ด้วยผู้เข้าร่วมชุมนุมล้นหลามหลายหมื่นคนที่สนามม้านางเลิ้ง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ตุลาคมที่ผ่านมา พิสูจน์ชัดว่า ประชาชน “ทนไม่ไหว” ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย มีจำนวนมากมายมหาศาล “พลังเงียบ” มีแนวโน้มตื่นตัวมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หากกลุ่มการเมืองภาคประชาชนกลุ่มอื่นๆ รวมตัวกัน แสดงความกล้า และนำเสนอประเด็นที่ถูกต้อง อย่างที่กลุ่มองค์การพิทักษ์สยามได้แสดงออกมาแล้ว ก็เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างมากมายจากมวลชนทุกระดับชั้นของสังคมไทย
ผู้เขียนได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศการชุมนุมตั้งแต่ตอนเช้า ทักทายกับเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือชาวพันธมิตรฯ และมีโอกาสแลกเปลี่ยนทัศนะกับแกนนำกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามบางคน รวมทั้งผู้บริหารสื่อโทรทัศน์ของกลุ่มการเมืองภาคประชาชนบางช่อง ซึมซับบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย รู้สึกมีกำลังใจและมองเห็นชัยชนะของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่จะต้องปรากฏเป็นจริงภายในระยะเวลาไม่นานนัก !
หลังจากนั้น เมื่อผู้เขียนทำการประมวลภาพการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เข้ากับภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็สามารถได้คำตอบเบื้องต้นดังต่อไปนี้
ข้อแรก องค์การพิทักษ์สยามประสบความสำเร็จในการจัดชุมนุมครั้งนี้ ก็เพราะ “กล้า” และ “ถูกต้อง” คือกล้าประกาศตัวเองเป็นกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่จะนำประชาชนโค่นล้มรัฐบาลชุดนี้ และนำเสนอเป้าหมายทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า มุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย ไม่เอาแล้วพวกนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม่เอาแล้วเรื่องการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล “อัปรีย์ไป จัญไรมา”
ด้วยความกล้าที่จะนำการเปลี่ยนแปลง และเสนอเป้าหมายทางการเมืองที่ถูกต้อง ทำให้ชาวพันธมิตรฯจำนวนมากยินดีเข้าร่วมชุมนุม ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯได้ออกแถลงการณ์ “ให้กำลังใจ” แก่องค์การพิทักษ์สยาม จงประสบความสำเร็จในการจัดชุมครั้งนี้
ข้อที่สอง การที่แกนนำพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เข้าร่วมการชุมนุม ถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แม้ในการแจกแจงเป็นส่วนตัวบางประเด็นอาจจะเข้มแข็งดุดันไปบ้าง ก็ไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของชาวพันธมิตรฯที่จะเข้าร่วมการชุมนุม เพราะชาวพันธมิตรฯมีระดับปัญญาตื่นรู้ที่สูง แยกแยะเรื่องหลักเรื่องรองได้ดี แสดงออกถึงความเป็นแก่นแกนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ เมื่อใดมีการจัดชุมชุมทางการเมือง ไม่ว่ากลุ่มหรือองค์กรใดเป็น “เจ้าภาพ” ขอแต่ให้มีเป้าหมายทางการเมืองถูกต้อง ตรงกับที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดมั่น ชาวพันธมิตรฯก็พร้อมที่จะ “เฮละโล”เข้าไปร่วมชุมนุม ปลุกให้ “พลังเงียบ” ตื่นตัว ขยายฐาน “มวลชนตื่นรู้” ให้กว้างขวางใหญ่โตยิ่งขึ้น
ข้อที่สาม การตัดสินใจไม่เข้าร่วมการชุมนุมของแกนนำพันธมิตรฯครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นความมีปรีชาญาณและวิสัยทัศน์ของแกนนำฯ และสะท้อนถึงศักยภาพและพลานุภาพทางด้านการนำของแกนนำฯ ที่สามารถโยกมวลชนพันธมิตรฯไปสู่การขับเคลื่อนกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนกลุ่มอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
นั่นหมายถึงว่า ขอแต่ให้มีกลุ่มผู้กล้า ชูธงการเมืองที่ถูกต้อง ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อใด แกนนำพันธมิตรฯก็พร้อมที่จะโยกมวลชนพันธมิตรฯเข้าร่วม แสดงบทบาทเป็น “มวลชนแกน” ในการชุมนุมทุกครั้งไป
นั่นหมายถึงว่า มวลชนพันธมิตรฯจะทำหน้าที่เป็นแกนหลัก ช่วยกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนกลุ่มอื่นๆ ให้สามารถตั้งตัวได้เพียงแค่การจัดชุมนุมครั้งแรก ดังเช่นที่องค์การพิทักษ์สยามได้ประสบมาแล้ว
ข้อที่สี่ ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนอื่นๆ จึงเป็นไปแบบ “มิตรสหายร่วมรบ” มีเป้าหมายตรงกัน และจุดหมายปลายทางร่วมกัน แต่ก็สามารถพัฒนาบุคลิกภาพเฉพาะของตนขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องถูกพันธมิตรฯ “กลืน”
นั่นหมายถึงว่า ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ จะพัฒนาเติบใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยความหลากหลาย ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานของความเป็นประชาธิปไตยในขบวนการการเมืองภาคประชาชนต่อไป
นั่นหมายถึงว่า ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่จะไม่มีความขัดแย้งกันในทางการเมือง มียุทธศาสตร์ยุทธวิธีแตกต่างกัน แต่จะไม่ขัดแย้งกันทางอุดมการณ์ มีการแข่งขันกัน แต่จะไม่มีการบั่นทอนทำลายซึ่งกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ ความสำเร็จและชัยชนะของการจัดชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ตุลาคมที่ผ่านมานี้ จึงเป็นชัยชนะโดยรวมของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
สถานการณ์ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนับวันดียิ่ง !
