วันนี้หันไปทางไหนเจอแต่เรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community) สุดท้ายก็มาสรุปกันว่า...ไทยเราต้องเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยการเรียนภาษาอังกฤษ (อีกแระ)
มหาวิทยาลัย ร.ร. มัธยม ประถมตื่นตัวกันใหญ่ ทุ่มงบประมาณไปมาก อีกทั้งเวลาที่สูญไปก็หลาย (เอาเงิน เวลา มาทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้ดีไหม)
นิสัยห่วยๆ ประจำชาติประการหนึ่งของคนไทยเราคือ “ตื่นกระแสโดยไม่สงสัย” ที่เห่ออะไรเป็นพักๆ โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี ดังเช่นเห่อผูกไท ใส่เสื้อนอก (ทั้งที่เป็นเมืองร้อน) เห่อ (และยังคงเห่อ) โลกาภิวัตน์ เห่อกินอาหารห้าหมู่ เป็นต้น
ผมเห็นว่าการณ์นี้ถ้ามันจะเสียเกินได้ไปหลายสิบเท่าเป็นแน่ (คนโง่ขี้เห่อมันจะได้เกินเสียนั้น...คงยาก)
ก่อนอื่น ควรตระหนักก่อนว่าประชาคมอาเซียน (เออีซี) นั้น เป็นการรวมตัวกันเพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันที่ได้เปรียบคู่แข่งที่อยู่นอกประชาคมเป็นสำคัญ เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องรองลงไปมากๆ และมีน้ำหนักน้อยมาก (เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรม)
การแลกเปลี่ยนสินค้าดังกล่าวนั้นมันเกี่ยวข้องกับพ่อค้าคนกลางไม่กี่คนที่จะตกลงซื้อขายกัน และเกี่ยวข้องกับพิธีการทางศุลกากรอีกเล็กน้อยเท่านั้นเอง ...ผมยังมองไม่เห็นว่าทำไมคนไทยทั้งชาติต้องมาเสียเงิน และเวลาเพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการค้าขายด้วยวิธีนี้
อีกทั้ง พอสินค้าเหล่านี้ถูกนำเข้ามาสู่การบริโภคของคนไทย คนใบ้ บอด ก็ซื้อหามาได้โดยสะดวก ผ่านผู้ค้าปลีกคนไทยเรากันเองทั้งนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ อินโดฯ พม่า ญวน ตรงไหนเลย
ณ จุดนี้ขอตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า เราไปอ้าแขนแอ่นขารับการเข้ามาของจีนสู่เราโดยอ้างอาเซียนบังหน้าอย่างน่าทึ่ง
เช่น ไปร่วมกันสร้างถนนจากเมืองขุนมิ่ง (น่าเป็นชื่อไทยเดิมของเมือง คุนหมิง เพราะนี่คือเมืองหลวงของยูนนาน) มาถึงเมืองเชียงของของไทยเรา โดยผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (..ชื่อประเทศยาวดีจริง) ระยะทาง ๑,๘๐๐ กม. ทั้งนี้จีนออกเงินครึ่งหนึ่ง ส่วนไทยออกอีกครึ่งหนึ่ง ส่วนลาวให้พื้นที่แต่ไม่มีเงินออก
เรื่องหน้าใหญ่ใจโตเนี่ย...เป็นนิสัยประจำชาติไทยเราอยู่แล้ว ขนาดตัวเล็กประมาณลูกกะเป๋งเขา แต่ดันใจกล้าไปแลกหมัดกะเขาแบบครึ่งต่อครึ่ง ...แถมไอ้ถนนที่สร้างเนี่ย..ถามว่าไทยกับจีนใครมีศักยภาพในการใช้ประโยชน์มากกว่ากัน
