนุ่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (21 พ.ย.) นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ ได้ปฏิบัติภารกิจในโอกาสที่ได้เดินทางมาเยือนไทย โดยได้ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย นำตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม 3 เหล่าทัพ ที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนหารือข้อราชการ โดยเฉพาะการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน และสานต่อความร่วมมือระหว่างกันในทุกมิติภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน

ส่วนช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจีน จะเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี จากนั้น เวลา 17.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ โรงพยาบาลศิริราช ก่อนจะเดินทางกลับด้วยเที่ยวบินพิเศษกลับสู่กรุงปักกิ่งของจีนในเวลา 18.10 น. วันเดียวกัน

***ช่วงเช้าเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมด้วยนายหยาง เจี๋ย ฉือ รมว.ต่างประเทศจีน ได้เดินทางมายังศูนย์วัฒนธรรมจีน ถนนเทียมร่วมมิตร จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาถึง โดยมีนายไช่ อู่ รมว.วัฒนธรรมจีน นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย พร้อมด้วยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ นายสนธยา คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ให้การต้อนรับ รวมถึงมีบรรดาแขกคนสำคัญของฝ่ายไทยและจีนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง เช่น นายพินิจ จารุสมบัติ นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ได้มีนักศึกษาชาวจีนที่เดินทางมาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของไทย ประมาณ 200 คน มายืนเรียงแถวพร้อมกับโบกธงชาติไทยและจีน ต้อนรับผู้นำของ 2 ประเทศ และเมื่อผู้นำจีนมาถึง นักศึกษาชาวจีนพากันตะโกนทักทายผู้นำจีนอย่างดีใจ และพยายามเอื้อมขอสัมผัสมือของผู้นำอีกด้วย

จากนั้นนายกรัฐมนตรีของจีนและไทย ได้ร่วมทำพิธีเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีนอย่างเป็นทางการ ที่บริเวณชั้น 2 ของศูนย์ดังกล่าว

โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนมีความแน่นแฟ้นมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ มีรากฐานสำคัญมาจากประชาชนทั้ง 2 ประเทศติดต่อไปมาหาสู่กัน รวมทั้งมีชาวจีนจำนวนนับล้านคนเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย นำภาษาและวัฒนธรรมอันดีงามของจีนเข้ามาผสมจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับสังคมไทย ยิ่งในระยะ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไทยกับชาวจีนยิ่งขยายตัวมากขึ้น มีเยาวชนไทยจำนวนมากสนใจที่จะเรียนภาษาจีนจนกลายเป็นภาษาที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 2 รองจากภาษาอังกฤษ และจำนวนนักเรียนไทยที่เดินทางไปศึกษาในประเทศจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คนไทยที่เดินทางไปท่องเที่ยวและค้าขายในจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน

"การเปิดศูนย์วัฒนธรรมจีนจะเป็นแหล่งเรียนรู้ รวมถึงเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างคนไทยและคนจีน อีกทั้งจะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยน การไปมาหาสู่ และความร่วมมือระหว่างกันที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ขณะที่ไทยมีแผนที่จะเปิดศูนย์วัฒนธรรมไทยในจีนเช่นกัน ซึ่งตนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถเปิดศูนย์วัฒนธรรมไทยในจีนได้ในปี 2556"

***หารือเต็มคณะไทย-จีน

จากนั้น เวลา 10.30 น. เป็นการหารือข้อราชการแบบเต็มคณะ ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ฝ่ายไทย ประกอบด้วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสนธยา คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน

สำหรับผู้เข้าร่วมฝ่ายจีน ประกอบไปด้วย นายเวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน นายหยาง เจี๋อฉือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายจาง ผิง รัฐมนตรีประจำคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ นายเซี่ย ซวี่เหริน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเฉิน เต๋อหมิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเซี่ย ฝูจาน รัฐมนตรีประจำสำนักวิจัยยุทธศาสตร์ สำนักงานคณะรัฐมนตรี นายโหยว ฉวน รองเลขาธิการประจำสำนักงานคณะรัฐมนตรี นางฟู่ หยิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนางเจ้า ซ่าวหัว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น

***ลงนามMOU4ฉบับมีข้าวด้วย

ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมเป็นสักขีพยานและลงนามความตกลง 4 ฉบับ ได้แก่ 1.บันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ 2.การแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา 3.ความตกลงความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการสาธารณรัฐประชาชนจีน และ 4.บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการซื้อขายข้าวระหว่างสองประเทศ