ผู้เขียนได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศการชุมนุมตั้งแต่ตอนเช้า ทักทายกับเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือชาวพันธมิตรฯ และมีโอกาสแลกเปลี่ยนทัศนะกับแกนนำกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามบางคน รวมทั้งผู้บริหารสื่อโทรทัศน์ของกลุ่มการเมืองภาคประชาชนบางช่อง ซึมซับบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย รู้สึกมีกำลังใจและมองเห็นชัยชนะของขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่จะต้องปรากฏเป็นจริงภายในระยะเวลาไม่นานนัก !
หลังจากนั้น เมื่อผู้เขียนทำการประมวลภาพการเคลื่อนไหวครั้งนี้ เข้ากับภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็สามารถได้คำตอบเบื้องต้นดังต่อไปนี้
ข้อแรก องค์การพิทักษ์สยามประสบความสำเร็จในการจัดชุมนุมครั้งนี้ ก็เพราะ “กล้า” และ “ถูกต้อง” คือกล้าประกาศตัวเองเป็นกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่จะนำประชาชนโค่นล้มรัฐบาลชุดนี้ และนำเสนอเป้าหมายทางการเมืองอย่างชัดเจนว่า มุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ปฏิรูปประเทศไทย ไม่เอาแล้วพวกนักการเมืองและพรรคการเมือง ไม่เอาแล้วเรื่องการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล “อัปรีย์ไป จัญไรมา”
ด้วยความกล้าที่จะนำการเปลี่ยนแปลง และเสนอเป้าหมายทางการเมืองที่ถูกต้อง ทำให้ชาวพันธมิตรฯจำนวนมากยินดีเข้าร่วมชุมนุม ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯได้ออกแถลงการณ์ “ให้กำลังใจ” แก่องค์การพิทักษ์สยาม จงประสบความสำเร็จในการจัดชุมครั้งนี้
ข้อที่สอง การที่แกนนำพันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เข้าร่วมการชุมนุม ถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง แม้ในการแจกแจงเป็นส่วนตัวบางประเด็นอาจจะเข้มแข็งดุดันไปบ้าง ก็ไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจของชาวพันธมิตรฯที่จะเข้าร่วมการชุมนุม เพราะชาวพันธมิตรฯมีระดับปัญญาตื่นรู้ที่สูง แยกแยะเรื่องหลักเรื่องรองได้ดี แสดงออกถึงความเป็นแก่นแกนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม นั่นคือ เมื่อใดมีการจัดชุมชุมทางการเมือง ไม่ว่ากลุ่มหรือองค์กรใดเป็น “เจ้าภาพ” ขอแต่ให้มีเป้าหมายทางการเมืองถูกต้อง ตรงกับที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดมั่น ชาวพันธมิตรฯก็พร้อมที่จะ “เฮละโล”เข้าไปร่วมชุมนุม ปลุกให้ “พลังเงียบ” ตื่นตัว ขยายฐาน “มวลชนตื่นรู้” ให้กว้างขวางใหญ่โตยิ่งขึ้น
ข้อที่สาม การตัดสินใจไม่เข้าร่วมการชุมนุมของแกนนำพันธมิตรฯครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นความมีปรีชาญาณและวิสัยทัศน์ของแกนนำฯ และสะท้อนถึงศักยภาพและพลานุภาพทางด้านการนำของแกนนำฯ ที่สามารถโยกมวลชนพันธมิตรฯไปสู่การขับเคลื่อนกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนกลุ่มอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
นั่นหมายถึงว่า ขอแต่ให้มีกลุ่มผู้กล้า ชูธงการเมืองที่ถูกต้อง ดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อใด แกนนำพันธมิตรฯก็พร้อมที่จะโยกมวลชนพันธมิตรฯเข้าร่วม แสดงบทบาทเป็น “มวลชนแกน” ในการชุมนุมทุกครั้งไป
นั่นหมายถึงว่า มวลชนพันธมิตรฯจะทำหน้าที่เป็นแกนหลัก ช่วยกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนกลุ่มอื่นๆ ให้สามารถตั้งตัวได้เพียงแค่การจัดชุมนุมครั้งแรก ดังเช่นที่องค์การพิทักษ์สยามได้ประสบมาแล้ว
ข้อที่สี่ ความสัมพันธ์ระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับกลุ่มองค์กรการเมืองภาคประชาชนอื่นๆ จึงเป็นไปแบบ “มิตรสหายร่วมรบ” มีเป้าหมายตรงกัน และจุดหมายปลายทางร่วมกัน แต่ก็สามารถพัฒนาบุคลิกภาพเฉพาะของตนขึ้นมาได้ โดยไม่ต้องถูกพันธมิตรฯ “กลืน”
นั่นหมายถึงว่า ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ จะพัฒนาเติบใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยความหลากหลาย ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานของความเป็นประชาธิปไตยในขบวนการการเมืองภาคประชาชนต่อไป
นั่นหมายถึงว่า ในขบวนการการเมืองภาคประชาชน มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่จะไม่มีความขัดแย้งกันในทางการเมือง มียุทธศาสตร์ยุทธวิธีแตกต่างกัน แต่จะไม่ขัดแย้งกันทางอุดมการณ์ มีการแข่งขันกัน แต่จะไม่มีการบั่นทอนทำลายซึ่งกันและกัน
ด้วยเหตุนี้ ความสำเร็จและชัยชนะของการจัดชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๘ ตุลาคมที่ผ่านมานี้ จึงเป็นชัยชนะโดยรวมของขบวนการการเมืองภาคประชาชน
สถานการณ์ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนับวันดียิ่ง !