ขนาดไม่มีถนนนี้ เรือจีนยังแล่นเลาะเกาะแก่งแม่โขง (ที่เขากักน้ำไว้ที่ต้นน้ำ สร้างความเดือดร้อนมหาศาลให้อีสานไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน) มาส่งของที่เชียงแสน จนสินค้าจีนท่วมประเทศไทยไปแล้ว ...จากของเด็กเล่น กระเป๋าถือ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า มีดพับ ยันผลไม้ (สาลี่ แอปเปิล ท้อ)
พอมีถนนนี้มันลดเวลาเดินทางโดยเรือจากหนึ่งเดือน เหลือเพียง ๓ วัน แบบนี้มันลดโสหุ้ยมาก สินค้าจีนที่ถูกอยู่แล้วจะถูกลงไปอีก มองในแง่โง่ (ที่อาจไม่ร้าย) ก็เออ..มันก็ดีนะ เพราะมันช่วยให้เราซื้อสินค้าได้มากขึ้นด้วยเงินเท่าเดิม แต่ถามว่า มันจะมิยิ่งครองตลาดไทย จนนักอุตสาหกรรมไทยหมดหนทางต่อสู้ดอกหรือ จะมิเจ๊งปิดโรงงานกันหมดหรือ แล้วคนไทยจะมีงานทำไหม ถ้าเอาแต่ซื้อเขา แถมทั้งหมดนี้อุปถัมภ์รายการโดยรัฐบาลไทยอีกต่างหาก (ด้วยเงินภาษีของพวกเรา)
อีกหน่อยกระดาษเช็ดก้นจีนคงบุกตลาดไทยเป็นแน่ โลงศพจีนก็คงจะเข้ามาในที่สุด (แล้วธุรกิจโลงศพไทยจะไปอยู่ไหน) อีกหน่อยดอกไม้จันทน์จีนคงเข้ามาครองตลาด (เพื่อเอาไว้โยนไว้อาลัยหน้าเตาเผาศพประเทศไทย)
ถ้าเราลงทุนครึ่งๆ กับเขา ทำไมเราไม่ตั้งข้อเสนอว่า การแลกเปลี่ยนสินค้ากันนั้นก็ต้องครึ่งๆ ด้วย กล่าวคือ เราซื้อเขา ๑๐๐ เขาก็ต้องซื้อเรา ๑๐๐ ด้วย จึงจะแฟร์
แต่นี่เราซื้อเขาโครมๆ ส่วนเขาซื้อเราเพียงแค่ผลไม้นิดหน่อยเท่านั้นเอง ลำไย มะม่วง ทุเรียน มังคุด
ลาวเขาฉลาด (หรือโง่ก็ไม่รู้) เพราะเขาไม่ยอมให้รถบรรทุกจีนหรือไทยผ่านพรมแดน แต่ให้มาจอดผ่องถ่ายสินค้ากันระหว่างรถไทยรถจีนที่พรมแดน จีนลาว
วิธีการนี้ทำให้ลาวมีงานอันทรงเกียรติทำ (กุลีขนของ) และพนักงานรถได้พักผ่อน (และนอนหลับด้วย) ...แต่ช้าก่อนผมว่า ลาวไม่ใช่คนโง่ปานนั้นหรอก เพราะถ้าอยากได้เงิน ก็แค่เก็บเงินค่าผ่านด่านก็ได้แล้ว ทำไมต้องมาลงทุนอะไรปานนี้..ผมว่างานนี้จีนนั่นแหละ ไปยุลาวให้ทำ
เพราะถ้าให้รถจีนวิ่งผ่านมาส่งของให้ไทยถึงตลาดไทย ตอนตีรถกลับ รถจีนก็ว่างสิ ก็เสียเที่ยวที่วิ่งรถเปล่า เพราะไทยเรามีของขายให้จีนน้อยกว่าจีนขายให้ไทยสิบเท่า รถสิบคันก็ต้องวิ่งรถเปล่ากลับเสีย ๙ คันสิ
จีนเขาฉลาด เขาเลยอาจไปเสี้ยมลาวให้ห้ามรถจีนเข้าไทย (และเพื่อให้เนียนก็ห้ามรถไทยเข้าจีนด้วย) แต่ให้มาผ่องถ่ายสินค้ากันที่พรมแดนจีน-ลาว
จากนั้นเขาก็หาวิธีการทำกำไรแบบไม่ให้เสียเที่ยววิ่งรถสิ เขาก็เลยเข้ามาทำฟาร์มสัญญาจ้าง โดยเช่าพื้นดินลาว จ้างคนลาวแบบถูกๆ เพื่อปลูกพืชไปเลี้ยงคนจีน (เมื่อก่อนคนลาวเป็นเจ้าของที่ดิน วันนี้กลายมาเป็นลูกจ้างในที่ดินตนเอง)