ทั้งนี้ การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการซื้อขายข้าวระหว่างสองประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันการขยายตัวในการค้าข้าวระหว่างกัน โดยมีการลงนาม 2 ส่วน ได้แก่ การลงนามของภาครัฐระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของทั้งสองประเทศ และการลงนามของภาคเอกชน ซึ่งได้มีการลงนามไปเมื่อวันที่ 20 พ.ย.2555 ที่ผ่านมา ทางภาคเอกชนจีนได้ตกลงจะนำเข้าข้าวจากไทยรวมปริมาณ 2.6 แสนตัน รวมมูลค่ากว่า 6,240 ล้านบาท เพื่อรองรับเทศกาลปีใหม่และเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึง พร้อมทั้งยังแสดงความต้องการที่จะนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า

***"ปู"ชวนจีนลงทุนโครงการขนาดใหญ่

เวลา 11.50 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายเวิน เจีย เป่า ได้แถลงข่าวร่วมกัน โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสต้อนรับนายเวิน เจีย เป่า ในการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นมิตรสำคัญของประเทศไทย และได้ช่วยเหลือสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาในภูมิภาคนี้อย่างเข้มแข็งตลอดมา นายเวิน เจีย เป่า ถือเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ และตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เป็นกำลังสำคัญในการนำประเทศจีนสู่ความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก รวมทั้งนำความผาสุกมาให้ประชาชนชาวจีน และยังเป็นที่รักอย่างมากของประชาชนชาวจีน สำหรับการมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการจึงถือว่าเป็นการเยือนก่อนนายเวิน เจีย เป่า จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ถือเป็นการให้เกียรติประเทศไทย และรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า อยากเชิญชวนในชาวจีนลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในการที่จะเพิ่มการลงทุนร้อยละ 15 ต่อไป ตนได้แจ้งให้นายเวิน เจีย เป่า ทราบถึงการลงทุนที่ประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น สาขายางธรรมชาติและแปรรูป พลาสติกชีวภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ การกระจายสินค้า พลังงานทดแทน เป็นต้น รวมทั้งได้เชิญชวนชาวจีนได้เข้ามาร่วมในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงภูมิภาค เช่น โครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย รถไฟฟ้าความเร็วสูง ระบบป้องกันน้ำท่วมในประเทศไทย ซึ่งนายเวิน เจีย เป่า ได้แจ้งให้ทราบว่าฝ่ายจีนมีความสนใจในโครงการเหล่านี้อยู่แล้ว ซึ่งจะมีการหารือในรายละเอียดต่อไป และตนได้ให้ทางจีนช่วยดูแลนักลงทุนไทยในจีนด้วย

ขณะที่นายเวิน เจีย เป่า กล่าวว่า จากนี้ไป 5 ปี ทั้ง 2 ประเทศจะเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจร่วมกันทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ ระบบขนส่งมวลชน ชลประทาน สินค้าเกษตร และความร่วมมือในลุ่มน้ำโขง และจีนจะช่วยสนับสนุนยกระดับภาษาจีนในประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าต่อไปด้วย

***ยันไม่มีปัญหาแม้ไม่ระบุปริมาณ-เวลา

นพ.ทศพร เสรีรักษ์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลงนามเอ็มโอยูในเรื่องข้าวว่า ในเอ็มโอยูดังกล่าวไม่ได้ระบุปริมาณและระยะเวลาการซื้อขาย เนื่องจากทางการจีนร้องขอไว้ไม่ให้ระบุ แต่การหารือระหว่างฝ่ายไทยและจีนในเบื้องต้น ได้พูดถึงเรื่องปริมาณและกรอบเวลาการซื้อขายข้าวไว้แล้ว

