ต้องขอปรบมือให้กับ “เสธ.อ้าย – พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์” และเครือข่ายองค์กรพิทักษ์สยาม ที่ร่วมกันปรากฎการณ์ภายใต้ชื่อ “รวมพลัง คนทนไม่ไหว หยุดวิกฤติและหายนะชาติ” ที่สนามม้านางเลิ้ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ชนิดที่เรียกว่าเหนือความคาดหมาย ทั้งฝ่ายเชียร์ฝ่ายแช่งถึงกับ “เข็มขัดสั้น” คาดไม่ถึงกับจำนวนผู้ชุมนุมที่แห่แหนมากันจนล้นอัฒจันทร์ที่ปกติจะรองรับคนราวสองหมื่นคน
หน้าแหกที่สุดคงเป็น “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่ปรามาสมาตลอดสัปดาห์ว่า “ม็อบพี่อ้าย” คงมีคนมาแค่หยิบมือ เต็มที่ไม่เกิน 2,000 คน ไม่น่าเชื่อว่าตัวเลขจากปาก “รองฯเหลิม” พลาดเป้าไปถึง 10 เท่า จนต้องเรียกฝ่ายการข่าวมาโล้งเล้งเม้งแตกไปยกใหญ่ แถมออกอาการ “ตระหนกตกใจ” สั่งหน่วยปราบจลาจลขนกำลังหลายกองร้อยมาตั้งแถวล้อมทำเนียบ เหมือนกลัวโดน “พี่อ้าย” เล่นทีเผลอตลบหลัง ยกพวกมาบุกเจาะไข่แดงยึดทำเนียบ
ส่วนตัว “เป็ดเหลิม” เองก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางตีรถกลับจากโคราชตรงเข้าทำเนียบ แทนที่จะได้เข้าบ้านจิบไวน์วันหยุดเหมือนเคย ก่อนเรียกลูกน้องยกโขยงเข้ามาเปิดวอร์รูมขนาดหย่อมๆเฝ้าดูสถานการณ์การชุมนุมจนถึงช่วงค่ำม็อบเลิกลา จึงยกขบวนกลับบ้านบางบอนแบบโล่งอก
หันไปดูบรรยากาศที่ชุมนุมตลอดวัน ก็ใช้โมเดลคล้ายๆกับการชุมนุมของกลุ่มอื่นๆมีวิทยากรทั้งอดีตรัฐมนตรี นายทหาร นักวิชาการ และนักธุรกิจสลับเปลี่ยนหน้ากันขึ้นปราศรัยให้ข้อมูลแก่ผู้สนับสนุน อาทิ “ประสงค์ สุ่นศิริ - สุรพงษ์ ชัยนาม - ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ - พิเชษฐ พัฒนโชติ - แซมดิน เลิศบุตร - บวร ยสินทร - ต่อตระกูล ยมนาค - สมเกียรติ หอมลออ - นิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน - เสรี วงษ์มณฑา” ที่อาศัยชื่อชั้นเรียกแขกได้พอสมควร แต่อาจจะมีอารมณ์สะดุดไปบางช่วง เพราะปล่อยให้ “แม่ยกแมลงสาบ” ขึ้นไปโหวกเหวกโวยวายหยาบคายอยู่นานสองนาน
ก็ต้องถือว่าโดยรวมทำได้ดี แน่นอนว่าเรื่อง “ปริมาณ” ของผู้สนับสนุนต้องถือว่าประสบความสำเร็จ จะไปตีขลุมเหมารวมว่าเป็น “ม็อบจัดตั้ง” เกณฑ์กันมาคงไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายของ “เสธ.อ้าย” ยังไม่ตกผลึกดีนัก แค่ประกาศโครมว่าขอไล่รัฐบาล แต่ยังอุบหรือยังไม่เปิดเผยวิธีการ ยากจะคะเนว่างานนี้จะจบแบบไหนและเมื่อไร ตามเกมส์ที่ยังคลุมเครือแบบนี้คงไม่มี “นายทุน” ที่ไหนมาหน้ามืดลงทุนจ้างคนมาชุมนุม ทั้งที่ยังไม่เห็นโอกาสถอนทุน
