ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ชาติเผยกลุ่มจีอียังไม่ได้หารือเรื่องการขายหุ้นธนาคารกรุงศรีฯ คาดต้องใช้เวลา เพราะมูลค่าซื้อขายค่อนข้างสูง ปัดกฎเกณฑ์ที่ใช้กำกับดูแลไม่ใช่อุปสรรคในการควบรวม ฟุ้งระบบแบงก์ปัจจุบันพื้นฐานแข็งแกร่ง มองอนาคตการแข่งขันสูงขึ้น ยิ่งส่งผลให้ NIM ลดลงเรื่อยๆ จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.5% ถือระดับกลางภูมิภาคนี้ จับตาเลือกตั้งสหรัฐระบุหากผลออกพลิกจะมีผลด้านนโยบายและตลาดการเงินโลก
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางกลุ่มจีอี แคปปิตอล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัดยังไม่ได้เข้ามาหารือหรือแจ้งให้ธปท.รับทราบ หลังมีกระแสข่าวว่าจะขายหุ้นที่ถือสัดส่วน 32.92% หรือ 2,000 หุ้น ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) อย่างไรก็ตาม มองว่ามูลค่าการซื้อขายหุ้นค่อนข้างสูง
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วและเชื่อว่ากฎเกณฑ์ที่ธปท.ใช้ดูแลสถาบันการเงินก็ไม่ใช่อุปสรรคในการควบรวม
ในปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีพื้นฐานแข็งแกร่งและยังไม่เห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าจะเกิดปัญหา ซึ่งรวมถึงปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) และขณะนี้การแข่งขันของระบบสถาบันการเงินอยู่ในระดับดี อัตราดอกเบี้ยในระบบก็ไม่ได้เลวร้ายนัก รวมถึงอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย(NIM)อยู่ที่ 2.56% ถือว่าอยู่ระดับกลางๆ
เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคนี้ ขณะที่สิงคโปร์ต่ำสุด ต่ำกว่า 2% และอินโดนีเซียสูงสุดที่ 5%ในปีก่อน อย่างไรก็ตามมองว่าแนวโน้มการแข่งขันจะมีมากขึ้น ยิ่งส่งผลให้โอกาส NIM ลดลงได้อีกและธนาคารควรมีการพัฒนาการลงทุนในช่วงนี้
**ห่วงหากเลือกตั้งสหรัฐพลิกกระทบ***
ด้านนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ธปท.กำลังจับตาการเลือกตั้งสหรัฐอย่างใกล้ชิด ซึ่งเหมือนกับทุกๆ ประเทศ เพราะคะแนนเสียงใกล้เคียงกันมากของประธานาธิบดีบารัก โอบามา จากพรรคเดโมแครต และนายมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงจากพรรคพับลิกัน โดยหากผลการเลือกตั้งออกมาผิดคาดก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ
เพราะจะมีผลต่อด้านนโยบายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหมายถึงจะมีผลต่อตลาดการเงินโลกเช่นกัน
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางฮ่องกง(HKMA) ได้เข้าไปแทรกแซงตลาดปริวรรณเงินตรามาแล้ว 11 ครั้ง หลังถูกโจมตีค่าเงิน ซึ่งอาจมีผลต่อประเทศไทยด้วยหรือไม่นั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ความไม่สมดุลของประเทศหนึ่งไม่ใช่จะส่งผลให้ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวและระบบอัตราแลกเปลี่ยนของฮ่องกงกับไทยก็แตกต่างกันด้วย
จึงไม่มีอะไรที่ต้องน่ากังวลเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ธปท.คาดว่า แม้จีนกับฮ่องกงแยกการบริหารจัดการ แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมองว่าในเชิงนโยบายทั้งทางการจีนและฮ่องกงน่าจะมีการหารือกัน.
นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ทางกลุ่มจีอี แคปปิตอล โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัดยังไม่ได้เข้ามาหารือหรือแจ้งให้ธปท.รับทราบ หลังมีกระแสข่าวว่าจะขายหุ้นที่ถือสัดส่วน 32.92% หรือ 2,000 หุ้น ในธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) อย่างไรก็ตาม มองว่ามูลค่าการซื้อขายหุ้นค่อนข้างสูง
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วและเชื่อว่ากฎเกณฑ์ที่ธปท.ใช้ดูแลสถาบันการเงินก็ไม่ใช่อุปสรรคในการควบรวม
ในปัจจุบันระบบธนาคารพาณิชย์ไทยมีพื้นฐานแข็งแกร่งและยังไม่เห็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าจะเกิดปัญหา ซึ่งรวมถึงปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) และขณะนี้การแข่งขันของระบบสถาบันการเงินอยู่ในระดับดี อัตราดอกเบี้ยในระบบก็ไม่ได้เลวร้ายนัก รวมถึงอัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย(NIM)อยู่ที่ 2.56% ถือว่าอยู่ระดับกลางๆ
เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคนี้ ขณะที่สิงคโปร์ต่ำสุด ต่ำกว่า 2% และอินโดนีเซียสูงสุดที่ 5%ในปีก่อน อย่างไรก็ตามมองว่าแนวโน้มการแข่งขันจะมีมากขึ้น ยิ่งส่งผลให้โอกาส NIM ลดลงได้อีกและธนาคารควรมีการพัฒนาการลงทุนในช่วงนี้
**ห่วงหากเลือกตั้งสหรัฐพลิกกระทบ***
ด้านนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ธปท.กำลังจับตาการเลือกตั้งสหรัฐอย่างใกล้ชิด ซึ่งเหมือนกับทุกๆ ประเทศ เพราะคะแนนเสียงใกล้เคียงกันมากของประธานาธิบดีบารัก โอบามา จากพรรคเดโมแครต และนายมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงจากพรรคพับลิกัน โดยหากผลการเลือกตั้งออกมาผิดคาดก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ
เพราะจะมีผลต่อด้านนโยบายเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหมายถึงจะมีผลต่อตลาดการเงินโลกเช่นกัน
ส่วนกรณีที่ธนาคารกลางฮ่องกง(HKMA) ได้เข้าไปแทรกแซงตลาดปริวรรณเงินตรามาแล้ว 11 ครั้ง หลังถูกโจมตีค่าเงิน ซึ่งอาจมีผลต่อประเทศไทยด้วยหรือไม่นั้น นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ความไม่สมดุลของประเทศหนึ่งไม่ใช่จะส่งผลให้ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวและระบบอัตราแลกเปลี่ยนของฮ่องกงกับไทยก็แตกต่างกันด้วย
จึงไม่มีอะไรที่ต้องน่ากังวลเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม ธปท.คาดว่า แม้จีนกับฮ่องกงแยกการบริหารจัดการ แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมองว่าในเชิงนโยบายทั้งทางการจีนและฮ่องกงน่าจะมีการหารือกัน.