พอได้พืชผลจากฟาร์มสัญญาจ้างนี้ รถขนสินค้ามาส่งไทยที่กระบะยังว่าง เขาก็ขนสินค้าเกษตรจากลาวไปให้คนจีนกินสิ... ก็ได้หลายต่อมาก
ส่วนไทยหน้าใหญ่ที่ลงทุนไปครึ่งๆ กับเขา ก็ต้องวิ่งรถเปล่าไปที่พรมแดนจีน-ลาว เพื่อรับสินค้าจากรถบรรทุกจีนซึ่งมีมากกว่าไทยสิบเท่า
ถือเป็นการเอาเงินภาษีประชาชนไปลงทุนเพื่อให้สินค้าจีนมาบุกทำลายไทยได้อย่างสะดวก ...ช่างใจบุญจริงจิ๊ง คนไทยเราเนี่ย
จะว่ายื่นดาบให้กับโจรก็อาจเกินไป เพราะจีนเขาไม่ใช่โจร แต่ปลาน้อยไปยื่นฉมวกให้มังกร มังกรเขาก็เลยเอาฉมวกมาแทงปลากินซะเลย ไม่ต้องมาเสียเวลาล่าให้ปลาให้ยุ่งยาก
นั่นกล่าวฝ่ายจีนที่ใหญ่และรวยกว่าเรามาก ทีนี้หันไปมองพม่าบ้าง ซึ่งรัฐบาลไทยก็ใจบุญอีกแล้ว ไปช่วยพม่าทุบหม้อข้าวไทยกันเองอีกแล้ว ด้วยการเอาเงินมหาศาลหลายแสนล้านไปช่วยพม่าสร้างท่าเรือทวาย ซึ่งจะเป็นการทำลายการท่าเรือไทยไปโดยปริยาย
ท่าเรือเท่านั้นไม่พอ ยังไปตกลงว่าจะลงทุนสร้างถนนจากไทยไปรองรับถนนจากท่าเรือทวายเพื่อให้สะดวกต่อการขนสินค้าจากทวายมาส่งให้ไทย (และอ้างอาเซียน) ด้วย (อีกตามฟอร์ม) ซึ่งถ้าเราไม่สร้างถนนนี้รองรับ รับรองได้เลยว่าโครงการทวายจะล้ม แต่เรา “ใจบุญ” อยากไปอุ้มอดีตอริราชศัตรูผู้รุกรานเราจนแทบล่มสลายให้เจริญ เลยเอาเงินภาษีประชาชนไปอุ้มโครงการนี้ เพื่อให้มาทำร้ายระบบการท่าเรือไทยเรา
เฮ้อ...ประเทศไทยเรานี้ดีทุกอย่าง ยกเว้นมีนักการเมืองไทยมาบริหารประเทศ
มหาวิทยาลัย ร.ร. มัธยม ประถมตื่นตัวกันใหญ่ ทุ่มงบประมาณไปมาก อีกทั้งเวลาที่สูญไปก็หลาย (เอาเงิน เวลา มาทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้ดีไหม)
นิสัยห่วยๆ ประจำชาติประการหนึ่งของคนไทยเราคือ “ตื่นกระแสโดยไม่สงสัย” ที่เห่ออะไรเป็นพักๆ โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี ดังเช่นเห่อผูกไท ใส่เสื้อนอก (ทั้งที่เป็นเมืองร้อน) เห่อ (และยังคงเห่อ) โลกาภิวัตน์ เห่อกินอาหารห้าหมู่ เป็นต้น
ผมเห็นว่าการณ์นี้ถ้ามันจะเสียเกินได้ไปหลายสิบเท่าเป็นแน่ (คนโง่ขี้เห่อมันจะได้เกินเสียนั้น...คงยาก)
ก่อนอื่น ควรตระหนักก่อนว่าประชาคมอาเซียน (เออีซี) นั้น เป็นการรวมตัวกันเพื่อทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันที่ได้เปรียบคู่แข่งที่อยู่นอกประชาคมเป็นสำคัญ เรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องรองลงไปมากๆ และมีน้ำหนักน้อยมาก (เช่น การท่องเที่ยว การศึกษา วัฒนธรรม)
การแลกเปลี่ยนสินค้าดังกล่าวนั้นมันเกี่ยวข้องกับพ่อค้าคนกลางไม่กี่คนที่จะตกลงซื้อขายกัน และเกี่ยวข้องกับพิธีการทางศุลกากรอีกเล็กน้อยเท่านั้นเอง ...ผมยังมองไม่เห็นว่าทำไมคนไทยทั้งชาติต้องมาเสียเงิน และเวลาเพื่อเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการค้าขายด้วยวิธีนี้