**ดังนั้นที่ฝ่ายรัฐบาลและเสื้อแดงกล่าวหาว่า “ม็อบรับจ้าง” ก็ลืมไปได้เลย
ในความเป็นจริงน่าจะมาจากความเหลืออดของประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกกับ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ชุดนี้ ไล่ตั้งแต่ความไม่เอาไหนของฝ่ายบริหารที่ตลอด 1 ปี 2 เดือนนำพาประเทศสาละวันเตี้ยลงๆ โดยเฉพาะตัว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่นับวันจะเปลือยตัวเองให้เห็นถึงความเขลาเบาปัญญาไม่คู่ควรกับตำแหน่ง “ผู้นำประเทศ” แถมยังปล่อยให้ “คนเสื้อแดง” เหิมเกริมสร้างพฤติกรรมอันธพาลครองประเทศ และเป็นภัยต่อความมั่นคง หนักข้อไปถึงข้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และศาลสถิตย์ยุติธรรม
ข้อหาเหล่านี้ต่างหากที่สะกิดให้คนออกมาแสดงพลังที่สนามนางเลิ้ง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า มวลชนที่ไปวันนั้นคงไม่ใช่เฉพาะแฟนคลับของ “เสธ.อ้าย” โดยตรง แรงสนับสนุนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มี แม้แกนนำยังไม่ประกาศร่วมลงไล่รัฐบาลในรอบนี้ก็ตาม หรือทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็คงมีเข้าร่วมสนับสนุนไม่น้อย
โดยรวมก็คงมาจาก “พันธมิตรฯ – กองทัพธรรม - เสื้อหลากสี - 13 สยามไท – แฟนคลับ ปชป.” และบางส่วนที่มาร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดเห็นพ้องกับ 3 ข้อห่วงใยที่ “เสธ.อ้าย” ประกาศไว้ก่อนการชุมนุม ไล่ตั้งแต่ 1.รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และยังส่อไปในทางให้ท้ายส่งเสริม 2.รัฐบาลทำตัวป็นหุ่นเชิด ที่บงการโดย “นักโทษหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” และบริหารประเทศล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพและขาดคุณธรรม และ 3.มีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
เรื่องนี้ “พล.อ.บุญเลิศ” ย้ำเสมอว่า การชุมนุมวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมาเป็นเพียงการจุดไฟ และบันไดขั้นแรก หากจุดติดหรือมีผู้สนับสนุนมากพอ ก็จะประกาศชุมนุมใหญ่เป็นบันไดขั้นที่สองของการ “ล้มรัฐบาล” แบบม้วนเดียวจบ
**หากคะเนตามสายตาก็ต้องถือว่า “เสธ.อ้าย” จุดไฟติดแล้ว
แม้ประเด็นที่ดึงขึ้นมาถล่มจะยังไม่ถึงหับหวือหวาไล่ทุบรัฐบาลเพื่อไทยให้จนแต้มได้ก็ตาม จากนี้ขึ้นอยู่กับก้าวต่อไปว่าจะเดินอย่างไรต่อ เพราะต้องยอมรับว่า การเคลื่อนไหวขององค์กรพิทักษ์สยามยังไม่ชัดเจนในจุดประสงค์และวิธีการ
การหยิบยกประเด็น “ขบวนจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง” มาเป็นปัจจัยเคลื่อนไหวนั้น แง่หนึ่งย่อมใช้ดึงแนวร่วมที่ทนไม่ไหวออกมาหนุนได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนสูง และเป็นการดึงสถาบันมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยไม่จำเป็น อาจเปิดช่องให้ “แก๊งล้มเจ้า” ที่จ้องจะเปลี่ยนแปลงการปกครองอาศัยพูดโฉบไปเฉี่ยวมาได้อย่างถนัดปากอีกต่างหาก
