การที่โอบามามาประเทศไทยครั้งนี้ เป้าหมายหลักของอเมริกันอยู่ที่ผลประโยชน์สำคัญทางการค้าและการเมืองในพม่ากับเขมร เพื่อแข่งขันและเบนความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองออกจากจีนซึ่งสหรัฐฯ จะปฏิเสธว่าอันหลังนี้ไม่จริง
การพบปะกับผู้นำอาเซียนนั้นเป็นข้ออ้าง และอเมริกันได้เตรียมล่วงหน้าที่จะมาประชุมอยู่แล้วไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี ส่วนไทยนั้นเป็นเสมือนทางผ่าน
ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการมาเยือนของประธานาธิบดีอาจจะเป็นรัฐบาลของยิ่งลักษณ์โดยตรง และทักษิณทางอ้อม อย่างน้อยก็จะมีการเน้นถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความเติบโตของประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นการปรามพวกที่เคลื่อนไหวจะล้มระบอบทักษิณ
หากโอบามากลายเป็นนกแก้ว เช่นเดียวกับ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งรับบทขอร้องของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว จากที่ประชุมในฮาวายมาพูดต่อ
ฮิลลารี ไม่มีความรู้และความสนใจพอกับเรื่องของเมืองไทย นางจึงได้แต่พึ่งผู้ช่วยอย่าง Kurt Campbell, Joseph Yun และเครือข่ายแวดล้อม อันประกอบด้วยกระบอกเสียงประจำของทักษิณคือ Council on Foreign Relations, Maurice Greenberg, Joshua Kurlantzick, และ Ed Rogers คนหลังนี้เป็นตัวประสานสำคัญของล็อบบี้ มี Joshua เป็นนักเขียนรับจ้างผลิตบทความโจมตีในหลวงและสรรเสริญทักษิณเผยแพร่ไปทั่วโลก บางทีเดือนละ 2 ครั้ง
ในสายตาของอเมริกัน โดยวาจาของลูกนี่ลูกน้อง คือ Kurt Campbell และ Joseph Yun ไทยมิใช่สมาชิกที่รับผิดชอบหรือมีความหมายอะไรนักหนาในอาเซียนเหมือนเดิมอีกแล้ว และอเมริกันก็น่าจะไปวางจุดหนักไว้ ณ ที่อื่นเช่น อินโดนีเซีย เป็นต้น
ควรจะถามกันต่อไปว่า แล้วโอบามาคิดอย่างไรเรื่องเมืองไทย
โดยส่วนตัวแล้ว โอบามามีแนวคิดคล้ายแต่ก้าวไปไกลกว่าอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ ไม่เหมือนกับนโยบายต่างประเทศหลักของอเมริกัน โดยเฉพาะเรื่องการเป็นตำรวจโลกและสนับสนุนรัฐบาลใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย แต่ขอให้รับใช้ผลประโยชน์อเมริกันก็แล้วกัน
โอบามามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับบิดาในแอฟริกา และเติบโตมาระยะหนึ่งกับบิดาเลี้ยงในอินโดนีเซีย ที่เขาประกาศการเข้าถึงเอเชียแบบใหม่อย่างจริงใจนั้น น่าจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นความบันดาลใจในอดีต ที่อาจจะเป็นความจริงใจในปัจจุบันของท่านประธานาธิบดีก็ได้
แต่ถึงโอบามาจะมีความจริงใจหรืออำนาจมากแค่ไหน แต่เขาจะก้าวข้ามอิทธิพลและข้อมูลที่ลูกน้องอย่างฮิลลารี Kurt Campbell & Joseph Yun ประเคนมาให้ได้อย่างไร
