หลังจากที่องค์การนาซ่าทำท่างอน และประกาศถอนตัวไม่ต้องการที่จะมาตั้งฐานวิจัยในประเทศไทย ณ ฐานทัพเรืออู่ตะเภา เมื่อประชาชนคนไทยออกมาประกาศประท้วงแบบอุ่นหนาฝาคั่งเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว และได้เกิดปรากฏการณ์การขายชาติขายแผ่นดิน เมื่อทักษิณเดินทางไปสหรัฐฯ หลังจากนั้นทันที โดยอ้างว่ามีการเชิญให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในห้วงการสลายมวลชนเดือนพฤษภาคม 2553 ที่อื้อฉาวของคนเสื้อแดง ที่อุดมไปด้วยคนแต่งชุดดำและพกพาอาวุธร้ายแรงเข้าปะปนกับมวลชนจัดตั้งประท้วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จนเกิดการใช้กำลังต่อสู้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหาร ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ใช้อำนาจ พ.ร.ก.การบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 แต่ทหารกลับถูกถล่มด้วยระเบิด M-79 และระเบิดอื่นๆ เสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บมากกว่า 300 คน ตลอดจนมีบันทึกคลิปวิดีโอการทำร้ายทหารที่บาดเจ็บ และปิดกั้นมิให้ทหารที่บาดเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล จนเจ้าหน้าที่มูลนิธิช่วยเหลือสังคมหลายองค์กร ต้องกราบไหว้ร้องขอการ์ดคนเสื้อแดง ให้อนุญาตเอารถพยาบาลหรือรถบรรทุกเล็กเข้าไปขนทหารบาดเจ็บนำส่งโรงพยาบาล
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวาระและหลายกรณีในห้วงต้นเดือนพฤษภาคม 2553 ที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงด้วยกำลังพลติดอาวุธในยุทธศาสตร์แก้วสามประการของทักษิณนั้น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขณะที่เป็นหนึ่งในกรรมการ ศอฉ. ที่กรมทหารราบที่ 11 บางเขน ได้ออกแถลงการณ์อันมีหลักฐานพยานเด่นชัดว่า นายธาริต ใช้คำในคลิปว่า “เป็นการก่อการร้าย” “มีการยึดอาวุธของทหาร” “มีการใช้อาวุธต่อทหาร” พร้อมทั้งแถลงว่ามีการจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล ดาราแดงผู้ต้องหาว่ากระทำการก่อการร้ายและ DSI กันตัวไว้เป็นพยานจนทะเลาะกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ชนิดลากไส้ด่ากันและสับกันยับ
ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์การยั่วยุและใช้กำลังอาวุธร้ายแรงของฝ่ายกลุ่มเสื้อแดงและมือปืนมือระเบิดในชุดอ้ายโม่งดำ ต่อประชาชนและทหารที่รับคำสั่งให้ปฏิบัติตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวมทั้งมีคลิปการให้สัมภาษณ์ของ เสธ.แดง กรณีไปพบกับทักษิณที่ดูไบ เพื่อให้ทักษิณตัดสินใจว่าใครคือผู้นำคนเสื้อแดงในการประท้วง ซึ่ง เสธ.แดง ก็สารภาพว่าทักษิณได้มอบเอกภาพการบังคับบัญชาเชิงมหภาคทั้งหมดให้กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ทำให้ เสธ.แดง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกองกำลังติดอาวุธเท่านั้น และต้องติดกับกับกรรมของตัวเอง ถูกสังหารในห้วงสุดท้ายของการประท้วง แบบไร้สันติของคนเสื้อแดงเอง
ทักษิณจึงเดินทางทันทีไปพบนายสตีเฟ่น เพนน์ ซึ่งเป็นล็อบบี้ยิสต์แห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ในสายเหยี่ยวพรรครีพับลิกัน ค่ายตระกูลบุชแห่งเท็กซัส และได้ร่วมกินข้าวกลางวันกันที่เมืองฮุสตัน ซึ่งการกินข้าวนั้นหมายถึงการเจรจาเสนอขายอู่ตะเภาให้กับสหรัฐฯ โดยมีเงื่อนไขต่อรองให้สหรัฐฯ สนับสนุนในการล้างมลทิน และยกย่องทักษิณในฐานะผู้นำประชาธิปไตยบริสุทธิ์แห่งประเทศไทย ซึ่งพาดพิงถึงการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมทั้งให้รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันกลุ่มประเทศต่างๆ ให้สนับสนุนทักษิณ โดยเฉพาะให้รัฐบาลอังกฤษ คืนเงินที่อายัดไว้จำนวนมหาศาล