จุดนี้คือสิ่งที่ “เสธ.อ้าย” ต้องเร่ง “ปิดจุดอ่อน” เพราะไม่เพียงแต่ประกาศปาวๆว่าจะ เทิดทูนปกป้องสถาบันเท่านั้น จำเป็นต้องประกาศมาตรการรูปธรรมด้วยว่าปกป้องสถาบัน หรือกำจัดขบวนการพวกนี้อย่างไร เพราะนอกจากคนในรัฐบาลแล้ว
มองต่อถึงการชุมนุมครั้งต่อไปที่จะเกิดค่อนข้างแน่ในอีกไม่ถึงเดือนหน้าตามคำประกาศบนเวที จำนวนมวลชนจะเพิ่มขึ้นหรือลดน้อยถอยลงก็อยู่กับจังหวะก้าวของ “เสธ.อ้าย” หลังจากนี้เช่นกัน การจะหวังให้ผู้ชุมนุมสองหมื่นคนในวันนั้นกลับไปชวนพรรคพวกมาอีกคนละ 100 คน ต้องยอมรับว่า แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และอย่าลืมว่าเมื่อครั้งที่ “พันธมิตรฯ” ถึงจุดพีคก็ยังไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “ปฏิวัติประชาชน” ได้อย่างที่ตั้งใจ
ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ได้ต้องการบั่นทอนกำลัง แต่อยากสะกิดเตือน “เสธ.อ้าย” ให้ไตร่ตรองบนหลักความเป็นจริง เพราะอย่างน้อยการขยับของ “เสธ.อ้าย” ในวันนี้ก็เป็นการจุดประกายให้เกิดการแสดงพลังของมหาชน และเป็นสัญญาณเตือนว่า ใกล้หมดเวลาของ “รัฐบาลหุ่นเชิด” แล้ว
หวังว่า 1 เดือนหลังจากนี้ “เสธ.อ้ายแอนด์โค” จะมีทีเด็ดเซอร์ไพรส์งัดขึ้นมาทิ่มรัฐบาลให้หงายเก๋งได้ และไม่อยากให้จบแค่ “วางบิล” แบบ “แกนนำม็อบไพร่” ที่วันนี้ได้ดิบได้ดีอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า โดยทิ้งมวลชนแนวร่วมอยู่ข้างหลัง
**ก็เชื่อว่าคนระดับ “นายพลเอกแห่งกองทัพไทย” คงไม่เลือกหากินแบบนั้นแน่
ชนิดที่เรียกว่าเหนือความคาดหมาย ทั้งฝ่ายเชียร์ฝ่ายแช่งถึงกับ “เข็มขัดสั้น” คาดไม่ถึงกับจำนวนผู้ชุมนุมที่แห่แหนมากันจนล้นอัฒจันทร์ที่ปกติจะรองรับคนราวสองหมื่นคน
หน้าแหกที่สุดคงเป็น “เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่ปรามาสมาตลอดสัปดาห์ว่า “ม็อบพี่อ้าย” คงมีคนมาแค่หยิบมือ เต็มที่ไม่เกิน 2,000 คน ไม่น่าเชื่อว่าตัวเลขจากปาก “รองฯเหลิม” พลาดเป้าไปถึง 10 เท่า จนต้องเรียกฝ่ายการข่าวมาโล้งเล้งเม้งแตกไปยกใหญ่ แถมออกอาการ “ตระหนกตกใจ” สั่งหน่วยปราบจลาจลขนกำลังหลายกองร้อยมาตั้งแถวล้อมทำเนียบ เหมือนกลัวโดน “พี่อ้าย” เล่นทีเผลอตลบหลัง ยกพวกมาบุกเจาะไข่แดงยึดทำเนียบ
ส่วนตัว “เป็ดเหลิม” เองก็ต้องเปลี่ยนเส้นทางตีรถกลับจากโคราชตรงเข้าทำเนียบ แทนที่จะได้เข้าบ้านจิบไวน์วันหยุดเหมือนเคย ก่อนเรียกลูกน้องยกโขยงเข้ามาเปิดวอร์รูมขนาดหย่อมๆเฝ้าดูสถานการณ์การชุมนุมจนถึงช่วงค่ำม็อบเลิกลา จึงยกขบวนกลับบ้านบางบอนแบบโล่งอก
