รูปการ์ตูนแรกที่ท่านเห็นอยู่นี้มาจากเพื่อนในเฟซบุ๊กของผมครับ ผู้วาดใช้ชื่อย่อว่า Tc. ข้อความในภาพเขียนว่า “THE PEOPLE DON’T KNOW THEIR TRUE POWER” หรือ “ประชาชนไม่รู้พลังที่แท้จริงของตนเอง”
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ใช้เวลากับภาพนี้ให้นานสักหน่อยครับ เพราะมันมีความลึกซึ้งอยู่มากในภาพนี้โดยเฉพาะคำว่า “พลังที่แท้จริงของตนเอง”
พลังก็คือพลังงานที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง วัตถุจะสามารถเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ก็ต้องใช้พลังงานไม่ว่าจะอยู่ในรูปของพลังงานศักย์ (ที่ขึ้นกับระดับความสูงที่ต่างกัน) หรือพลังงานจลน์ (ที่ขึ้นกับความเร็ว) ซึ่งเกิดจากแรงภายนอกมากระทำ พลังดังกล่าวนี้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ตรงไปตรงมา
แต่พลังของประชาชนเป็นพลัง (หรือพลังงาน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตใจและภูมิปัญญาที่มีความซับซ้อนมาก พลังของคนหยิบมือเดียว (Law of the few) สามารถโน้มน้าวและส่งต่อไปยังเครือข่ายต่างๆ จนเกิดเป็นพลังต่อเนื่องขยายตัวได้มหาศาลและรวดเร็ว แตกต่างจากพลังงานเชิงฟิสิกส์ในวัตถุ (ซึ่งไม่มีจิตใจ) ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ “ประชาชนไม่รู้พลังที่แท้จริงของตนเอง”
ขอกล่าวถึงในภาพการ์ตูนก่อนแล้วค่อยกลับมาเป็นปัญหาของจริงทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก ผมแบ่งออกเป็นกรณีดังนี้
หนึ่ง ถ้าประชาชนพากันเดินตามผู้นำที่กำลังชี้โบ๊ชี้เบ๊อยู่ที่ปลายไม้กระดาน ในที่สุดก็จะนำไปสู่โศกนาฏกรรมคือพากันตกเหวตายกันหมด
สอง มีประชาชนบางคนเริ่มรู้ทัน แล้วก็ถอยหลังกลับมาเพียงคนเดียว ความจริงถ้าเขา “รู้ถึงพลังของตนเอง” โดยการสะกิดหรือ “ให้การศึกษา” กับเพื่อนให้กลับมาด้วยกัน ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งกระบวนคือกำจัดตัวไร้
สาม กรณีนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ยากสักหน่อย คือให้การศึกษากับผู้นำให้กลับใจ เพราะผู้นำมักเต็มไปด้วยมิจฉาทิฎฐิ ความโลภ และเห็นแก่ตัว แต่ก็ต้องพยายามด้วยหลักพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ตัวอย่างที่เป็นจริงสำหรับแนวนโยบายที่หลงผิดของรัฐบาลไทยที่อาจจะนำไปสู่หายนะ เช่น การจำนำข้าวที่ประหลาดที่สุดในโลกคือราคาจำนำสูงกว่าราคาจริงมาก การแก้ปัญหาน้ำท่วมกว่า 3.5 แสนล้านบาท และที่กำลังจะตามมาเร็วๆ นี้ก็คือ การถมทะเลตั้งแต่ภาคตะวันออกไปจนถึงจังหวัดเพชรบุรี ด้วยข้ออ้างว่าต้องทำตามสัญญาที่ได้หาเสียงไว้แล้ว