อีกทั้ง พอสินค้าเหล่านี้ถูกนำเข้ามาสู่การบริโภคของคนไทย คนใบ้ บอด ก็ซื้อหามาได้โดยสะดวก ผ่านผู้ค้าปลีกคนไทยเรากันเองทั้งนั้น ไม่เห็นจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ อินโดฯ พม่า ญวน ตรงไหนเลย
ณ จุดนี้ขอตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า เราไปอ้าแขนแอ่นขารับการเข้ามาของจีนสู่เราโดยอ้างอาเซียนบังหน้าอย่างน่าทึ่ง
เช่น ไปร่วมกันสร้างถนนจากเมืองขุนมิ่ง (น่าเป็นชื่อไทยเดิมของเมือง คุนหมิง เพราะนี่คือเมืองหลวงของยูนนาน) มาถึงเมืองเชียงของของไทยเรา โดยผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (..ชื่อประเทศยาวดีจริง) ระยะทาง ๑,๘๐๐ กม. ทั้งนี้จีนออกเงินครึ่งหนึ่ง ส่วนไทยออกอีกครึ่งหนึ่ง ส่วนลาวให้พื้นที่แต่ไม่มีเงินออก
เรื่องหน้าใหญ่ใจโตเนี่ย...เป็นนิสัยประจำชาติไทยเราอยู่แล้ว ขนาดตัวเล็กประมาณลูกกะเป๋งเขา แต่ดันใจกล้าไปแลกหมัดกะเขาแบบครึ่งต่อครึ่ง ...แถมไอ้ถนนที่สร้างเนี่ย..ถามว่าไทยกับจีนใครมีศักยภาพในการใช้ประโยชน์มากกว่ากัน
ขนาดไม่มีถนนนี้ เรือจีนยังแล่นเลาะเกาะแก่งแม่โขง (ที่เขากักน้ำไว้ที่ต้นน้ำ สร้างความเดือดร้อนมหาศาลให้อีสานไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน) มาส่งของที่เชียงแสน จนสินค้าจีนท่วมประเทศไทยไปแล้ว ...จากของเด็กเล่น กระเป๋าถือ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า มีดพับ ยันผลไม้ (สาลี่ แอปเปิล ท้อ)
พอมีถนนนี้มันลดเวลาเดินทางโดยเรือจากหนึ่งเดือน เหลือเพียง ๓ วัน แบบนี้มันลดโสหุ้ยมาก สินค้าจีนที่ถูกอยู่แล้วจะถูกลงไปอีก มองในแง่โง่ (ที่อาจไม่ร้าย) ก็เออ..มันก็ดีนะ เพราะมันช่วยให้เราซื้อสินค้าได้มากขึ้นด้วยเงินเท่าเดิม แต่ถามว่า มันจะมิยิ่งครองตลาดไทย จนนักอุตสาหกรรมไทยหมดหนทางต่อสู้ดอกหรือ จะมิเจ๊งปิดโรงงานกันหมดหรือ แล้วคนไทยจะมีงานทำไหม ถ้าเอาแต่ซื้อเขา แถมทั้งหมดนี้อุปถัมภ์รายการโดยรัฐบาลไทยอีกต่างหาก (ด้วยเงินภาษีของพวกเรา)
อีกหน่อยกระดาษเช็ดก้นจีนคงบุกตลาดไทยเป็นแน่ โลงศพจีนก็คงจะเข้ามาในที่สุด (แล้วธุรกิจโลงศพไทยจะไปอยู่ไหน) อีกหน่อยดอกไม้จันทน์จีนคงเข้ามาครองตลาด (เพื่อเอาไว้โยนไว้อาลัยหน้าเตาเผาศพประเทศไทย)
ถ้าเราลงทุนครึ่งๆ กับเขา ทำไมเราไม่ตั้งข้อเสนอว่า การแลกเปลี่ยนสินค้ากันนั้นก็ต้องครึ่งๆ ด้วย กล่าวคือ เราซื้อเขา ๑๐๐ เขาก็ต้องซื้อเรา ๑๐๐ ด้วย จึงจะแฟร์
แต่นี่เราซื้อเขาโครมๆ ส่วนเขาซื้อเราเพียงแค่ผลไม้นิดหน่อยเท่านั้นเอง ลำไย มะม่วง ทุเรียน มังคุด