เมื่อการขออนุญาตตั้งฐานทัพปฏิบัติการเพื่อมนุษยชาติขององค์การนาซ่าครั้งแรก 2012 นั้นล้มเหลว ขณะที่นายมิตต์ รอมนีย์ คู่แข่งลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีของประธานาธิบดีโอบามา ได้ประกาศนโยบายสัมพันธ์เฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบันด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว และกล่าวหาว่าจีนคุมค่าเงินหยวนไม่ให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐฯ หลายประการ จีนเป็นชาติที่คุกคามและเจาะข้อมูลทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรืออีกนัยหนึ่งทำสงครามสารสนเทศกับสหรัฐฯ โดยตรง
ตามที่ผู้เขียนได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่า สหรัฐฯ ต้องการอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เพื่อปิดล้อมจีน หรือ Containment Strategy นั้น ไม่ชัดเจนเท่ากับการที่นายมิตต์ รอมนีย์ แห่งพรรครีพับลิกัน ได้แสดงท่าทีและสำแดงแนวคิดเชิงปิดล้อมจีน โดยอ้างว่า “ประธานาธิบดีโอบามา ประสบความล้มเหลวในการกดดันจีนตั้งแต่เริ่มเข้ามามีอำนาจบริหาร แต่ถ้าหากเป็นเขาในฐานะประธานาธิบดีแล้ว เขาจะจัดการกับจีนทันทีตั้งแต่วันแรก ให้จีนเปลี่ยนนโยบายเงินตรา และห้ามจีนขายของถูกกว่าความเป็นจริง ด้วยการเพิ่มค่าเงินหยวน เพื่อทำให้สินค้าจากจีนราคาแพงขึ้น เพื่อยุติสงครามตัดราคา”
เป็นที่รู้กันว่าพวกหัวอนุรักษนิยมใหม่ในพรรครีพับลิกัน พยายามที่จะกดดันให้พรรครีพับลิกันส่งบุคคลที่กล้าหาญชาญชัยกับจีน และกลุ่มสายเหยี่ยวในพรรครีพับลิกัน ได้แก่กลุ่มตระกูลบุช และเชนนี ซึ่งพยายามที่จะกดดันจีนให้ยอมเพิ่มค่าเงินหยวน และใช้กลยุทธ์สงครามเศรษฐกิจคว่ำบาตรจีน ด้วยการระงับการขายสินค้าบางประเภทกับจีน แต่ก็ล้มเหลวมากว่าทศวรรษแล้วเพราะจีนผลิตเองหรือซื้อสินค้าทดแทนหรือคล้ายๆ กันจากที่อื่น
จีนสามารถประยุกต์ใช้นโยบายการค้าเสรีได้อย่างดีเยี่ยมตามหลักการขององค์การการค้าโลก โดยที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าของปรัชญา “การค้าเสรี” ก็ต้องรับกรรม เพราะไม่สามารถปิดกั้นสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนได้ ทั้งๆ ที่พยายามหาจุดอ่อนและทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคว่า “สินค้าจากจีนไร้คุณภาพ และเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม” ขณะที่จีนลงโทษผู้ส่งออกที่ทำลายภาพลักษณ์ของจีนอย่างรุนแรง เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่ารัฐบาลจีนรักษาคุณภาพสินค้าอย่างเอาจริงเอาจังและสมบูรณ์แบบ ตามมาตรฐานสหรัฐฯ และสากล
ส่วนสมาชิกวุฒิสภานายมิตต์ รอมนีย์ ได้เชิญชวนให้มิตรประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการกดดันจีนในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ในการทำสงครามเศรษฐกิจกับจีน อันเป็นยุทธศษสตร์การปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจ
แต่การที่สหรัฐฯ กลับลำจากการงอนประเทศไทย ด้วยท่าทีที่ว่า “ไม่เอาอู่ตะเภาก็ได้” แต่แอบกดดันรัฐบาลไทยให้นำเรื่องนี้เข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ดูเหมือนว่า “ผ่านขบวนการประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นกลการเมืองที่สหรัฐฯ ถนัด และให้ประชาคมโลกมองว่า “รัฐสภาไทยเห็นด้วยตามหลักประชาธิปไตย และอนุญาตให้สหรัฐฯ ตั้งฐานปฏิบัติการนาซ่าได้อย่างเป็นเอกฉันท์”
