ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรณีไซฟ่อนเงินที่ฮ่องกง จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท ของ 30 นักการเมืองและข้าราชการประจำ ซึ่งมีชื่อ 'เจ๊ ด.' คนดัง เข้าไปพัวพันด้วยนั้น ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทำเอารัฐบาลเพื่อไทยนั่งไม่ติด และพากันดาหน้าออกมาดิสเครดิต 'มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์' เลขาธิการเครือข่ายภาคีต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ (ภตช.) ซึ่งเป็นผู้ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้
จากภาพการคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬารของรัฐบาลชุดนี้ทำให้กระแสสังคมส่วนใหญ่มั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย อีกทั้งการไซฟ่อน (ผ่องถ่ายเงิน)และการฟอกเงินจากการทุจริตคอร์รัปชั่นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับแวดวงการเมืองไทย ซึ่งหากสาวลึกลงไปก็จะเห็นถึงสารพัดวิธีการที่นักการเมืองเหล่านี้นำมาใช้เพื่อผ่องถ่ายและฟอกเงินทุจริตให้กลายเป็นทรัพย์สินที่ขาวสะอาดปราศจากมลทิน
ใช้ 'โพยก๊วน' ผ่านร้านทอง และบริษัททัวร์
สำหรับกรณีการไซฟ่อนเงิน 1.6 หมื่นล้านตามที่เป็นข่าวนั้น มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เลขาธิการ ภตช. นักเคลื่อนไหวเลือดใหม่ที่จัดการกับเครือข่ายระบอบทักษิณมาหลายกรณี อธิบายถึงวิธีการในการผ่องถ่ายเงินของนักการเมืองดังกล่าวให้ฟังว่า เป็นโอนเงินในลักษณะ 'โพยก๊วน' (การโอนเงินนอกระบบ ผ่าน “ตัวแทนหักบัญชี” ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนกลางเสมือนเป็นนายธนาคารในการรับโอนหรือส่งมอบเงินให้แก่บุคคลที่ผู้ใช้บริการโพยก๊วนระบุ ซึ่งผู้รับเงินอาจจะเป็นผู้ใช้บริการโพยก๊วนเอง หรือบุคคลอื่นๆที่ผู้ใช้โพยก๊วนระบุไว้ก็ได้ โดยผู้ที่มีสิทธิจะได้รับเงินจะต้องเป็นบุคคลที่มี 'หลักฐานการรับเงิน' ที่เรียกกันว่า 'โพย เท่านั้น) ผ่านร้านทองในเยาวราช ซึ่งจะมีอยู่ 4-5 ร้านที่รับทำโพยก๊วน และผ่านบริษัททัวร์ อักษรย่อ ร.
“ เงินที่ไซฟ่อนกัน 1.6 หม่นล้านเนี่ย เขาโอนผ่านโพยก๊วนที่ฮ่องกง โดยเสียค่าคอมมิชชันในการดำเนินการประมาณ 7% คือเดี๋ยวนี้เงินจากการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและข้าราชการประจำเนี่ย บางส่วนเขาก็เก็บไว้ภายในประเทศ โดยอาจจะแลกเป็นทอง คือปกติการนำเข้าทองของร้านทองเนี่ยเราไม่สามารถตรวจสอบได้ว่านำเข้าจริงเท่าไร อาจจะนำเข้าจริง 400 กิโลฯ แต่ลงบิลแค่ 100 กิโลฯ อีก 300 กิโลฯก็เอาไว้ทำธุรกิจสีเทา มีคนเอาเงินสดมาให้ก็แลกเอาทองไป เงินคอร์รัปชั่นบางส่วนก็นำไปไซฟ่อนผ่านโพยก๊วนเพื่อส่งเงินออกไปที่ฮ่องกง