ลาวเขาฉลาด (หรือโง่ก็ไม่รู้) เพราะเขาไม่ยอมให้รถบรรทุกจีนหรือไทยผ่านพรมแดน แต่ให้มาจอดผ่องถ่ายสินค้ากันระหว่างรถไทยรถจีนที่พรมแดน จีนลาว
วิธีการนี้ทำให้ลาวมีงานอันทรงเกียรติทำ (กุลีขนของ) และพนักงานรถได้พักผ่อน (และนอนหลับด้วย) ...แต่ช้าก่อนผมว่า ลาวไม่ใช่คนโง่ปานนั้นหรอก เพราะถ้าอยากได้เงิน ก็แค่เก็บเงินค่าผ่านด่านก็ได้แล้ว ทำไมต้องมาลงทุนอะไรปานนี้..ผมว่างานนี้จีนนั่นแหละ ไปยุลาวให้ทำ
เพราะถ้าให้รถจีนวิ่งผ่านมาส่งของให้ไทยถึงตลาดไทย ตอนตีรถกลับ รถจีนก็ว่างสิ ก็เสียเที่ยวที่วิ่งรถเปล่า เพราะไทยเรามีของขายให้จีนน้อยกว่าจีนขายให้ไทยสิบเท่า รถสิบคันก็ต้องวิ่งรถเปล่ากลับเสีย ๙ คันสิ
จีนเขาฉลาด เขาเลยอาจไปเสี้ยมลาวให้ห้ามรถจีนเข้าไทย (และเพื่อให้เนียนก็ห้ามรถไทยเข้าจีนด้วย) แต่ให้มาผ่องถ่ายสินค้ากันที่พรมแดนจีน-ลาว
จากนั้นเขาก็หาวิธีการทำกำไรแบบไม่ให้เสียเที่ยววิ่งรถสิ เขาก็เลยเข้ามาทำฟาร์มสัญญาจ้าง โดยเช่าพื้นดินลาว จ้างคนลาวแบบถูกๆ เพื่อปลูกพืชไปเลี้ยงคนจีน (เมื่อก่อนคนลาวเป็นเจ้าของที่ดิน วันนี้กลายมาเป็นลูกจ้างในที่ดินตนเอง)
พอได้พืชผลจากฟาร์มสัญญาจ้างนี้ รถขนสินค้ามาส่งไทยที่กระบะยังว่าง เขาก็ขนสินค้าเกษตรจากลาวไปให้คนจีนกินสิ... ก็ได้หลายต่อมาก
ส่วนไทยหน้าใหญ่ที่ลงทุนไปครึ่งๆ กับเขา ก็ต้องวิ่งรถเปล่าไปที่พรมแดนจีน-ลาว เพื่อรับสินค้าจากรถบรรทุกจีนซึ่งมีมากกว่าไทยสิบเท่า
ถือเป็นการเอาเงินภาษีประชาชนไปลงทุนเพื่อให้สินค้าจีนมาบุกทำลายไทยได้อย่างสะดวก ...ช่างใจบุญจริงจิ๊ง คนไทยเราเนี่ย
จะว่ายื่นดาบให้กับโจรก็อาจเกินไป เพราะจีนเขาไม่ใช่โจร แต่ปลาน้อยไปยื่นฉมวกให้มังกร มังกรเขาก็เลยเอาฉมวกมาแทงปลากินซะเลย ไม่ต้องมาเสียเวลาล่าให้ปลาให้ยุ่งยาก
นั่นกล่าวฝ่ายจีนที่ใหญ่และรวยกว่าเรามาก ทีนี้หันไปมองพม่าบ้าง ซึ่งรัฐบาลไทยก็ใจบุญอีกแล้ว ไปช่วยพม่าทุบหม้อข้าวไทยกันเองอีกแล้ว ด้วยการเอาเงินมหาศาลหลายแสนล้านไปช่วยพม่าสร้างท่าเรือทวาย ซึ่งจะเป็นการทำลายการท่าเรือไทยไปโดยปริยาย
ท่าเรือเท่านั้นไม่พอ ยังไปตกลงว่าจะลงทุนสร้างถนนจากไทยไปรองรับถนนจากท่าเรือทวายเพื่อให้สะดวกต่อการขนสินค้าจากทวายมาส่งให้ไทย (และอ้างอาเซียน) ด้วย (อีกตามฟอร์ม) ซึ่งถ้าเราไม่สร้างถนนนี้รองรับ รับรองได้เลยว่าโครงการทวายจะล้ม แต่เรา “ใจบุญ” อยากไปอุ้มอดีตอริราชศัตรูผู้รุกรานเราจนแทบล่มสลายให้เจริญ เลยเอาเงินภาษีประชาชนไปอุ้มโครงการนี้ เพื่อให้มาทำร้ายระบบการท่าเรือไทยเรา
เฮ้อ...ประเทศไทยเรานี้ดีทุกอย่าง ยกเว้นมีนักการเมืองไทยมาบริหารประเทศ