หันไปดูบรรยากาศที่ชุมนุมตลอดวัน ก็ใช้โมเดลคล้ายๆกับการชุมนุมของกลุ่มอื่นๆมีวิทยากรทั้งอดีตรัฐมนตรี นายทหาร นักวิชาการ และนักธุรกิจสลับเปลี่ยนหน้ากันขึ้นปราศรัยให้ข้อมูลแก่ผู้สนับสนุน อาทิ “ประสงค์ สุ่นศิริ - สุรพงษ์ ชัยนาม - ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ - พิเชษฐ พัฒนโชติ - แซมดิน เลิศบุตร - บวร ยสินทร - ต่อตระกูล ยมนาค - สมเกียรติ หอมลออ - นิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน - เสรี วงษ์มณฑา” ที่อาศัยชื่อชั้นเรียกแขกได้พอสมควร แต่อาจจะมีอารมณ์สะดุดไปบางช่วง เพราะปล่อยให้ “แม่ยกแมลงสาบ” ขึ้นไปโหวกเหวกโวยวายหยาบคายอยู่นานสองนาน
ก็ต้องถือว่าโดยรวมทำได้ดี แน่นอนว่าเรื่อง “ปริมาณ” ของผู้สนับสนุนต้องถือว่าประสบความสำเร็จ จะไปตีขลุมเหมารวมว่าเป็น “ม็อบจัดตั้ง” เกณฑ์กันมาคงไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าเป้าหมายของ “เสธ.อ้าย” ยังไม่ตกผลึกดีนัก แค่ประกาศโครมว่าขอไล่รัฐบาล แต่ยังอุบหรือยังไม่เปิดเผยวิธีการ ยากจะคะเนว่างานนี้จะจบแบบไหนและเมื่อไร ตามเกมส์ที่ยังคลุมเครือแบบนี้คงไม่มี “นายทุน” ที่ไหนมาหน้ามืดลงทุนจ้างคนมาชุมนุม ทั้งที่ยังไม่เห็นโอกาสถอนทุน
**ดังนั้นที่ฝ่ายรัฐบาลและเสื้อแดงกล่าวหาว่า “ม็อบรับจ้าง” ก็ลืมไปได้เลย
ในความเป็นจริงน่าจะมาจากความเหลืออดของประชาชนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกกับ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ชุดนี้ ไล่ตั้งแต่ความไม่เอาไหนของฝ่ายบริหารที่ตลอด 1 ปี 2 เดือนนำพาประเทศสาละวันเตี้ยลงๆ โดยเฉพาะตัว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่นับวันจะเปลือยตัวเองให้เห็นถึงความเขลาเบาปัญญาไม่คู่ควรกับตำแหน่ง “ผู้นำประเทศ” แถมยังปล่อยให้ “คนเสื้อแดง” เหิมเกริมสร้างพฤติกรรมอันธพาลครองประเทศ และเป็นภัยต่อความมั่นคง หนักข้อไปถึงข้อหาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และศาลสถิตย์ยุติธรรม
ข้อหาเหล่านี้ต่างหากที่สะกิดให้คนออกมาแสดงพลังที่สนามนางเลิ้ง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า มวลชนที่ไปวันนั้นคงไม่ใช่เฉพาะแฟนคลับของ “เสธ.อ้าย” โดยตรง แรงสนับสนุนจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็มี แม้แกนนำยังไม่ประกาศร่วมลงไล่รัฐบาลในรอบนี้ก็ตาม หรือทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็คงมีเข้าร่วมสนับสนุนไม่น้อย
โดยรวมก็คงมาจาก “พันธมิตรฯ – กองทัพธรรม - เสื้อหลากสี - 13 สยามไท – แฟนคลับ ปชป.” และบางส่วนที่มาร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งเชื่อว่าทั้งหมดเห็นพ้องกับ 3 ข้อห่วงใยที่ “เสธ.อ้าย” ประกาศไว้ก่อนการชุมนุม ไล่ตั้งแต่ 1.รัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และยังส่อไปในทางให้ท้ายส่งเสริม 2.รัฐบาลทำตัวป็นหุ่นเชิด ที่บงการโดย “นักโทษหนีคดีทักษิณ ชินวัตร” และบริหารประเทศล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพและขาดคุณธรรม และ 3.มีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