อนึ่ง ถึงแม้โอบามาจะมาจากพื้นฐานอันต่ำต้อย แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นผู้นำโลกอย่างน่ามหัศจรรย์ได้ ก็เพราะเขา “สอบผ่าน” สถาบันต่างๆ และเครือข่ายสัมพันธ์ระดับสุดยอดของสังคมอเมริกันมาทั้งสิ้น อิทธิพลและปมเขื่องจากบุคคลและสถาบันต่างๆ เหล่านี้จะปล่อยให้โอบามา “เล่น” ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ฟังเสียงใครเลยฉะนั้นหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสียงของพรรครีพับลิกันที่เป็นเสียงข้างมากในสภาล่างที่โอบามาจะต้องต่อรองด้วยอย่างหนักก่อนสิ้นปีนี้ และตลอดสี่ปีต่อไป
ผลประโยชน์ของนายทุน ไม่ว่าจะเป็นทุนน้ำมัน-พลังงาน ทุนกลุ่มผลิตยา และกลุ่มทุน “เงิน” และแม้แต่กลุ่มล็อบบี้ของทักษิณ ก็คงจะต้องผูกมัดตามติดมิให้โอบามาเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศไทยมากกว่าผลประโยชน์ของพวกเขาแน่ๆ แล้วโอบามาจะฟังใคร มีคำกล่าวว่าไม่ว่าประธานาธิบดีจะเป็นใครหรือมาจากพรรคไหน ก็ไม่มีความแตกต่างกันอย่างใดเลย ในที่สุดก็จะเป็นเหมือนเครื่องจักรรักษาประโยชน์ของอเมริกันด้วยกันทั้งสิ้น
น่าจะสันนิษฐานได้ต่อไปว่าโอบามาได้รับเลือกตั้งครั้งที่ 2 เรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องง้อหาเสียงกับใครกลุ่มไหนอีกต่อไป สามารถจะเป็นตัวของตัวเอง และสาน “ความหวัง” และ “การเปลี่ยนแปลง” ที่เขาโฆษณาไว้ได้อย่างเต็มที่ ในกรณีเช่นนี้ ไทยควรจะวางตัวอย่างไร จึงจะทำให้โอบามาเคารพและได้ผลประโยชน์หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกอเมริกาทำร้ายอย่างทุกวันนี้
แท้ที่จริง กระทรวงต่างประเทศอเมริกันไม่ให้ความนับถือและเห็นยิ่งลักษณ์เป็นตัวตลกอยู่แล้ว และอเมริกันรู้ดีว่าทักษิณอยู่เบื้องหลังรัฐบาล หากอเมริกันคาดหมายว่าทักษิณจะชนะในที่สุด อเมริกันก็จะเล่นไพ่ทักษิณต่อไปเรื่อยๆ เพราะอเมริกันไม่ชอบเข้าข้างคนแพ้
สิ่งที่โอบามาไม่ควรทำในการมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้คือ การพูดหรือแสดงออกว่าอเมริกันสนับสนุนเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีเสียงข้างมาก จึงเป็นประชาธิปไตย อเมริกันเองไม่มีทางเข้าใจว่าการเลือกตั้งไทยเป็นอย่างไร ถึงแม้อเมริกันบางคนที่เป็นลูกน้องนางฮิลลารี คลินตัน จะมารับจ้างวางแผนเลือกตั้งให้พรรคเพื่อไทยก็ตาม
สิ่งที่โอบามาควรเล่าให้คนไทยฟังก็คือ หนึ่ง ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งและประกาศผลออกมาแล้ว มีบางรัฐที่ลงคะแนนจนชนะประชามติให้ปลูกและเสพมาลีฮวนน่าได้โดยชอบกฎหมาย ทั้งๆ ที่ยังมีกฎหมายของรัฐบาลกลางหรือสหรัฐฯ ค้ำคออยู่ ไม่รู้จะลากกันไปทางไหน ไม่รู้จะแก้ปัญหากันได้อย่างไร
และ สอง ขณะนี้มีรัฐกว่า 5 รัฐแล้วที่ประชาชนรวบรวมรายชื่อได้เกิน 25,000 เสียงครบตามกำหนดของกฎหมายที่จะเคลื่อนไหวแยกตัวออก เป็นประเทศอิสระไม่ขึ้นกับอเมริกาอีกต่อไป นั่นก็เป็นคะแนนเสียงที่มาจากประชาชนทั้งในวันเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งด้วย ถูกถ้วนตามขบวนการประชาธิปไตยแบบอเมริกันทุกประการ ประธานาธิบดีโอบามาจะทำอย่างไรดี หรือจะทำเหมือนอย่างประเทศไทยคือให้ตำรวจไปจับมาติดคุกฐานกบฏอย่างที่ขู่เสธ.อ้ายอยู่ขณะนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงกว่าการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลนอกกฎหมายยิ่งลักษณ์-ทักษิณของเสธ.อ้ายยิ่งนัก