ในเรื่องระดับโลก นโยบายพลังงานของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ขณะนี้ผู้นำประเทศต่างๆ ซึ่งก็คือกลุ่มเดียวกันกับพ่อค้าพลังงานฟอสซิลได้กำหนดให้ใช้แหล่งพลังงานที่ตนผูกขาดได้และมีอยู่จำนวนจำกัดเท่านั้น พวกเขาปฏิเสธการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีจำนวนมากและไม่จำกัดเพียงและสามารถเข้าถึงได้ง่ายเพราะว่าเขายังไม่ได้รับสัมปทานจากดวงอาทิตย์เท่านั้น
รู้ทั้งรู้ว่า การใช้พลังงานฟอสซิลมากจะเกิดก๊าซเรือนกระจกแล้วนำไปสู่ปัญหาโลกร้อนที่ก่อปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติไปทั่วโลกอย่างที่คาดไม่ถึง พวกพ่อค้าพลังงานฟอสซิลก็ไม่สนใจ เพราะร้อยละ 96 ของผู้ที่เสียชีวิตอยู่ในประเทศยากจน
และขอโทษที่จะต้องกล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่เองก็ไม่รู้ความจริงที่แท้ด้วย ได้รับแต่ความจริงเทียมที่กลุ่มพ่อค้าผู้ครอบครองโลกที่มีจำนวนแค่ 1% ของประชากรโลกเป็นผู้กำหนดให้รับรู้เท่านั้นโดยผ่านสื่อต่างๆ ดังภาพที่สองครับ
ภาพที่สองนี้เป็นการนำสองเรื่องมาประกอบกันครับ เรื่องแรกเป็นนิทานเรื่อง สโนไวท์ เราคงจำกันได้กับคำถามของแม่มดเสียงสั่นๆ ว่า “กระจกวิเศษ บอกข้าเถิด ว่าใครงามเลิศในปฐพี”
เมื่อได้คำตอบว่า “อ๋อ ก็สโนไวท์ นะสิ” จึงได้ก่อให้เกิดพลังอิจฉาให้กับแม่มดจนนำไปสู่การวางยาพิษ ในที่สุดเจ้าชายได้มาจุมพิตแล้วสโนไวท์ก็ฟื้นขึ้นมา
นั่นเป็นนิทาน แต่ข้างล่างของภาพเป็นเรื่องจริง ที่กลุ่มยึดครองวอลล์ สตรีท ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อปลุกให้คนชั้นกลางทั่วโลกได้เห็นความชั่วร้ายของกลุ่มพ่อค้า (ที่มีจำนวนแค่ 1%) แต่แม่มดที่ในการ์ตูนเขียนไว้ว่าสื่อ (MEDIA) ซึ่งเป็นผู้วางยาพิษในแอปเปิลให้ชนชั้นกลางกินจนสลบไป
แม่มดได้ตะโกนออกมาห้ามว่า “อย่า”
เรื่องราวในภาพที่สองคือคำอธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่เข้าใจพลังที่แท้จริงของตนดังในภาพแรก
ทีนี้กลับมาที่เรื่องจริงซึ่งเป็นรูปธรรมของปัญหาของโลกครับ จากเอกสารของนักวิชาการในกลุ่ม Occupy Wall St. เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบที่ขายกันอยู่ในตลาดโลกที่ระดับประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้น เกินครึ่งเข้ากระเป๋าของพวกเล่นหุ้นในตลาด Wall St.