ตรงนี้คือประเด็นว่า การทำสงครามนั้นจะต้องได้เปรียบทุกมิติแนวรบ สงครามมีหลายมิติและรูปแบบก่อนที่จะถึงสงครามร้อน หรืออาจจะพูดได้ว่าสงครามร้อนมีเพียงสงครามเดียว คือ การใช้กำลังรบเข้าประหัตประหารกันแบบล้างผลาญ แต่สงครามเย็นมีหลายมิติรูปแบบ เช่น สงครามการเมืองระหว่างประเทศ สงครามการค้า เศรษฐกิจและการเงิน สงครามวัฒนธรรม สงครามสารสนเทศ และสงครามนวัตกรรมปฏิวัติกิจการทางทหาร
อู่ตะเภาสามารถเป็นฐานทัพทางสงครามเย็นได้ดีเยี่ยม เพื่อการเตรียมการสู่สงครามร้อนหากเกิดขึ้น อู่ตะเภาเป็นฐานทัพอากาศสงครามยุทธศาสตร์ในยุคสงครามเย็นครั้งที่ 1 และเป็นที่ตั้งกองบินทิ้งระเบิด B-52 ในยุคสงครามเวียดนาม และส่วนสำคัญในการปิดล้อมจีนยุคสงครามเย็นครั้งที่ 1 นั้น ได้แก่ฐานทัพอากาศที่อู่ตะเภา บินไปทิ้งระเบิดแหล่งอุตสาหกรรม ชุมทางคมนาคมในเวียดนามเหนือ และทิ้งระเบิดตลอดแนวเส้นทางโฮจิมินห์ เป็นเส้นทางที่เวียดนามเหนือส่งกำลังบำรุง ส่งพลพรรคเวียดกงทำสงครามปลดแอกในอดีตเวียดนามใต้
อู่ตะเภาถูกสร้างในปี พ.ศ. 2504 และสหรัฐฯ ปรับปรุงในปี พ.ศ. 2508 ให้มีทางวิ่งที่ยาว 10,515 ฟุตและกว้าง 180 ฟุต มีลานจอดเครื่องบินที่ใหญ่มาก 432,200 ตารางเมตร แต่ที่สำคัญใต้ดินบริเวณลานจอดเครื่องบินนั้น เป็นถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใหญ่โตมากจุ 1,620,000 ลิตร มีระบบการเติมเชื้อเพลิงจากใต้ดินด้วยแรงดัน 1,400 ลิตร/นาที ทำให้ลดเวลาในการเติมเชื้อเพลิงจากรถบรรทุกน้ำมัน เพราะเครื่องบินทิ้งระเบิดใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาก และใช้เวลานานในการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละครั้ง
อู่ตะเภาเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถออกปฏิบัติการทางอากาศได้ทุกทิศทางและทุกมิติ จึงเป็นฐานทัพที่เหมาะสมยิ่งเชิงยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน กดดันจีน สกัดกั้น และควบคุมเส้นเดินเรือและการส่งกำลังน้ำมันเชื้อเพลิงจากตะวันออกกลางสู่แผ่นดินใหญ่จีน รวมทั้งควบคุมเส้นทางเดินเรือของจีนสู่มหาสมุทรอินเดีย และแอตแลนติกได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นฐานทัพอากาศยุทธศาสตร์ปีกด้านใต้ที่สามารถบินไปโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์และทางทหารของจีนทุกเป้าหมายได้ภายในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง
ในเชิงสงครามปฏิวัตินวัตกรรมในกิจการทางทหาร (Revolution Innovation in Military Affairs) นั้น สหรัฐฯ มีสำนักงานใหญ่ HAARP อยู่ที่ อลาสกา เรียกว่าศูนย์วิจัยคลื่นความถี่ระดับสูงในชั้นบรรยากาศ หรือ High Frequency Active Auroral Research Program-HAARP ด้วยทุนการวิจัยจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ มหาวิทยาลัยอลาสกา และสำนักงานวิจัยทางการทหาร
HAARP เป็นโครงการวิจัยเกี่ยวกับอิทธิพลต่างๆ ในชั้นอวกาศระดับไอโอโนสเฟียร์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารโทรคมนาคม และการเฝ้าตรวจและลาดตระเวนจากชั้นอวกาศที่ระดับไอโอโนสเฟียร์ เพื่อประโยชน์ทางทหารเป็นหลัก แต่กระแสข่าวลือเกี่ยวกับ HAARP ในแง่ลบต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการสร้างภัยธรรมชาติในชั้นบรรยากาศระดับไอโอโนสเฟียร์ โดยนักวิทยาศาสตร์อเมริกันชื่อ เดวิด ไนดิช (David Naiditch) ได้พูดถึง HAARP ว่า “วัตถุประสงค์ของโครงการนี้เป็นปริศนาที่ลึกซึ้ง และไม่มีในเชิงรูปแบบของวิทยาศาสตร์เพื่อมนุษยชาติเลย” แต่บันทึกโครงการเพื่อของบประมาณบ่งว่า “จากการควบคุมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในชั้นไอโอโนสเฟียร์จะเพิ่มขีดความสามารถ ให้สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์และต่อเนื่องในด้านโทรคมนาคม การนำร่อง และความถูกต้องอย่างสมบูรณ์แบบในระบบการนำร่องด้วย GPS ที่ก้าวหน้าสูงสุดทั้งในอวกาศ พื้นดิน และใต้น้ำ”