สิ่งที่โอบามาควรจะได้รับจากการเข้าเฝ้าฯ ก็คือ ได้เห็นพระปัญญาบารมีของในหลวงซึ่งครองราชย์มาก่อนโอบามาเกิด และอยู่ในประเทศเอกราชที่เกิดก่อนอเมริกาหลายร้อยปี บางทีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและปรัชญาการปกครองของพระองค์อาจจะช่วยกู้เศรษฐกิจของอเมริกันให้ขึ้นมาจากเหวได้ด้วยซ้ำ หากประเทศไทยจะแสดงความเก่าแก่เป็นตัวของตัวเองที่เป็นมิตรกับอเมริกันมาแต่อ้อนแต่ออก และไม่เคยแทรกแซงกันในทางที่ผิด
โอบามาควรจะได้รับทราบด้วยว่าคนไทยส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ยังยึดมั่นและจงรักภักดีต่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากโอบามาไม่ถูกปิดหูปิดตาโดยสื่อและเครือข่ายสอพลอของรัฐบาลเหมือนในประเทศไทย โอบามาน่าจะมีโอกาสได้ฟังและได้ยินจากการประท้วงอย่างแข็งขันแล้วว่าอเมริกันไทย และไทยในอเมริกาเขาสาปส่งและไม่เคยเชื่อน้ำมนต์ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เลย เขายังเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวของเขาอยู่
ข้อสำคัญ โอบามาจะได้เห็นด้วยตัวของเขาเองว่าถึงแม้จะทรงประชวร แต่พระองค์ก็มิใช่หมดสภาพทำอะไรไม่ได้ เป็นตัวแปรที่ไร้ความหมายในอนาคตการเมืองไทยไปอย่างถาวรแล้วตามรายงานเท็จของทูตอเมริกันบางคน
โอบามาสมควรจะได้ทราบว่า พระองค์ยังทรงเป็นความหวังของคนส่วนใหญ่ในชาติ
ปราโมทย์ นาครทรรพ
การพบปะกับผู้นำอาเซียนนั้นเป็นข้ออ้าง และอเมริกันได้เตรียมล่วงหน้าที่จะมาประชุมอยู่แล้วไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี ส่วนไทยนั้นเป็นเสมือนทางผ่าน
ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการมาเยือนของประธานาธิบดีอาจจะเป็นรัฐบาลของยิ่งลักษณ์โดยตรง และทักษิณทางอ้อม อย่างน้อยก็จะมีการเน้นถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความเติบโตของประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นการปรามพวกที่เคลื่อนไหวจะล้มระบอบทักษิณ
หากโอบามากลายเป็นนกแก้ว เช่นเดียวกับ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งรับบทขอร้องของนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว จากที่ประชุมในฮาวายมาพูดต่อ
ฮิลลารี ไม่มีความรู้และความสนใจพอกับเรื่องของเมืองไทย นางจึงได้แต่พึ่งผู้ช่วยอย่าง Kurt Campbell, Joseph Yun และเครือข่ายแวดล้อม อันประกอบด้วยกระบอกเสียงประจำของทักษิณคือ Council on Foreign Relations, Maurice Greenberg, Joshua Kurlantzick, และ Ed Rogers คนหลังนี้เป็นตัวประสานสำคัญของล็อบบี้ มี Joshua เป็นนักเขียนรับจ้างผลิตบทความโจมตีในหลวงและสรรเสริญทักษิณเผยแพร่ไปทั่วโลก บางทีเดือนละ 2 ครั้ง