ในเรื่องงบประมาณ Dr. Hermann Scheer อดีตสมาชิกรัฐสภาของเยอรมนีและผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางเลือกเมื่อปี 2542 เปิดเผยว่า หนึ่งในสามของงบประมาณกลาโหมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้นถูกนำไปใช้เพื่อการปกป้องแหล่งปิโตรเลียมของพ่อค้าน้ำมันทั่วโลก
เอาแค่สองตัวอย่างนี้ก็พอทำให้เราสรุปได้ว่า ปัญหาสำคัญของโลกเกิดจาก 2 ภาพนี้ซึ่งเป็นเหตุ (สื่อวางยาพิษให้ประชาชน) เป็นผลกัน (ทำให้ประชาชนไม่รู้พลังที่แท้จริงของตน) จริงๆ ครับ
แล้วสุดท้ายประชาชนก็ทุกข์ระทมขมขื่นเรื่อยมาครับ
ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้ใช้เวลากับภาพนี้ให้นานสักหน่อยครับ เพราะมันมีความลึกซึ้งอยู่มากในภาพนี้โดยเฉพาะคำว่า “พลังที่แท้จริงของตนเอง”
พลังก็คือพลังงานที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นั่นเอง วัตถุจะสามารถเคลื่อนที่หรือเปลี่ยนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ก็ต้องใช้พลังงานไม่ว่าจะอยู่ในรูปของพลังงานศักย์ (ที่ขึ้นกับระดับความสูงที่ต่างกัน) หรือพลังงานจลน์ (ที่ขึ้นกับความเร็ว) ซึ่งเกิดจากแรงภายนอกมากระทำ พลังดังกล่าวนี้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ตรงไปตรงมา
แต่พลังของประชาชนเป็นพลัง (หรือพลังงาน) ซึ่งเกี่ยวข้องกับจิตใจและภูมิปัญญาที่มีความซับซ้อนมาก พลังของคนหยิบมือเดียว (Law of the few) สามารถโน้มน้าวและส่งต่อไปยังเครือข่ายต่างๆ จนเกิดเป็นพลังต่อเนื่องขยายตัวได้มหาศาลและรวดเร็ว แตกต่างจากพลังงานเชิงฟิสิกส์ในวัตถุ (ซึ่งไม่มีจิตใจ) ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
แต่ที่เป็นปัญหาก็คือ “ประชาชนไม่รู้พลังที่แท้จริงของตนเอง”
ขอกล่าวถึงในภาพการ์ตูนก่อนแล้วค่อยกลับมาเป็นปัญหาของจริงทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก ผมแบ่งออกเป็นกรณีดังนี้
หนึ่ง ถ้าประชาชนพากันเดินตามผู้นำที่กำลังชี้โบ๊ชี้เบ๊อยู่ที่ปลายไม้กระดาน ในที่สุดก็จะนำไปสู่โศกนาฏกรรมคือพากันตกเหวตายกันหมด
สอง มีประชาชนบางคนเริ่มรู้ทัน แล้วก็ถอยหลังกลับมาเพียงคนเดียว ความจริงถ้าเขา “รู้ถึงพลังของตนเอง” โดยการสะกิดหรือ “ให้การศึกษา” กับเพื่อนให้กลับมาด้วยกัน ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งกระบวนคือกำจัดตัวไร้
สาม กรณีนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ยากสักหน่อย คือให้การศึกษากับผู้นำให้กลับใจ เพราะผู้นำมักเต็มไปด้วยมิจฉาทิฎฐิ ความโลภ และเห็นแก่ตัว แต่ก็ต้องพยายามด้วยหลักพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
ตัวอย่างที่เป็นจริงสำหรับแนวนโยบายที่หลงผิดของรัฐบาลไทยที่อาจจะนำไปสู่หายนะ เช่น การจำนำข้าวที่ประหลาดที่สุดในโลกคือราคาจำนำสูงกว่าราคาจริงมาก การแก้ปัญหาน้ำท่วมกว่า 3.5 แสนล้านบาท และที่กำลังจะตามมาเร็วๆ นี้ก็คือ การถมทะเลตั้งแต่ภาคตะวันออกไปจนถึงจังหวัดเพชรบุรี ด้วยข้ออ้างว่าต้องทำตามสัญญาที่ได้หาเสียงไว้แล้ว