HAARP จึงเป็นโครงการวิจัยทางทหารที่องค์การนาซ่า สามารถใช้ทรัพยากรบุคคลในการวิจัยได้ดีกว่ากองทัพ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนหน้าที่ตามลักษณะของทหาร ที่มีการโยกย้ายรับตำแหน่งใหม่ๆ เสมอ จึงไม่สามารถทำงานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง
การที่นาซ่าอ้างว่าเป็นการวิจัยเพื่อศึกษาภูมิอากาศ และการป้องกันวาตภัยและอุทกภัยเพื่อมนุษยชาติ จึงเป็นเรื่องโกหกและแอบอ้างแต่เป็นการปฏิบัติการเพื่อประโยชน์ทางการทหาร ซึ่งเราเรียกว่าสงครามการปฏิวัตินวัตกรรมในกิจการทหาร
โครงการ HAARP เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1993 และสำเร็จเสร็จสิ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 2007 และสามารถประยุกต์ในการควบคุมโทรคมนาคม การจัดการคลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า และการควบคุมผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กบนผิวโลก โดยการจัดการจากบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์
ปฏิบัติการ HAARP เป็นการปฏิบัติการทางทหารด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ที่จะข่มขู่คู่อริศัตรูได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะการทำลายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อการโทรคมนาคม การนำร่องด้วย GPS และปฏิบัติการทางอวกาศ หรือตามข่าวลือว่า HAARP สามารถควบคุมสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากอุณหภูมิและความหนาแน่นของอากาศในชั้นบรรยากาศ อันเป็นอิทธิพลสร้างสภาพภูมิอากาศบนผิวโลกได้ เช่น การบังคับให้เกิดพายุได้ การสร้างภัยแล้งได้ หรือการสร้างพายุหิมะได้
เราจึงอนุมานได้ว่าสหรัฐฯ กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนในสงครามเย็นยุคที่ 2 อย่างแน่นอน เพราะว่าสหรัฐฯ สามารถที่จะใช้ฐานทัพอากาศแอนเดอร์สันที่เกาะกวม หรือฐานทัพในเกาะมิดเวย์ หรือฐานทัพในหมู่เกาะเวก ซึ่งเป็นตำบลที่ไต้ฝุ่นก่อกำเนิด และเคยเป็นศูนย์ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ใต้สมุทรมาแล้ว
โดยเฉพาะเกาะกวม ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก และอยู่บนเส้นแลตติจูด 13.2 องศาเหนือ และอยู่ในแนวเดียวกันกับไทย และฟิลิปปินส์ เป็นฐานทัพอากาศที่ตั้งกองบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ที่ประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-1, B-2 และ B-52 ประจำการที่นั่น และเป็นเกาะอยู่ในล่องภูมิอากาศที่เกิดพายุไต้ฝุ่นเช่นเดียวกันกับหมู่เกาะเวก
นี่คือคำถามที่คนไทยต้องถามสหรัฐฯ ว่าทำไมไม่ไปตั้งฐานปฏิบัติการวิจัยภูมิอากาศและภัยธรรมชาติเพื่อมนุษยชาติที่เกาะกวม เกาะมิดเวย์ หรือหมู่เกาะเวก ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ เองไม่ต้องขออนุญาตใคร มีฐานทัพอากาศและฐานทัพเรืออยู่แล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีความเจริญดีกว่าพัทยา และเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นและคนอเมริกันนิยมไปเที่ยว
