xs
xsm
sm
md
lg

การรับจำนำข้าวเป็นสัญญาณสุดท้ายของการบอกให้เตรียมตัว

เผยแพร่:   โดย: ไสว บุญมา

โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลกำลังเป็นที่วิเคราะห์วิจารณ์และถกเถียงกันอย่างเข้มข้น คนในรัฐบาลแสนจะสับสนและยังดันทุรังต่อไปทั้งที่ได้รับคำเตือนจากผู้หวังดีโดยเฉพาะจากคนของรัฐบาลเอง เช่น ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือสูง เช่น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย รายละเอียดของผลดีและผลเสียที่กำลังเกิดและจะเกิดต่อไปจากโครงการนี้มีอยู่ในการวิเคราะห์ของนักวิชาการและสถาบันต่างๆ ดังที่ปรากฏตามสื่ออย่างแพร่หลายแล้ว จึงจะไม่นำมาเสนออีก โดยสรุป ผลเสียจะมากกว่าผลดีซึ่งจะนำไปสู่การทำลายภาคการผลิตและการค้าข้าวไทยและผลสุดท้ายจะก่อให้เกิดความแตกแยกร้ายแรงเพิ่มขึ้นในสังคม

เนื่องจากข้าวและชาวนาเป็นภาคที่มีความสำคัญที่สุดปานแก่นของสังคมไทย ภาคนี้จึงเป็นตัวแปรใหญ่ที่สุดทางเศรษฐกิจและการเมือง การใช้นโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายและนโยบายรับจำนำข้าวที่นำไปสู่การทำลายภาคนี้จะมีผลกระทบใหญ่หลวงถึงขนาดเร่งให้เศรษฐกิจล้มละลายและอาจนำไปสู่ความหายนะตามแนวคิดเรื่องฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ควายหลังหัก

การมองเช่นนี้เกิดจากการมีตัวอย่างทางประวัติศาสตร์การพัฒนาของอาร์เจนตินาและของฟิลิปปินส์เป็นหลักฐานที่ยืนยัน

ในอาร์เจนตินา
ประวัติศาสตร์บ่งว่าผู้คุมอำนาจรัฐตั้งแต่ครั้งเริ่มก่อตั้งประเทศเป็นเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ๆ ซึ่งทำไร่ทำนาและเลี้ยงสัตว์จนสร้างความร่ำรวยมหาศาล มหาเศรษฐีเหล่านั้นเสียอำนาจเมื่อนักการเมืองหัวใสใช้นโยบายประชานิยมเข้าสู้ แต่นโยบายประชานิยมที่ใช้เป็นแบบเลวร้าย มิใช่แบบตามอุดมการณ์ มันจึงนำไปสู่การใช้เงินจำนวนมหาศาลและการแตกแยกร้ายแรงในสังคมโดยไม่มีใครยับยั้งได้ ทั้งนี้เพราะประธานาธิบดีฮวน เปโรน มีความปราดเปรื่องทางการเมืองสูงยิ่ง เขาทุ่มเทซื้อใจและยึดชนชั้นแรงงานเป็นฐานทางการเมืองและเป็นเสมือนกองทัพของเขา ผู้ขัดขวางและต่อต้านถูกทำลายผ่านการใช้กองกำลังจัดตั้งที่มาจากแรงงานซึ่งมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในทุกภาคส่วนของสังคม

เมื่อปราศจากการขัดขวางและการต่อต้าน หรือการถ่วงดุลอำนาจตามหลักประชาธิปไตย เปโรนก็ทำอะไรๆ ได้ตามใจชอบ ผลสุดท้ายคือความล้มละลาย การฆ่าฟันกันอย่างแพร่หลายและการพัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานมานานหลายสิบปี ประเด็นนี้คงเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้ว (หากยังไม่แน่ใจอาจไปอ่านหนังสือชื่อ “ประชานิยม: ทางสู่ความหายนะ” ซึ่งมีอยู่ที่ร้านของโพสต์บุ๊กส์ในงานมหกรรมหนังสือระหว่าวันที่ 18-28 ตุลาคมนี้ และตามร้านจำหน่ายหนังสือชั้นนำทั่วไป)

เมืองไทยใช้นโยบายประชานิยมแบบเลวร้ายคล้ายในอาร์เจนตินามากว่า 11 ปี ตอนนี้มันได้วิวัฒน์ไปถึงขั้นที่จะนำไปสู่ความล้มละลายและอาจถึงขั้นหายนะแล้ว กระบวนการของขั้นตอนสุดท้ายได้แก่การที่รัฐบาลเข้าไปรับจำนำข้าวด้วยราคาที่สูงกว่าตลาดโลกจำนวนมากดังที่เห็นอยู่ในขณะนี้ มันจะนำไปสู่การใช้เงินจำนวนมหาศาลซึ่งมีค่าเท่ากับการทุ่มเงินซื้อใจชาวนาเพื่อนำพวกเขามาเป็นฐานทางการเมืองของรัฐบาลเช่นเดียวกับเปโรนซื้อใจแรงงานในอาร์เจนตินา