เรื่องนี้ “พล.อ.บุญเลิศ” ย้ำเสมอว่า การชุมนุมวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมาเป็นเพียงการจุดไฟ และบันไดขั้นแรก หากจุดติดหรือมีผู้สนับสนุนมากพอ ก็จะประกาศชุมนุมใหญ่เป็นบันไดขั้นที่สองของการ “ล้มรัฐบาล” แบบม้วนเดียวจบ
**หากคะเนตามสายตาก็ต้องถือว่า “เสธ.อ้าย” จุดไฟติดแล้ว
แม้ประเด็นที่ดึงขึ้นมาถล่มจะยังไม่ถึงหับหวือหวาไล่ทุบรัฐบาลเพื่อไทยให้จนแต้มได้ก็ตาม จากนี้ขึ้นอยู่กับก้าวต่อไปว่าจะเดินอย่างไรต่อ เพราะต้องยอมรับว่า การเคลื่อนไหวขององค์กรพิทักษ์สยามยังไม่ชัดเจนในจุดประสงค์และวิธีการ
การหยิบยกประเด็น “ขบวนจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง” มาเป็นปัจจัยเคลื่อนไหวนั้น แง่หนึ่งย่อมใช้ดึงแนวร่วมที่ทนไม่ไหวออกมาหนุนได้ แต่อีกมุมหนึ่งก็ต้องยอมรับเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนสูง และเป็นการดึงสถาบันมายุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยไม่จำเป็น อาจเปิดช่องให้ “แก๊งล้มเจ้า” ที่จ้องจะเปลี่ยนแปลงการปกครองอาศัยพูดโฉบไปเฉี่ยวมาได้อย่างถนัดปากอีกต่างหาก
จุดนี้คือสิ่งที่ “เสธ.อ้าย” ต้องเร่ง “ปิดจุดอ่อน” เพราะไม่เพียงแต่ประกาศปาวๆว่าจะ เทิดทูนปกป้องสถาบันเท่านั้น จำเป็นต้องประกาศมาตรการรูปธรรมด้วยว่าปกป้องสถาบัน หรือกำจัดขบวนการพวกนี้อย่างไร เพราะนอกจากคนในรัฐบาลแล้ว
มองต่อถึงการชุมนุมครั้งต่อไปที่จะเกิดค่อนข้างแน่ในอีกไม่ถึงเดือนหน้าตามคำประกาศบนเวที จำนวนมวลชนจะเพิ่มขึ้นหรือลดน้อยถอยลงก็อยู่กับจังหวะก้าวของ “เสธ.อ้าย” หลังจากนี้เช่นกัน การจะหวังให้ผู้ชุมนุมสองหมื่นคนในวันนั้นกลับไปชวนพรรคพวกมาอีกคนละ 100 คน ต้องยอมรับว่า แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และอย่าลืมว่าเมื่อครั้งที่ “พันธมิตรฯ” ถึงจุดพีคก็ยังไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนไปสู่ภาวะที่เรียกว่า “ปฏิวัติประชาชน” ได้อย่างที่ตั้งใจ
ที่ว่ามาทั้งหมดไม่ได้ต้องการบั่นทอนกำลัง แต่อยากสะกิดเตือน “เสธ.อ้าย” ให้ไตร่ตรองบนหลักความเป็นจริง เพราะอย่างน้อยการขยับของ “เสธ.อ้าย” ในวันนี้ก็เป็นการจุดประกายให้เกิดการแสดงพลังของมหาชน และเป็นสัญญาณเตือนว่า ใกล้หมดเวลาของ “รัฐบาลหุ่นเชิด” แล้ว
หวังว่า 1 เดือนหลังจากนี้ “เสธ.อ้ายแอนด์โค” จะมีทีเด็ดเซอร์ไพรส์งัดขึ้นมาทิ่มรัฐบาลให้หงายเก๋งได้ และไม่อยากให้จบแค่ “วางบิล” แบบ “แกนนำม็อบไพร่” ที่วันนี้ได้ดิบได้ดีอิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า โดยทิ้งมวลชนแนวร่วมอยู่ข้างหลัง
**ก็เชื่อว่าคนระดับ “นายพลเอกแห่งกองทัพไทย” คงไม่เลือกหากินแบบนั้นแน่