แล้วก็ส่งต่อไปที่สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเกาะเคย์แมน สังเกตว่ารัฐมนตรีคนไหนไปฝรั่งเศสบ่อยก็นั่นแหล่ะ การโยกย้ายเงินที่ฮ่องกงเนี่ยค่อนข้างง่ายเพราะมีธุรกิจที่รับดำเนินการเรื่องนี้อยู่ การถือเงินจำนวนมากๆไปไหนมาไหนในฮ่องกงมันไม่ผิดสังเกต คือธนบัตรของฮ่องกงที่มีมูลค่าสูงสุดเนี่ย เขามีมูลค่าถึงใบละ 10,000 Usดอลลาร์ หรือเท่ากับเงินไทย 250,000 บาท ถ้าธนบัตร 100 ใบก็เท่ากับเงินไทย 25 ล้านบาท ซึ่งธนบัตร 100 ใบเนี่ยหนักประมาณ 1 ขีด เพราะฉะนั้นธนบัตร 1 กิโลกรัมก็เท่ากับ 250 ล้านบาท ซึ่งใส่กระเป๋าหิ้วกันสบายๆ
เงิน 1.6 หมื่นล้านที่ไซฟ่อนที่ฮ่องกงเนี่ย มันเป็นยอดรวมของนักการเมืองหลายคน ไซฟ่อนกันหลายรอบ ทำกันแบบต่างคนต่างทำ แต่เงินส่วนใหญ่เนี่ยมันเป็นเงินจากการทุจริตในโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ซึ่ง 30 รายที่ ภตช.พบว่ามีการไซฟ่อนเงินที่ฮ่องกงนั้น มีทั้งรัฐมนตรี ส.ส. และข้าราชการประจำ ส่วนตัว เจ๊ด. ไม่ได้ดำเนินการเองแต่จะไซฟ่อนผ่านนอมินี แล้วเงินที่มีการไซฟ่อนแล้วถูกอายัดเนี่ย ไม่ได้ถูกอายัดโดยองค์กรของรัฐนะ แต่เกิดจากการหักหลังกันในกลุ่มธุรกิจ คือเวลาที่เขาเอาโพยก๊วนไปแลกเงินที่ฮ่องกงเนี่ย บริษัทในฮ่องกงจะต้องไปเบิกเป็นเงินสดออกมา แต่เบิกเงินออกมาแล้วจ่ายให้คนนักการเมืองที่ถือโพยก๊วนไม่ได้ เพราะนักการเมืองไทยที่เอาเงินออกนอกประเทศโดยใช้โพยก๊วนเนี่ยเคยโกงเงินของนักธุรกิจฮ่องกง นักธุรกิจคนนี้ก็เลยใช้คอนเนกชันสั่งให้บริษัทนี้อายัดเงินไว้เพื่อหักหนี้ให้ตัวเอง จริงๆเราเชื่อว่าเงินที่เขาไซฟ่อนกันในช่วงที่ผ่านมาเนี่ยมันเยอะมากนะ ไม่ใช่แค่ 1.6 หมื่นล้านที่ตรวจพบหรอก เพราะมันมีการทุจริตมหาศาลจากหลายโครงการ แค่การนำเข้ารถหรูตามข้อมูลของ ปปท.(สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ) ก็ปาเข้าไป 6 หมื่นล้านบาทแล้ว ” มงคลกิตติ์ กล่าว
ฟอกเงินผ่านบริษัทออฟชอร์-ตลาดหุ้น
ขณะที่ เอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจผู้คร่ำหวอดในวงการการเงิน ระบุว่าวิธีการฟอก เงินในต่างประเทศนั้นทำได้หลายรูปแบบด้วยกัน เช่น ผ่านบริษัทออฟชอร์ และตลาดหุ้นในต่างประเทศ
“เราพบว่าข้อมูลการไซฟ่อนเงินของนักการเมืองไทยที่เกาะฮ่องกง มีการโอนเงินแบบใต้ดินแล้วไปฝากไว้ที่ธนาคารสัญชาติยุโรปซึ่งไปเปิดสาขาที่ฮ่องกง ซึ่งบังเอิญว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารเป็นลูกน้องเก่าผม เขาเห็นว่ามีคนไทยเอาเงินไปฝากที่นั่นครั้งละหลายล้านเหรียญ รวมๆ แล้วเท่าที่พบประมาณ 250 ล้านเหรียญ เทียบเป็นเงินไทยประมาณ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งเราเข้าไปตรวจสอบไม่ได้เพราะเป็นธนาคารเอกชน