ในสายตาของอเมริกัน โดยวาจาของลูกนี่ลูกน้อง คือ Kurt Campbell และ Joseph Yun ไทยมิใช่สมาชิกที่รับผิดชอบหรือมีความหมายอะไรนักหนาในอาเซียนเหมือนเดิมอีกแล้ว และอเมริกันก็น่าจะไปวางจุดหนักไว้ ณ ที่อื่นเช่น อินโดนีเซีย เป็นต้น
ควรจะถามกันต่อไปว่า แล้วโอบามาคิดอย่างไรเรื่องเมืองไทย
โดยส่วนตัวแล้ว โอบามามีแนวคิดคล้ายแต่ก้าวไปไกลกว่าอดีตประธานาธิบดีคาร์เตอร์ ไม่เหมือนกับนโยบายต่างประเทศหลักของอเมริกัน โดยเฉพาะเรื่องการเป็นตำรวจโลกและสนับสนุนรัฐบาลใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย แต่ขอให้รับใช้ผลประโยชน์อเมริกันก็แล้วกัน
โอบามามีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับบิดาในแอฟริกา และเติบโตมาระยะหนึ่งกับบิดาเลี้ยงในอินโดนีเซีย ที่เขาประกาศการเข้าถึงเอเชียแบบใหม่อย่างจริงใจนั้น น่าจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นความบันดาลใจในอดีต ที่อาจจะเป็นความจริงใจในปัจจุบันของท่านประธานาธิบดีก็ได้
แต่ถึงโอบามาจะมีความจริงใจหรืออำนาจมากแค่ไหน แต่เขาจะก้าวข้ามอิทธิพลและข้อมูลที่ลูกน้องอย่างฮิลลารี Kurt Campbell & Joseph Yun ประเคนมาให้ได้อย่างไร
อนึ่ง ถึงแม้โอบามาจะมาจากพื้นฐานอันต่ำต้อย แต่การที่เขาก้าวขึ้นมาสู่ความเป็นผู้นำโลกอย่างน่ามหัศจรรย์ได้ ก็เพราะเขา “สอบผ่าน” สถาบันต่างๆ และเครือข่ายสัมพันธ์ระดับสุดยอดของสังคมอเมริกันมาทั้งสิ้น อิทธิพลและปมเขื่องจากบุคคลและสถาบันต่างๆ เหล่านี้จะปล่อยให้โอบามา “เล่น” ได้อย่างเต็มที่โดยไม่ฟังเสียงใครเลยฉะนั้นหรือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสียงของพรรครีพับลิกันที่เป็นเสียงข้างมากในสภาล่างที่โอบามาจะต้องต่อรองด้วยอย่างหนักก่อนสิ้นปีนี้ และตลอดสี่ปีต่อไป
ผลประโยชน์ของนายทุน ไม่ว่าจะเป็นทุนน้ำมัน-พลังงาน ทุนกลุ่มผลิตยา และกลุ่มทุน “เงิน” และแม้แต่กลุ่มล็อบบี้ของทักษิณ ก็คงจะต้องผูกมัดตามติดมิให้โอบามาเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศไทยมากกว่าผลประโยชน์ของพวกเขาแน่ๆ แล้วโอบามาจะฟังใคร มีคำกล่าวว่าไม่ว่าประธานาธิบดีจะเป็นใครหรือมาจากพรรคไหน ก็ไม่มีความแตกต่างกันอย่างใดเลย ในที่สุดก็จะเป็นเหมือนเครื่องจักรรักษาประโยชน์ของอเมริกันด้วยกันทั้งสิ้น
น่าจะสันนิษฐานได้ต่อไปว่าโอบามาได้รับเลือกตั้งครั้งที่ 2 เรียบร้อยแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องง้อหาเสียงกับใครกลุ่มไหนอีกต่อไป สามารถจะเป็นตัวของตัวเอง และสาน “ความหวัง” และ “การเปลี่ยนแปลง” ที่เขาโฆษณาไว้ได้อย่างเต็มที่ ในกรณีเช่นนี้ ไทยควรจะวางตัวอย่างไร จึงจะทำให้โอบามาเคารพและได้ผลประโยชน์หรืออย่างน้อยก็ไม่ถูกอเมริกาทำร้ายอย่างทุกวันนี้
แท้ที่จริง กระทรวงต่างประเทศอเมริกันไม่ให้ความนับถือและเห็นยิ่งลักษณ์เป็นตัวตลกอยู่แล้ว และอเมริกันรู้ดีว่าทักษิณอยู่เบื้องหลังรัฐบาล หากอเมริกันคาดหมายว่าทักษิณจะชนะในที่สุด อเมริกันก็จะเล่นไพ่ทักษิณต่อไปเรื่อยๆ เพราะอเมริกันไม่ชอบเข้าข้างคนแพ้