คำถามเหล่านี้ควรจะเป็นคำถามที่นักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรควรจะตั้งกระทู้ถามสหรัฐฯ ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และที่ไม่ถามกันเพราะความรู้น้อย หรือแกล้งโง่คนไทยทั้งประเทศไม่รู้ว่านักการเมืองไทยจะด้อยปัญญาขนาดนี้ แต่สาธารณชนคนไทยสามารถตั้งกระทู้ถามสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ว่า “ทำไมสหรัฐฯ ไม่ใช้เกาะกวม เกาะมิดเวย์ หรือหมู่เกาะเวก เป็นฐานปฏิบัติการของนาซ่า” และประชาชนสหรัฐฯ คิดอย่างไร กับแนวคิดการปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจและการค้า รวมถึงการปิดล้อมจีนด้วยแสนยานุภาพทางทหารของมิตต์ รอมนี่ย์ เพราะเป็นการกระตุ้นจีนให้ก้าวร้าวมากขึ้น พัฒนาและสะสมอาวุธเร็วและมากขึ้น ตลอดจนจีนสามารถอ้างเป็นเหตุผลในการขยายอิทธิพลทางทหารในภูมิภาคเอเชีย และทำให้บรรยากาศสันติสุขในภูมิภาคจางหายไปด้วยอย่างแน่นอน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายวาระและหลายกรณีในห้วงต้นเดือนพฤษภาคม 2553 ที่เกิดเหตุการณ์รุนแรงด้วยกำลังพลติดอาวุธในยุทธศาสตร์แก้วสามประการของทักษิณนั้น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขณะที่เป็นหนึ่งในกรรมการ ศอฉ. ที่กรมทหารราบที่ 11 บางเขน ได้ออกแถลงการณ์อันมีหลักฐานพยานเด่นชัดว่า นายธาริต ใช้คำในคลิปว่า “เป็นการก่อการร้าย” “มีการยึดอาวุธของทหาร” “มีการใช้อาวุธต่อทหาร” พร้อมทั้งแถลงว่ามีการจับกุมนายเมธี อมรวุฒิกุล ดาราแดงผู้ต้องหาว่ากระทำการก่อการร้ายและ DSI กันตัวไว้เป็นพยานจนทะเลาะกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ชนิดลากไส้ด่ากันและสับกันยับ
ส่วนหนึ่งของเหตุการณ์การยั่วยุและใช้กำลังอาวุธร้ายแรงของฝ่ายกลุ่มเสื้อแดงและมือปืนมือระเบิดในชุดอ้ายโม่งดำ ต่อประชาชนและทหารที่รับคำสั่งให้ปฏิบัติตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวมทั้งมีคลิปการให้สัมภาษณ์ของ เสธ.แดง กรณีไปพบกับทักษิณที่ดูไบ เพื่อให้ทักษิณตัดสินใจว่าใครคือผู้นำคนเสื้อแดงในการประท้วง ซึ่ง เสธ.แดง ก็สารภาพว่าทักษิณได้มอบเอกภาพการบังคับบัญชาเชิงมหภาคทั้งหมดให้กับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ทำให้ เสธ.แดง เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกองกำลังติดอาวุธเท่านั้น และต้องติดกับกับกรรมของตัวเอง ถูกสังหารในห้วงสุดท้ายของการประท้วง แบบไร้สันติของคนเสื้อแดงเอง
ทักษิณจึงเดินทางทันทีไปพบนายสตีเฟ่น เพนน์ ซึ่งเป็นล็อบบี้ยิสต์แห่งวุฒิสภาสหรัฐฯ ในสายเหยี่ยวพรรครีพับลิกัน ค่ายตระกูลบุชแห่งเท็กซัส และได้ร่วมกินข้าวกลางวันกันที่เมืองฮุสตัน ซึ่งการกินข้าวนั้นหมายถึงการเจรจาเสนอขายอู่ตะเภาให้กับสหรัฐฯ โดยมีเงื่อนไขต่อรองให้สหรัฐฯ สนับสนุนในการล้างมลทิน และยกย่องทักษิณในฐานะผู้นำประชาธิปไตยบริสุทธิ์แห่งประเทศไทย ซึ่งพาดพิงถึงการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมทั้งให้รัฐบาลสหรัฐฯ กดดันกลุ่มประเทศต่างๆ ให้สนับสนุนทักษิณ โดยเฉพาะให้รัฐบาลอังกฤษ คืนเงินที่อายัดไว้จำนวนมหาศาล
เมื่อการขออนุญาตตั้งฐานทัพปฏิบัติการเพื่อมนุษยชาติขององค์การนาซ่าครั้งแรก 2012 นั้นล้มเหลว ขณะที่นายมิตต์ รอมนีย์ คู่แข่งลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีของประธานาธิบดีโอบามา ได้ประกาศนโยบายสัมพันธ์เฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ตั้งแต่เดือนสิงหาคมจนถึงปัจจุบันด้วยท่าทีที่แข็งกร้าว และกล่าวหาว่าจีนคุมค่าเงินหยวนไม่ให้เป็นไปตามกลไกตลาด ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐฯ หลายประการ จีนเป็นชาติที่คุกคามและเจาะข้อมูลทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรืออีกนัยหนึ่งทำสงครามสารสนเทศกับสหรัฐฯ โดยตรง