ในเรื่องระดับโลก นโยบายพลังงานของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ขณะนี้ผู้นำประเทศต่างๆ ซึ่งก็คือกลุ่มเดียวกันกับพ่อค้าพลังงานฟอสซิลได้กำหนดให้ใช้แหล่งพลังงานที่ตนผูกขาดได้และมีอยู่จำนวนจำกัดเท่านั้น พวกเขาปฏิเสธการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีจำนวนมากและไม่จำกัดเพียงและสามารถเข้าถึงได้ง่ายเพราะว่าเขายังไม่ได้รับสัมปทานจากดวงอาทิตย์เท่านั้น
รู้ทั้งรู้ว่า การใช้พลังงานฟอสซิลมากจะเกิดก๊าซเรือนกระจกแล้วนำไปสู่ปัญหาโลกร้อนที่ก่อปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติไปทั่วโลกอย่างที่คาดไม่ถึง พวกพ่อค้าพลังงานฟอสซิลก็ไม่สนใจ เพราะร้อยละ 96 ของผู้ที่เสียชีวิตอยู่ในประเทศยากจน
และขอโทษที่จะต้องกล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่เองก็ไม่รู้ความจริงที่แท้ด้วย ได้รับแต่ความจริงเทียมที่กลุ่มพ่อค้าผู้ครอบครองโลกที่มีจำนวนแค่ 1% ของประชากรโลกเป็นผู้กำหนดให้รับรู้เท่านั้นโดยผ่านสื่อต่างๆ ดังภาพที่สองครับ
ภาพที่สองนี้เป็นการนำสองเรื่องมาประกอบกันครับ เรื่องแรกเป็นนิทานเรื่อง สโนไวท์ เราคงจำกันได้กับคำถามของแม่มดเสียงสั่นๆ ว่า “กระจกวิเศษ บอกข้าเถิด ว่าใครงามเลิศในปฐพี”
เมื่อได้คำตอบว่า “อ๋อ ก็สโนไวท์ นะสิ” จึงได้ก่อให้เกิดพลังอิจฉาให้กับแม่มดจนนำไปสู่การวางยาพิษ ในที่สุดเจ้าชายได้มาจุมพิตแล้วสโนไวท์ก็ฟื้นขึ้นมา
นั่นเป็นนิทาน แต่ข้างล่างของภาพเป็นเรื่องจริง ที่กลุ่มยึดครองวอลล์ สตรีท ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อปลุกให้คนชั้นกลางทั่วโลกได้เห็นความชั่วร้ายของกลุ่มพ่อค้า (ที่มีจำนวนแค่ 1%) แต่แม่มดที่ในการ์ตูนเขียนไว้ว่าสื่อ (MEDIA) ซึ่งเป็นผู้วางยาพิษในแอปเปิลให้ชนชั้นกลางกินจนสลบไป
แม่มดได้ตะโกนออกมาห้ามว่า “อย่า”
เรื่องราวในภาพที่สองคือคำอธิบายถึงสาเหตุว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงไม่เข้าใจพลังที่แท้จริงของตนดังในภาพแรก
ทีนี้กลับมาที่เรื่องจริงซึ่งเป็นรูปธรรมของปัญหาของโลกครับ จากเอกสารของนักวิชาการในกลุ่ม Occupy Wall St. เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันดิบที่ขายกันอยู่ในตลาดโลกที่ระดับประมาณ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลนั้น เกินครึ่งเข้ากระเป๋าของพวกเล่นหุ้นในตลาด Wall St.
ในเรื่องงบประมาณ Dr. Hermann Scheer อดีตสมาชิกรัฐสภาของเยอรมนีและผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางเลือกเมื่อปี 2542 เปิดเผยว่า หนึ่งในสามของงบประมาณกลาโหมของรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั้นถูกนำไปใช้เพื่อการปกป้องแหล่งปิโตรเลียมของพ่อค้าน้ำมันทั่วโลก
เอาแค่สองตัวอย่างนี้ก็พอทำให้เราสรุปได้ว่า ปัญหาสำคัญของโลกเกิดจาก 2 ภาพนี้ซึ่งเป็นเหตุ (สื่อวางยาพิษให้ประชาชน) เป็นผลกัน (ทำให้ประชาชนไม่รู้พลังที่แท้จริงของตน) จริงๆ ครับ
แล้วสุดท้ายประชาชนก็ทุกข์ระทมขมขื่นเรื่อยมาครับ