สิ่งที่โอบามาไม่ควรทำในการมาเยือนประเทศไทยครั้งนี้คือ การพูดหรือแสดงออกว่าอเมริกันสนับสนุนเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีเสียงข้างมาก จึงเป็นประชาธิปไตย อเมริกันเองไม่มีทางเข้าใจว่าการเลือกตั้งไทยเป็นอย่างไร ถึงแม้อเมริกันบางคนที่เป็นลูกน้องนางฮิลลารี คลินตัน จะมารับจ้างวางแผนเลือกตั้งให้พรรคเพื่อไทยก็ตาม
สิ่งที่โอบามาควรเล่าให้คนไทยฟังก็คือ หนึ่ง ถึงแม้จะมีการเลือกตั้งและประกาศผลออกมาแล้ว มีบางรัฐที่ลงคะแนนจนชนะประชามติให้ปลูกและเสพมาลีฮวนน่าได้โดยชอบกฎหมาย ทั้งๆ ที่ยังมีกฎหมายของรัฐบาลกลางหรือสหรัฐฯ ค้ำคออยู่ ไม่รู้จะลากกันไปทางไหน ไม่รู้จะแก้ปัญหากันได้อย่างไร
และ สอง ขณะนี้มีรัฐกว่า 5 รัฐแล้วที่ประชาชนรวบรวมรายชื่อได้เกิน 25,000 เสียงครบตามกำหนดของกฎหมายที่จะเคลื่อนไหวแยกตัวออก เป็นประเทศอิสระไม่ขึ้นกับอเมริกาอีกต่อไป นั่นก็เป็นคะแนนเสียงที่มาจากประชาชนทั้งในวันเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งด้วย ถูกถ้วนตามขบวนการประชาธิปไตยแบบอเมริกันทุกประการ ประธานาธิบดีโอบามาจะทำอย่างไรดี หรือจะทำเหมือนอย่างประเทศไทยคือให้ตำรวจไปจับมาติดคุกฐานกบฏอย่างที่ขู่เสธ.อ้ายอยู่ขณะนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงกว่าการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลนอกกฎหมายยิ่งลักษณ์-ทักษิณของเสธ.อ้ายยิ่งนัก
สิ่งที่โอบามาควรจะได้รับจากการเข้าเฝ้าฯ ก็คือ ได้เห็นพระปัญญาบารมีของในหลวงซึ่งครองราชย์มาก่อนโอบามาเกิด และอยู่ในประเทศเอกราชที่เกิดก่อนอเมริกาหลายร้อยปี บางทีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและปรัชญาการปกครองของพระองค์อาจจะช่วยกู้เศรษฐกิจของอเมริกันให้ขึ้นมาจากเหวได้ด้วยซ้ำ หากประเทศไทยจะแสดงความเก่าแก่เป็นตัวของตัวเองที่เป็นมิตรกับอเมริกันมาแต่อ้อนแต่ออก และไม่เคยแทรกแซงกันในทางที่ผิด
โอบามาควรจะได้รับทราบด้วยว่าคนไทยส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ยังยึดมั่นและจงรักภักดีต่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากโอบามาไม่ถูกปิดหูปิดตาโดยสื่อและเครือข่ายสอพลอของรัฐบาลเหมือนในประเทศไทย โอบามาน่าจะมีโอกาสได้ฟังและได้ยินจากการประท้วงอย่างแข็งขันแล้วว่าอเมริกันไทย และไทยในอเมริกาเขาสาปส่งและไม่เคยเชื่อน้ำมนต์ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์เลย เขายังเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวของเขาอยู่
ข้อสำคัญ โอบามาจะได้เห็นด้วยตัวของเขาเองว่าถึงแม้จะทรงประชวร แต่พระองค์ก็มิใช่หมดสภาพทำอะไรไม่ได้ เป็นตัวแปรที่ไร้ความหมายในอนาคตการเมืองไทยไปอย่างถาวรแล้วตามรายงานเท็จของทูตอเมริกันบางคน
โอบามาสมควรจะได้ทราบว่า พระองค์ยังทรงเป็นความหวังของคนส่วนใหญ่ในชาติ
ปราโมทย์ นาครทรรพ