ตามที่ผู้เขียนได้เคยวิเคราะห์ไว้แล้วว่า สหรัฐฯ ต้องการอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เพื่อปิดล้อมจีน หรือ Containment Strategy นั้น ไม่ชัดเจนเท่ากับการที่นายมิตต์ รอมนีย์ แห่งพรรครีพับลิกัน ได้แสดงท่าทีและสำแดงแนวคิดเชิงปิดล้อมจีน โดยอ้างว่า “ประธานาธิบดีโอบามา ประสบความล้มเหลวในการกดดันจีนตั้งแต่เริ่มเข้ามามีอำนาจบริหาร แต่ถ้าหากเป็นเขาในฐานะประธานาธิบดีแล้ว เขาจะจัดการกับจีนทันทีตั้งแต่วันแรก ให้จีนเปลี่ยนนโยบายเงินตรา และห้ามจีนขายของถูกกว่าความเป็นจริง ด้วยการเพิ่มค่าเงินหยวน เพื่อทำให้สินค้าจากจีนราคาแพงขึ้น เพื่อยุติสงครามตัดราคา”
เป็นที่รู้กันว่าพวกหัวอนุรักษนิยมใหม่ในพรรครีพับลิกัน พยายามที่จะกดดันให้พรรครีพับลิกันส่งบุคคลที่กล้าหาญชาญชัยกับจีน และกลุ่มสายเหยี่ยวในพรรครีพับลิกัน ได้แก่กลุ่มตระกูลบุช และเชนนี ซึ่งพยายามที่จะกดดันจีนให้ยอมเพิ่มค่าเงินหยวน และใช้กลยุทธ์สงครามเศรษฐกิจคว่ำบาตรจีน ด้วยการระงับการขายสินค้าบางประเภทกับจีน แต่ก็ล้มเหลวมากว่าทศวรรษแล้วเพราะจีนผลิตเองหรือซื้อสินค้าทดแทนหรือคล้ายๆ กันจากที่อื่น
จีนสามารถประยุกต์ใช้นโยบายการค้าเสรีได้อย่างดีเยี่ยมตามหลักการขององค์การการค้าโลก โดยที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นเจ้าของปรัชญา “การค้าเสรี” ก็ต้องรับกรรม เพราะไม่สามารถปิดกั้นสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีนได้ ทั้งๆ ที่พยายามหาจุดอ่อนและทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภคว่า “สินค้าจากจีนไร้คุณภาพ และเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม” ขณะที่จีนลงโทษผู้ส่งออกที่ทำลายภาพลักษณ์ของจีนอย่างรุนแรง เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่ารัฐบาลจีนรักษาคุณภาพสินค้าอย่างเอาจริงเอาจังและสมบูรณ์แบบ ตามมาตรฐานสหรัฐฯ และสากล
ส่วนสมาชิกวุฒิสภานายมิตต์ รอมนีย์ ได้เชิญชวนให้มิตรประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการกดดันจีนในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน และเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ ในการทำสงครามเศรษฐกิจกับจีน อันเป็นยุทธศษสตร์การปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจ
แต่การที่สหรัฐฯ กลับลำจากการงอนประเทศไทย ด้วยท่าทีที่ว่า “ไม่เอาอู่ตะเภาก็ได้” แต่แอบกดดันรัฐบาลไทยให้นำเรื่องนี้เข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ดูเหมือนว่า “ผ่านขบวนการประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นกลการเมืองที่สหรัฐฯ ถนัด และให้ประชาคมโลกมองว่า “รัฐสภาไทยเห็นด้วยตามหลักประชาธิปไตย และอนุญาตให้สหรัฐฯ ตั้งฐานปฏิบัติการนาซ่าได้อย่างเป็นเอกฉันท์”
ตรงนี้คือประเด็นว่า การทำสงครามนั้นจะต้องได้เปรียบทุกมิติแนวรบ สงครามมีหลายมิติและรูปแบบก่อนที่จะถึงสงครามร้อน หรืออาจจะพูดได้ว่าสงครามร้อนมีเพียงสงครามเดียว คือ การใช้กำลังรบเข้าประหัตประหารกันแบบล้างผลาญ แต่สงครามเย็นมีหลายมิติรูปแบบ เช่น สงครามการเมืองระหว่างประเทศ สงครามการค้า เศรษฐกิจและการเงิน สงครามวัฒนธรรม สงครามสารสนเทศ และสงครามนวัตกรรมปฏิวัติกิจการทางทหาร