ชาวนามีกระจัดกระจายอยู่ทั่วเมืองไทยและเป็นฐานทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดซึ่งกำลังกลายเป็นกองกำลังจัดตั้งทางการเมืองโดยไม่รู้ตัว จะเห็นว่ามีชาวนาจำนวนมากเข้าร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อสองปีก่อนและการต่อต้านการชุมนุมนำไปสู่การเผาอาคารในย่านนั้นและในภาคอีสานอีกหลายแห่ง นั่นคือหัวขบวนของกระบวนการทางการเมืองในปัจจุบันและสัญญาณของการแตกแยกร้ายแรงในสังคมไทย ต่อไปนี้จะไม่มีใครสามารถขัดขวางและต่อต้านการกระทำอันชั่วร้ายของคนในรัฐบาลซึ่งกำลังถูกบงการโดยผู้ที่มีความปราดเปรื่องทางการเมืองสูงเช่นเดียวกับเปโรนได้ การใช้เงินแบบแทบไม่อั้นซึ่งกำลังเกิดขึ้นอย่างเต็มที่รวมทั้งเงินจากการกู้หนี้ยืมสินจะพาเมืองไทยไปสู่ความล้มละลายไม่ต่างกับเมื่อปี 2540 และความแตกแยกร้ายแรงในสังคมที่อาจนำไปสู่การฆ่าฟันกันจนเกิดสภาพของการปกครองกันไม่ได้ สภาพเช่นนั้นย่อมเป็นความหายนะ

ทางด้านการพัฒนาในฟิลิปปินส์ การทำลายเศรษฐกิจและสังคมจนนำไปสู่สภาพที่ถูกตราว่าเป็น “คนง่อยแห่งเอเชีย” มิใช่เกิดจากนโยบายประชานิยม หากเกิดจากความฉ้อฉลจนถึงขั้นทำลายแก่นของเศรษฐกิจและสังคมโดยเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส ซึ่งครองอำนาจอยู่กว่า 20 ปี อาจจำกันได้ว่าย้อนไปในสมัยมาร์กอสเรืองอำนาจ ไทย เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซียต่างมีรัฐบาลเผด็จการหรือกึ่งเผด็จการและพยายามเร่งรัดพัฒนาประเทศเช่นเดียวกันหมด ผู้นำรัฐบาลส่วนใหญ่ฉ้อฉลจนเป็นที่ประจักษ์รวมทั้งผู้นำรัฐบาลไทยด้วย แต่ความฉ้อฉลนั้นเป็นเสมือนการและเล็มกินเพียงเปลือกนอกของเศรษฐกิจยกเว้นรัฐบาลที่นำโดยมาร์กอส

มาร์กอสและญาติมิตรเข้าไปควบคุมเกือบทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจโดยมีกองทัพสนับสนุนเต็มที่เพราะมีส่วนแบ่งเป็นที่พอใจ ในตอนนั้น ภาคที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจและสังคมของฟิลิปปินส์คือมะพร้าวซึ่งปลูกอยู่ตามเกาะราว 7,000 เกาะของประเทศ ชาวสวนมะพร้าวเป็นเกษตรกรจำนวนมากที่มีสวนขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปเช่นเดียวกับชาวนาไทยเรา มะพร้าวเป็นสินค้าสำคัญอันดับหนึ่งของฟิลิปปินส์ซึ่งส่งออกมะพร้าวมากที่สุดในโลก การผลิตและการค้าขายมะพร้าวเป็นกิจการของภาคเอกชน

มาร์กอสเห็นโอกาสทำเงินได้อย่างง่ายดายจึงเข้าไปควบคุมโดยการก่อตั้งองค์กรขึ้นมาค้ามะพร้าวและออกกฎหมายบังคับให้ชาวสวนต้องขายมะพร้าวให้แก่องค์กรนั้นในราคาต่ำกว่าราคาในตลาดโลกมากๆ แล้วนำมะพร้าวนั้นไปขายในราคาสูง มาร์กอสและพรรคพวกร่ำรวยมหาศาลแต่การผลิตมะพร้าวซบเซาลงอย่างรวดเร็วจนฟิลิปปินส์เสียตำแหน่งผู้ส่งออกมะพร้าวหมายเลขหนึ่งของโลกและชาวสวนมะพร้าวยากจนลงอย่างน่าสงสาร พวกเขาจึงเป็นกำลังสำคัญในการขับไล่มาร์กอสจากอำนาจและซมซานไปตายในต่างประเทศ การทำลายภาคการผลิตและการค้ามะพร้าวมีค่าเท่ากับการเข้าไปทำลายแก่นของเศรษฐกิจและสังคมส่งผลให้ฟิลิปปินส์ล้มลุกคลุกคลานมานานหลายทศวรรษ

นโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาลไทยกำลังทำลายภาคการผลิตและการค้าขายข้าวอันเป็นแก่นของเศรษฐกิจและสังคมไทยเช่นเดียวกับมาร์คอสทำลายภาคการผลิตและการค้าขายมะพร้าวอันเป็นแก่นของเศรษฐกิจและสังคมฟิลิปปินส์

อาร์เจนตินาล้มละลายหลายครั้ง ฆ่าฟันกันอย่างแพร่หลายและพัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานมานาน ส่วนฟิลิปปินส์ก็ล้มลุกคลุกคลานเช่นเดียวกันจนถูกตราว่าเป็น “คนง่อยแห่งเอเชีย” พอจะทำนายได้ไหมว่า สิ่งที่จะตามมาในเมืองไทยจะเลวร้ายคล้ายการนำเอาผลของนโยบายในอาร์เจนตินามารวมกับผลของนโยบายในฟิลิปปินส์? การสรุปเช่นนั้นอาจจะเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไป แต่ขอฝากไว้ให้คิดเพียงนิดเดียว นั่นคือ หากเชื่อว่าความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งความตาย ไม่มีอะไรเสียหายมากหากจะเตรียมรับมือความล้มละลายกันไว้เสียตั้งแต่วันนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น