แล้วเขาก็เปิดเป็นบริษัทออฟชอร์(บริษัทที่เปิดดำเนินการในต่างประเทศ) ใช้นอมินีถือเงิน ซึ่งก่อนเปิดบัญชีที่โน่นเขาจะตรวจสอบประวัติของผู้เปิดบัญชีก่อน ในทีนี้ก็คือนอมินี เมื่อตรวจสอบผ่านแล้วก็จบ เพราะฉะนั้นไม่มีทางไปตรวจจับเขาได้หรอก ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องแบบนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงสามารถเข้าไปตรวจสอบได้เลย แต่เขาไม่ทำ
อีกวิธีที่นิยมมากก็คือผ่องถ่ายเงินออกไปโดยการเปิดแอลซีทำธุรกิจอำพรางว่าซื้อสินค้าจากเมืองนอก ซื้อของที่มีมูลค่าสูง เช่น ชิพคอมพิวเตอร์ สั่งของจากฮ่องกง หรือบางคนเนียนหน่อยก็สั่งจากยุโรปเลย แต่ยุโรปจะทำยากกว่า ฮ่องกงกับจีนจะเยอะ เป็นคอมพิวเตอร์ชิพบ้างอะไรบ้างที่ชิ้นเล็กๆ จำนวนของน้อยๆ แต่มีมูลค่าสูง เมื่อของเข้ามาก็โอนเงินออกไป มูลค่าที่ตีราคามักจะสูงเกินจริง หรือเอาชิพที่เสียแล้วเข้ามาเพื่ออำพรางว่ามีการนำเข้า ใครจะไปตรวจสอบล่ะ เพราะผู้นำเข้าเป็นคนเซ็นรับของเอง ซึ่งศุลกากรไทยก็รู้เห็นด้วย
นอกจากนั้นยังวิธีที่ทำกันมานานแล้วและ'กลุ่มนายใหญ่' ก็ทำอยู่คือโอนผ่านตลาดหุ้น ซึ่งการฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นนั้นง่ายมาก เขาจะซื้อหุ้นในเมืองไทย โดยซื้อในชื่อใครก็แล้วแต่ แล้วก็โอนไปรวมอยู่ 1 พอร์ต ส่วนใหญ่เขาจะซื้อหุ้นของบริษัทตัวเอง หรือหุ้นที่มีอยู่ในมือเขาเอง โดยเลือกหุ้นตัวใหญ่ที่ราคาเคลื่อนไหวไม่มาก ซื้อเสร็จก็เอาไปรวมอยู่ในพอร์ตเดียวกัน เช่น 10 ล้านหุ้น เป็นเงินรวม 2 พันล้านบาท ซื้อ ปตท. หุ้นละ 300 บาท ซื้อ 1 ล้านหุ้นก็ 300 ล้านบาท จากนั้นก็ไปเปิดบัญชีไว้ที่เมืองนอก แล้วเซ็นโอนหุ้นไปอีกพอร์ตหนึ่ง คือแค่เซ็นแกร๊กเดียวหุ้นของเขาก็ไปอยู่ที่เมืองนอกแล้ว แล้วก็ให้พวกเดียวกันมาซื้อหุ้นของตัวเองในต่างประเทศ เพื่อที่จะได้มีหลักฐานการรับเงินที่โน่น เงินนี่ก็ฟอกผ่านตลาดหุ้นเรียบร้อยแล้ว เป็นการฟอกเงินโดยมีกฎหมายรองรับ
ตอนนี้เครือข่ายของ เจ๊ ด.นั้นทำการฟอกเงินกันเยอะมาก เพราะตั้งแต่ตั้งรัฐบาลใหม่มานี่เขาได้ไปเยอะ ทั้งจากโครงการจำนำข้าว ส่วนแบ่งโควตาหวย แล้วที่กำลังจะกินกันอีกก็คือโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง และทุจริตไม้พะยูง ซึ่งการไซฟ่อนเนี่ยจะผ่านทางฮ่องกงและสิงคโปร์ แต่ที่สิงคโปร์เนี่ยนักการเมืองเล็กๆจะทำไม่ได้เพราะสิงคโปร์เขาระวังชื่อสียงเขา แต่ว่านักการเมืองขาใหญ่จะเข้าไปเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทในสิงคโปร์ ก็เลยทำได้ เราก็เห็นเงินที่นั่นเยอะโดยไซฟ่อนผ่านการซื้อขายหุ้น” เอกยุทธ ระบุ
ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่านักการเมืองไทยมีการไซ่อนฟ่อน (ผ่องถ่ายเงิน) ที่ได้จากการทุจริต ผ่านหลายประเทศ ที่พบมากที่สุดคือ เกาะฮ่องกง (สาธารณรัฐประชาชนจีน) มาเก๊า และ สิงคโปร์ จากกนั้นเงินก็จะถูกส่งต่อไปยังประเทศในแถบยุโรป เช่น สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเกาะเคย์แมน สำหรับผู้ที่ให้บริการโพยก๊วนที่ฮ่องกง มาเก๊า และสิงคโปร์นั้นก็มีทั้งที่เป็นบริษัทธุรกิจทั่วไป บางรายก็ดำเนินการผ่านบ่อนการพนัน เช่น ผู้ที่ฟอกเงินผ่านโพยก๊วนก็จะอ้างว่าไปเล่นพนันที่บ่อนในมาเก๊า แล้วก็โอนเงินที่อ้างว่าได้จากกรพนันมาที่ฮ่องกง
เผยเจ๊ ด.-เจ๊ อ.ทุจริตโควตาหวย-เงินอุดหนุนก๊าซ
นายเอกยุทธ ในฐานะหนึ่งในผู้ที่เฝ้าจับตาความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลชุดนี้มาอย่างต่อเนื่อง ยังได้เปิดเผยเพิ่มเติมว่าจากการตรวจสอบพบว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นในหลายโครงการ โดยใช้วิธีการที่แตกต่างกันไป ที่น่าสนใจคือการเรียกรับคอมมิชชันจากการจัดสรรโควตาหวย ซึ่งมีชื่อ 'เจ๊ ด.' และ 'เจ๊ อ.' จากบ้านใหญ่ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“สำหรับส่วนแบ่งจากโควตาหวยเนี่ย เจ๊ ด. กับเจ๊ อ.เป็นคนสั่งการ โดยมีตัวแทนดำเนินการให้ เขาสามารถกำหนดได้ว่าจะให้ใครเป็นเอเยนต์ จะให้โควตาใครเท่าไร ใครอยากได้ก็ต้องเอาเงินไปจ่าย สมมุติได้หวยไปหมื่นเล่ม เล่มหนึ่งมีกี่ใบ ใบละกี่บาท สมมุติเขาให้โควตาเป็นเวลา 1 ปี รวม 24 งวดต่อปี เป็นเงินเท่าไรก็เอาเงินไปจ่าย แต่ก่อนจะจ่ายกันล่วงหน้า แต่เดี๋ยวนี้เงินมันเยอะ เขาก็จะแบ่งจ่าย 2-3 สัปดาห์ก็เอาไปจ่ายที บางทีก็เอาไปส่งถึงหน้าบ้านเลย ไปดักดูได้หน้าบ้านเจ๊กะบังลมก็มีคนขนเงินใส่รถไปให้ บางส่วนคนที่จ่ายก็โอนผ่านโพยก๊วน
คือหลังจากทั้ง 2 เจ๊ได้เงินมาแล้วก็เป็นการผ่องถ่ายเงินใปในรูปแบบต่างๆ เจ้าหนึ่งก็ผ่องถ่ายโดยการซื้อเพชร อีกเจ้าหนึ่งก็ผ่องถ่ายผ่านทางบ่อนโดยผ่านโพยก๊วนหรือหิ้วเงินสดๆออกไปเลย อย่างบ่อนในมาเก๊ากับบ่อนในฮ่องกงเนี่ยเขาจะมีเครื่องบินไพรเวทเจ็ทมารับนักเล่นถึงที่เลย แล้วก็เอาเงินออกไป ซึ่งเครื่องบินลักษณะนี้ไม่มีใครไปตรวจสอบหรอกว่าขนเงินเข้าออกเท่าไร จะเห็นว่าพวกนี้ไปฮ่องกง ไปมาเก๊ากันบ่อย ถ้าไปตรวจจริงๆก็เจอหมดแหล่ะ”
นอกจากนั้นยังมีขบวนการทุจริตค่าคอมมิชชันในการขายและเวียนเทียนก๊าซ โดยนายเอกยุทธอธิบายว่า เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจ่ายเงินอุดหนุนส่วนต่างราคาแอลพีจีที่นำเข้าจากต่างประเทศให้แก่ผู้นำเข้าก๊าซ เพื่อให้สามารถขายก๊าซให้แก่ประชาชนในประเทศได้ในราคาถูก โดยก๊าซแอลพีจีที่นำเข้ามานั้น ตลาดต่างประเทศขายอยู่ตันละ 800 เหรียญ ขณะที่บ้านเราขายตันละ 350 เหรียญ ซึ่งส่วนต่างตันละ 550 เหรียญนั้นรัฐบาลจะจ่ายเงินอุดหนุนให้ผู้นำเข้า ตรงนี้จึงมีการนำก๊าซที่นำเข้ามาเวียนเทียนเพื่อขอรับส่วนต่างจากรัฐ โดยนักการเมืองจะเก็บค่าคอมมิชชันจากผู้นำเข้าที่ยื่นขอรับส่วนต่าง เช่น ส่วนต่างตันละ 500 เหรียญ ผู้นำเข้าได้ไป 200 เหรียญ นักการเมืองได้ไป 300 เหรียญ
