ASTVผู้จัดการรายวัน - พีทีที โกลบอลฯจ่อลงทุนตั้งโรงงานต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน และอินโดนีเซีย ล่าสุดจับมือเทรดเดอร์ใหญ่"ไซโนเคมฯ"จากจีน เพื่อร่วมมือกัน คาดว่าได้ข้อสรุปปลายปีนี้ ส่วนอินโดนีเซียได้ข้อสรุปต้นปี 56 ตั้งเป้า 10ปีข้างหน้ามีรายได้แตะ 7-8 แสนล้านบาท
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพด้านการตลาดและใกล้วัตถุดิบ โดยเฉพาะ จีน และ อินโดเซีย ซึ่งบริษัทฯได้ร่วมกับSinochem International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทเทรดเดอร์รายใหญ่ของจีน เพื่อร่วมกันศึกษาหาโอกาสความร่วมมือกันคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
ในเบื้องต้นอาจจะเป็นความร่วมมือดัานการตลาดก่อนขยายไปสู่การลงทุนตั้งโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์เกรดพิเศษในจีน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนคิดเป็น 50%ของการส่งออก ผ่านเทรดเดอร์ทำให้ไม่สามารถความต้องการของตลาดจีนที่แน่ชัด ดังนั้นการจับมือกับไซโนเคมฯจะเป็นโอกาสดีที่จะรู้ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสนองความต้องการ
นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย เนื่องจากมีตลาดใหญ่ มีความต้องการผลิตปิโตรเคมีมาก ขณะนี้ทางกลุ่มปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนใดบ้าง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในต้นปี 2556 ส่วนสหรัฐฯนั้นมีความน่าสนใจ หลังจากค้นพบเชลแก๊ส ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่บริษัทฯต้องเข้าไปดูโอกาสการลทุน
นายอนนต์ กล่าวถึงเป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้า (2556-2566)ว่า บริษัทฯจะรายได้ 7-8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี หลังจากได้มีการลงทุนต่อยอดสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งการขยายกำลังการผลิตคอขวด (Debottleneck) การรุกสู่ไบโอพลาสติก ส่งผลให้บริษัทมีฐานที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯน่าจะทำรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท โดยค่าการกลั่น(GRM)เฉลี่ยอยู่ที่ 4 เหรียญ/บาร์เรลใกล้เคียงปีก่อน
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)(PTTGC) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะขยายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศที่มีศักยภาพด้านการตลาดและใกล้วัตถุดิบ โดยเฉพาะ จีน และ อินโดเซีย ซึ่งบริษัทฯได้ร่วมกับSinochem International Corporation ซึ่งเป็นบริษัทเทรดเดอร์รายใหญ่ของจีน เพื่อร่วมกันศึกษาหาโอกาสความร่วมมือกันคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปลายปีนี้
ในเบื้องต้นอาจจะเป็นความร่วมมือดัานการตลาดก่อนขยายไปสู่การลงทุนตั้งโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์เกรดพิเศษในจีน เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯส่งออกเม็ดพลาสติกไปจีนคิดเป็น 50%ของการส่งออก ผ่านเทรดเดอร์ทำให้ไม่สามารถความต้องการของตลาดจีนที่แน่ชัด ดังนั้นการจับมือกับไซโนเคมฯจะเป็นโอกาสดีที่จะรู้ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงและนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสนองความต้องการ
นอกจากนี้ บริษัทฯยังสนใจที่จะเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย เนื่องจากมีตลาดใหญ่ มีความต้องการผลิตปิโตรเคมีมาก ขณะนี้ทางกลุ่มปตท.อยู่ระหว่างการศึกษาโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนใดบ้าง คาดว่าจะได้ข้อสรุปในต้นปี 2556 ส่วนสหรัฐฯนั้นมีความน่าสนใจ หลังจากค้นพบเชลแก๊ส ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโดยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการใช้แนฟธาเป็นวัตถุดิบก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่บริษัทฯต้องเข้าไปดูโอกาสการลทุน
นายอนนต์ กล่าวถึงเป้าหมายใน 10 ปีข้างหน้า (2556-2566)ว่า บริษัทฯจะรายได้ 7-8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี หลังจากได้มีการลงทุนต่อยอดสร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งการขยายกำลังการผลิตคอขวด (Debottleneck) การรุกสู่ไบโอพลาสติก ส่งผลให้บริษัทมีฐานที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯน่าจะทำรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท โดยค่าการกลั่น(GRM)เฉลี่ยอยู่ที่ 4 เหรียญ/บาร์เรลใกล้เคียงปีก่อน