ด้านนายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะโฆษกข้าวประจำกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในเรื่องเดียวกันนี้ที่กระทรวงพาณิชย์ว่า สาเหตุที่ไม่ระบุปริมาณและระยะเวลาส่งมอบ ก็เพื่อความสบายใจของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะการระบุปริมาณ อาจเป็นการมัดคอคนทำงาน เนื่องจากจีนอาจซื้อข้าวจากไทยต่ำกว่าปริมาณที่ระบุไว้ หรืออาจทำให้ประเทศผู้ส่งออกอื่นกล่าวหาได้ว่า ทำไมไม่ซื้อจากเขาบ้าง และไม่ต้องกังวลว่า เมื่อไม่กำหนดปริมาณแล้ว จีนจะไม่นำเข้า เพราะเอ็มโอยู เป็นการลงนามโดยรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศเป็นพยาน ก็เหมือนเป็นสัญญาสุภาพบุรุษ ที่จีนจะต้องซื้อข้าวจากไทยอยู่แล้ว อีกทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนานแล้ว

ทั้งนี้ นอกจากการลงนามเอ็มโอยูซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐแล้ว ยังมีการลงนามสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างภาคเอกชนของไทย 4ราย และรัฐวิสาหกิจและเอกชนของจีน 6 ราย จำนวน 8 สัญญา โดยเป็นสัญญานำเข้าข้าวจากไทย 3 ชนิด รวม 300,000 ตัน ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเหนียว ราคาเฉลี่ยข้าวทั้ง 3 ชนิดตันละ 800 เหรียญสหรัฐ มูลค่ารวม240 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,200 ล้านบาท

**ขอครอบครัวแพนด้าอยู่เมืองไทยต่อ

น.พ.ทศพรกล่าวอีกว่า นอกจากความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจของ 2 ประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แลกเปลี่ยนโครงการวิจัยแพนด้า โดยปรารถนาที่จะให้ครอบครัวแพนด้าได้อยู่ในประเทศไทยต่อไป ซึ่งผู้นำจีนตอบรับด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับบอกว่า จะมอบหมายให้กรมป่าไม้ของจีนรับเรื่องไปพิจารณา

"นายเวิน เจีย เป่า ได้บอกกับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า นี่เป็นการเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกและคงเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งนายกฯ ของไทยตอบกลับไปว่าไม่อยากให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ประเทศไทยพร้อมต้อนรับนายเวิน เจีย เป่า ทุกโอกาส“นพ.ทศพรกล่าว

ด้านนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ระหว่างหารือ นายเวิน เจีย เป่า กล่าวชื่นชมการทำงานของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตลอดหนึ่งปีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ เป็นหนึ่งปีที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก เจริญมั่นคง ขึ้นมาก

***“องอาจ”เทียบเอ็มโอยูไทย-จีนแค่ปุยนุ่น

ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลไทยได้ลงนามในเอ็มโอยูกับจีนในเรื่องข้าวว่า มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 พ.ย. ได้อนุมัติการลงนามเอ็มโอยู โดยกำหนดการซื้อขายข้าวปีละไม่เกิน 5ล้านตัน ในปี 3 ปี คือ ปี 2556-2558 แต่ปรากฏว่ามติครม.เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการแก้ไขเอ็มโอยูดังกล่าว โดยมีการตัดตัวเลขปริมาณและกรอบระยะเวลาออกไป จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า การเซ็นเอ็มโอยูดังกล่าว เป็นเพียงเรื่องที่รัฐบาลต้องการบอกกับสังคมว่าไทยสามารถระบายข้าวได้ เพื่อหวังผลการเมืองมากกว่าผลการค้า เป็นเอ็มโอยูที่เบาเหมือนปุยนุ่น ไม่มีสัญญาการซื้อขายข้าวแต่อย่างใด และพฤติกรรมของรัฐบาลในการระบายข้าว ผิดพลาดล้มเหลว และไม่เป็นจริง ขณะนี้รัฐบาลกำลังเล่นปาหี่หลอกลวงคนไทย ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ

“อยากเรียกร้องว่า อย่าเอาความเชื่อมั่นทางการค้าระหว่างประเทศ มาเล่นปาหี่ไปวันๆ นอกจากจะไม่เกิดผลดีต่อการขายข้าว ยังทำลายความเชื่อมั่นในธุรกิจภาคเอกชน และทำให้บรรยากาศของข้อตกลงต่างๆ เกิดข้อสงสัยตามมา วันนี้รัฐบาลควรจะพูดความจริงกับประชาชนทำงานอย่างตรงไปตรงมา จะเกิดประโยชน์มากกว่า เชื่อว่าการที่รัฐบาลจีนเซ็นเอ็มโอยูครั้งนี้ เพราะต้องการรักษาหน้ารัฐบาลไทยมากกว่า”นายองอาจกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น