อู่ตะเภาสามารถเป็นฐานทัพทางสงครามเย็นได้ดีเยี่ยม เพื่อการเตรียมการสู่สงครามร้อนหากเกิดขึ้น อู่ตะเภาเป็นฐานทัพอากาศสงครามยุทธศาสตร์ในยุคสงครามเย็นครั้งที่ 1 และเป็นที่ตั้งกองบินทิ้งระเบิด B-52 ในยุคสงครามเวียดนาม และส่วนสำคัญในการปิดล้อมจีนยุคสงครามเย็นครั้งที่ 1 นั้น ได้แก่ฐานทัพอากาศที่อู่ตะเภา บินไปทิ้งระเบิดแหล่งอุตสาหกรรม ชุมทางคมนาคมในเวียดนามเหนือ และทิ้งระเบิดตลอดแนวเส้นทางโฮจิมินห์ เป็นเส้นทางที่เวียดนามเหนือส่งกำลังบำรุง ส่งพลพรรคเวียดกงทำสงครามปลดแอกในอดีตเวียดนามใต้
อู่ตะเภาถูกสร้างในปี พ.ศ. 2504 และสหรัฐฯ ปรับปรุงในปี พ.ศ. 2508 ให้มีทางวิ่งที่ยาว 10,515 ฟุตและกว้าง 180 ฟุต มีลานจอดเครื่องบินที่ใหญ่มาก 432,200 ตารางเมตร แต่ที่สำคัญใต้ดินบริเวณลานจอดเครื่องบินนั้น เป็นถังเก็บน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใหญ่โตมากจุ 1,620,000 ลิตร มีระบบการเติมเชื้อเพลิงจากใต้ดินด้วยแรงดัน 1,400 ลิตร/นาที ทำให้ลดเวลาในการเติมเชื้อเพลิงจากรถบรรทุกน้ำมัน เพราะเครื่องบินทิ้งระเบิดใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมาก และใช้เวลานานในการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละครั้ง
อู่ตะเภาเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถออกปฏิบัติการทางอากาศได้ทุกทิศทางและทุกมิติ จึงเป็นฐานทัพที่เหมาะสมยิ่งเชิงยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีน กดดันจีน สกัดกั้น และควบคุมเส้นเดินเรือและการส่งกำลังน้ำมันเชื้อเพลิงจากตะวันออกกลางสู่แผ่นดินใหญ่จีน รวมทั้งควบคุมเส้นทางเดินเรือของจีนสู่มหาสมุทรอินเดีย และแอตแลนติกได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นฐานทัพอากาศยุทธศาสตร์ปีกด้านใต้ที่สามารถบินไปโจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์และทางทหารของจีนทุกเป้าหมายได้ภายในเวลาไม่ถึง 4 ชั่วโมง
ในเชิงสงครามปฏิวัตินวัตกรรมในกิจการทางทหาร (Revolution Innovation in Military Affairs) นั้น สหรัฐฯ มีสำนักงานใหญ่ HAARP อยู่ที่ อลาสกา เรียกว่าศูนย์วิจัยคลื่นความถี่ระดับสูงในชั้นบรรยากาศ หรือ High Frequency Active Auroral Research Program-HAARP ด้วยทุนการวิจัยจากกองทัพอากาศสหรัฐฯ มหาวิทยาลัยอลาสกา และสำนักงานวิจัยทางการทหาร
HAARP เป็นโครงการวิจัยเกี่ยวกับอิทธิพลต่างๆ ในชั้นอวกาศระดับไอโอโนสเฟียร์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารโทรคมนาคม และการเฝ้าตรวจและลาดตระเวนจากชั้นอวกาศที่ระดับไอโอโนสเฟียร์ เพื่อประโยชน์ทางทหารเป็นหลัก แต่กระแสข่าวลือเกี่ยวกับ HAARP ในแง่ลบต่างๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการสร้างภัยธรรมชาติในชั้นบรรยากาศระดับไอโอโนสเฟียร์ โดยนักวิทยาศาสตร์อเมริกันชื่อ เดวิด ไนดิช (David Naiditch) ได้พูดถึง HAARP ว่า “วัตถุประสงค์ของโครงการนี้เป็นปริศนาที่ลึกซึ้ง และไม่มีในเชิงรูปแบบของวิทยาศาสตร์เพื่อมนุษยชาติเลย” แต่บันทึกโครงการเพื่อของบประมาณบ่งว่า “จากการควบคุมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในชั้นไอโอโนสเฟียร์จะเพิ่มขีดความสามารถ ให้สามารถติดต่อสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์และต่อเนื่องในด้านโทรคมนาคม การนำร่อง และความถูกต้องอย่างสมบูรณ์แบบในระบบการนำร่องด้วย GPS ที่ก้าวหน้าสูงสุดทั้งในอวกาศ พื้นดิน และใต้น้ำ”
HAARP จึงเป็นโครงการวิจัยทางทหารที่องค์การนาซ่า สามารถใช้ทรัพยากรบุคคลในการวิจัยได้ดีกว่ากองทัพ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ไม่ต้องปรับเปลี่ยนหน้าที่ตามลักษณะของทหาร ที่มีการโยกย้ายรับตำแหน่งใหม่ๆ เสมอ จึงไม่สามารถทำงานวิจัยได้อย่างต่อเนื่อง