“ จะเห็นเมื่อก่อน ปตท.สั่งนำเข้าก๊าซปีละไม่กี่ตัน เพราะจริงๆปริมาณก๊าซที่ขุดได้ภายในประเทศก็พอใช้อยู่แล้ว ไปดูตัวเลขได้ บริษัทเชฟรอนซึ่งสำรวจและผลิตก๊าซในไทยเนี่ยสามารถผลิตก๊าซได้เป็นอันดับ 2 ของโลกนะ เพราะฉะนั้นการสั่งก๊าซเข้ามาจำนวนมากมันมีข้อสงสัยอยู่เยอะ รัฐบาลบอกว่าเอามาใช้ในภาคครัวเรือน แต่หากดูตัวเลขที่ ปตท.ขายก๊าซหุงต้มให้กับภาคครัวเรือน กับจำนวนที่นำเข้าเนี่ย มันไม่สมดุลกัน ต่อให้เอาก๊าซที่ขายโดยบริษัทปิกนิค หรือสยามแก๊สมารวมด้วยก็ยังน้อยกว่าปริมาณที่นำเข้า ก๊าซส่วนหนึ่งส่งขายไปต่างประเทศ เช่น เขมร ซึ่งได้ราคาสูงกว่า อีกส่วนนำมาเวียนเทียนเพื่อขอรับส่วนต่างที่รัฐโดย ปตท.จ่ายอุดหนุนให้ตันละ 550 ล้านเหรียญ สมมุติตัวเลขนำเข้าปีละ 1 ล้านตัน แต่ใช้ในประเทศจริงแค่ปีละ 2-3 แสนตัน อีก 8 แสนตันก็กินส่วนต่างกันสบาย ซึ่งส่วนต่างที่ขอรับการอุดหนุนมันมหาศาล นำเข้าปีล ะ1ล้านตัน ก็ได้ส่วนต่าง 500 ล้านเหรียญต่อปี หรือเท่ากับหมื่นกว่าล้านบาท
ใครอยากได้โควตานำเข้าก็ต้องจ่ายเงินให้ผู้มีอำนาจ ผู้มีอำนาจก็สั่งเปิดโควตาขึ้นมา ซึ่งรัฐมนตรีอาจจะไม่มีปัญญาไปสั่ง เพราะตอนนี้รัฐมนตรีไม่ใหญ่พอ ปตท.ก็จ่ายส่วนต่างให้ ส่วนคนที่จำหน่ายก๊าซก็รับไปในราคาตันละ 350 เหรียญ จากนั้นเอาไปขายต่อให้ใครล่ะ มีรายการมาให้ดูไหม เจ้านี้เอาโควตาไป 500 ตัน 1,000 ตัน 10,000 ตัน คนสั่งนำเข้าก็คือคนที่ใบ ม.7 ซึ่งมีอยู่ไม่กี่เจ้าหรอก นักการเมืองบางคนอยู่กระทรวงพลังงานเดี๋ยวเดียว สร้างโรงแรมได้สบายเลย แล้วเงินพวกนี้ก็จะไปกองอยู่ 2 ที่ คือสิงคโปร์กับฮ่องกง ก๊าซเป็นอะไรที่ตรวจสอบยาก มีถังเข้ามา ในถังมีก๊าซหรือเปล่าก็ไม่รู้ รัฐบาลและผู้มีอำนาจถึงบอกว่าต้องซับซิไดซ์หรือจ่ายเงินอุดหนุนตลอด โดยอ้างว่าเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ก๊าซราคาถูก ” เอกยุทธ กล่าว
เพื่อไทยดาหน้าดิสเครดิต
อย่างไรก็ดี หลังจากที่มงคลกิตติ์ออกมาเปิดโปงการไซฟ่อนเงินของนักการเมืองในรัฐบาลเพื่อไทย นายมงคลกิตติ์ และเครือข่ายภาคีต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติ (ภตช.) ก็ถูกโต้กลับจากบรรดาลิ่วล้อเครือข่ายทักษิณอย่างทันทีทันควัน บ้างก็ดิสเครดิตว่ามีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง เนื่องจากมีชื่อของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ฉายาซีไอเอเมืองไทย เป็นที่ปรึกษา ภตช.