การที่นาซ่าอ้างว่าเป็นการวิจัยเพื่อศึกษาภูมิอากาศ และการป้องกันวาตภัยและอุทกภัยเพื่อมนุษยชาติ จึงเป็นเรื่องโกหกและแอบอ้างแต่เป็นการปฏิบัติการเพื่อประโยชน์ทางการทหาร ซึ่งเราเรียกว่าสงครามการปฏิวัตินวัตกรรมในกิจการทหาร
โครงการ HAARP เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1993 และสำเร็จเสร็จสิ้นมาตั้งแต่ ค.ศ. 2007 และสามารถประยุกต์ในการควบคุมโทรคมนาคม การจัดการคลื่นกระแสแม่เหล็กไฟฟ้า และการควบคุมผลกระทบต่อสนามแม่เหล็กบนผิวโลก โดยการจัดการจากบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์
ปฏิบัติการ HAARP เป็นการปฏิบัติการทางทหารด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ที่จะข่มขู่คู่อริศัตรูได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะการทำลายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อการโทรคมนาคม การนำร่องด้วย GPS และปฏิบัติการทางอวกาศ หรือตามข่าวลือว่า HAARP สามารถควบคุมสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากอุณหภูมิและความหนาแน่นของอากาศในชั้นบรรยากาศ อันเป็นอิทธิพลสร้างสภาพภูมิอากาศบนผิวโลกได้ เช่น การบังคับให้เกิดพายุได้ การสร้างภัยแล้งได้ หรือการสร้างพายุหิมะได้
เราจึงอนุมานได้ว่าสหรัฐฯ กำลังดำเนินยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนในสงครามเย็นยุคที่ 2 อย่างแน่นอน เพราะว่าสหรัฐฯ สามารถที่จะใช้ฐานทัพอากาศแอนเดอร์สันที่เกาะกวม หรือฐานทัพในเกาะมิดเวย์ หรือฐานทัพในหมู่เกาะเวก ซึ่งเป็นตำบลที่ไต้ฝุ่นก่อกำเนิด และเคยเป็นศูนย์ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ใต้สมุทรมาแล้ว
โดยเฉพาะเกาะกวม ซึ่งเป็นเกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก และอยู่บนเส้นแลตติจูด 13.2 องศาเหนือ และอยู่ในแนวเดียวกันกับไทย และฟิลิปปินส์ เป็นฐานทัพอากาศที่ตั้งกองบินทิ้งระเบิดยุทธศาสตร์สหรัฐฯ ที่ประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-1, B-2 และ B-52 ประจำการที่นั่น และเป็นเกาะอยู่ในล่องภูมิอากาศที่เกิดพายุไต้ฝุ่นเช่นเดียวกันกับหมู่เกาะเวก
นี่คือคำถามที่คนไทยต้องถามสหรัฐฯ ว่าทำไมไม่ไปตั้งฐานปฏิบัติการวิจัยภูมิอากาศและภัยธรรมชาติเพื่อมนุษยชาติที่เกาะกวม เกาะมิดเวย์ หรือหมู่เกาะเวก ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐฯ เองไม่ต้องขออนุญาตใคร มีฐานทัพอากาศและฐานทัพเรืออยู่แล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มีความเจริญดีกว่าพัทยา และเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นและคนอเมริกันนิยมไปเที่ยว
คำถามเหล่านี้ควรจะเป็นคำถามที่นักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรควรจะตั้งกระทู้ถามสหรัฐฯ ผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และที่ไม่ถามกันเพราะความรู้น้อย หรือแกล้งโง่คนไทยทั้งประเทศไม่รู้ว่านักการเมืองไทยจะด้อยปัญญาขนาดนี้ แต่สาธารณชนคนไทยสามารถตั้งกระทู้ถามสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ว่า “ทำไมสหรัฐฯ ไม่ใช้เกาะกวม เกาะมิดเวย์ หรือหมู่เกาะเวก เป็นฐานปฏิบัติการของนาซ่า” และประชาชนสหรัฐฯ คิดอย่างไร กับแนวคิดการปิดล้อมจีนทางเศรษฐกิจและการค้า รวมถึงการปิดล้อมจีนด้วยแสนยานุภาพทางทหารของมิตต์ รอมนี่ย์ เพราะเป็นการกระตุ้นจีนให้ก้าวร้าวมากขึ้น พัฒนาและสะสมอาวุธเร็วและมากขึ้น ตลอดจนจีนสามารถอ้างเป็นเหตุผลในการขยายอิทธิพลทางทหารในภูมิภาคเอเชีย และทำให้บรรยากาศสันติสุขในภูมิภาคจางหายไปด้วยอย่างแน่นอน