อีกทั้งที่ผ่านมามงคลกิตติ์ในนามของ เลขา ภตช.ได้มีการเคลื่อนไหวจัดการกับเครือข่ายระบอบทักษิณมาหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นการกดดันให้สภาผู้แทนราษฎรเรียกคืนเงินเดือนจากนายจตุพร พรหมพันธ์ หลังพ้นเก้าอี้ ส.ส. , ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจราชการให้ตรวจสอบพฤติกรรมของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในกรณีเดินทางไปพบ 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' หรือกรณีที่เขานำมวลชนไปประท้วงที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ไม่ดำเนินการระงับการเดินทางออกนอกประเทศ ของ นางฐิตินันท์ จันทรานนท์ ซึ่งกระทำการอันมิบังควรหน้าศาลรัฐธรรมนูญ
ล่าสุดถึงขั้นที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ รักษาการโฆษกเพื่อไทย ทำหน้ามึนเข้ายื่นหนังสือต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ให้ดำเนินการตรวจสอบ ซึ่งหลายคนก็คงนั่งหัวเร่อกันงอหาย ที่อยู่ๆการออกมาเปิดโปงการทุจริตของนักการเมืองในรัฐบาลเพื่อไทย จะกลายเป็น 'คดีพิเศษ' ที่ดีเอสไอต้องลงไปตรวจสอบ
แต่นายมงคลกิตติ์ก็หาได้หวั่นเกรง แต่กลับเดินหน้าจัดการกับขบวนการทุจริตเหล่านี้อย่างจริงจัง โดยล่าสุด เลขา ภตช.พร้อมคณะ ก็ได้เข้าให้ข้อมูลต่อกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว ส่งผลให้ทางกรรมาธิการฯได้ตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมา 4 คณะ เพื่อดำเนินการตรวจสอบใน 4 ประเด็น คือ 1) การทุจริตงบประมาณในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ได้เบิกจ่ายไปแล้ว 1.2 แสนล้านบาท 2.) โครงการรับจำนำข้าว 3) การทุจริตของอาชีวะ (ซึ่งตอนนี้เงินจากการทุจริตถูกโยกไปอยู่ที่ปารีสแล้ว) และ 4.การนำเข้ารถยนต์หรู ย้อนหลังเป็นเวลา 5 ปี โดยจะมีการเรียกข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และเอกชนที่ทำสัญญากับรัฐ
และจากนี้ ภตช.ก็จะส่งทีมงานลงพื้นที่ฮ่องกง เกาลูน และมาเก๊า เพื่อหาข้อมูลหลักฐาน ประสานเครือข่ายที่ทำธุรกิจโรงแรมและเป็นบริษัททัวร์เพื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวของนักการเมือง ข้าราชการ และกลุ่มนอมินี พร้อมทั้งยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าตรวจสอบในเรื่องนี้ ซึ่งหากดีเอสไอไม่ดำเนินการ ทาง ภตช.ก็จะยื่นฟ้องนายธาริต แพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
“เนื่องจากเราเป็นเครือข่ายภาคประชาชน จึงไม่มีอำนาจหน้าที่ไปเรียกข้อมูลจากรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องอาศัยอำนาจของกรรมาธิการสอบทุจริตฯ ของวุฒิสภา ซึ่งไม่ว่าจะเป็นบริษัทเอกชนที่รับขุดลอกคลองจากรัฐ ข้าราชการ หรือนักการเมืองที่เกี่ยวข้องก็ไม่สามารถปฏิเสธการเปิดเผยข้อมูลได้ ถ้าโปรงใสจริง ทั้งพยานบุคคลและเอกสารมันต้องตรงกัน ใครโกงใครกินเดี๋ยวก็รู้ แล้วถ้ามีข้อมูลชัดเจนทาง ภตช.หรือกรรมาธิการฯก็สามาระดำเนินการเอาผิดกับคนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตได้” นายมงคลกิตติ์ กล่าวด้วยความมั่นใจ
งานนี้คงต้องจับตาดูชนิด 'ห้ามกระพริบตา' ว่าบรรดานักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่นจะสามารถรอดพ้นเงื้อมมือกฎหมายไปได้อีกหรือไม่ และจะรับมืออย่างไรกับกระแสกดดันจากสังคม