ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-อื้อฉาวไปทั่ววงการทีเดียว เมื่อพิธีกรข่าวชื่อดัง 'สรยุทธ สุทัศนจินดา' ผู้ดำเนินรายการเรื่องเล่าเช้านี้และอีกหลายรายการของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในฐานะผู้บริหารบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ามีความผิด ฐานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ยักยอกเงินค่าโฆษณาของ อสมท ไปถึง 138 ล้านบาท แต่จนถึงบัดนี้นายสรยุทธก็หาได้แสดงความรับผิดชอบแต่อย่างใด ขณะที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3ก็ไม่สนใจ ยังคงให้นายสรยุทธทำหน้าที่พิธีกรข่าวของ ช่อง 3 ต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
กระทั่งล่าสุดภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น และสถาบันอิศรา อดรนทนไม่ได้ต้องจัดเสวนาในหัวข้อ “กรณีไร่ส้ม...บทพิสูจน์ความเข้มแข็งของสังคมในการต่อสู้คอร์รัปชั่น ” เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของสื่อมวลชนและสังคมไทย
หลายคนตั้งคำถามว่านี่คือยุคเสื่อมของสื่อไทยแล้วหรือย่างไร เหตุใดผู้เกี่ยวข้องจึงนิ่งดูดาย แม้แต่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ซึ่งดูแลสื่อมวลชนสายทีวีก็หาได้มีท่าทีใดๆต่อเรื่องนี้ ?
'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' ได้สัมภาษณ์พูดคุยกับ 'ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล' หนึ่งในกูรูแห่งวงการสื่อสารมวลชนของไทย ถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่ง ดร.สมเกียรติได้ชำแหละถึงปัญหาด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบของสื่อไทย ไว้อย่างถึงพริกถึงขิง ชนิดที่ทั้งพิธีกรข่าวชื่อดังอย่างนายสรยุทธ และนายทุนสื่อของไทยอีกจำนวนไม่น้อยต้องพากันสะดุ้งเป็นแถวเลยทีเดียว
**มองกรณีคุณสรยุทธที่ยักยอกเงินค่าโฆษณา ของ อสมท อย่างไร
กรณีนี้ก็ถือว่าเป็นความผิดตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูล ส่วนคดีจะไปถึงไหนอย่างไรก็เป็นเรื่องระหว่าง อสมท. กับคุณสรยุทธ และ ป.ป.ช. ขณะที่ความผิดในกรณีนี้มี 2 เรื่อง คือ ประการแรกความผิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ซึ่ง ป.ป.ช.มีการชี้มูลว่า บริษัทไร่ส้มมีความผิดฐานทุจริต ยักยอกเงิน ส่วนจะมีบทลงโทษยังไง ก็แล้วแต่คู่กรณี ซึ่งในส่วนนี้คุณสรยุทธก็ต้องรับผิดชอบต่อความผิดนั้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัท ประการที่ 2 คือความผิดในเชิงจรรยาบรรณ ซึ่งคนในวิชาชีพสื่อสารมวลชนต้องมีตรงนี้ ในเมื่อคุณสรยุทธเป็นทั้งนักธุรกิจที่เป็นเจ้าของรายการ ขณะเดียวกันก็เป็นสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่นำเสนอข่าว มันก็แยกลำบาก กรณีของคุณสรยุทธเป็นเรื่องของการทุจริตในการทำธุรกิจ ทำให้แปดเปื้อนต่อจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพด้วย ซึ่งก็อยู่ที่จิตสำนึกของคุณสรยุทธเอง เพราะในฐานะที่เราเป็นสื่อเนี่ยเรามีคดีที่เกี่ยวพันกับการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน ก็ต้องคิดเอาว่าควรจะทำตัวยังไง แต่ในทัศนะของผมนั้นคุณสรยุทธคือสื่อมวลชนที่ทำธุรกิจแล้วมีจุดด่างพร้อย ก็ควรจะยุติการประกอบอาชีพนี้ แล้วไปสู้คดีให้เรียบร้อยก่อน ซึ่งมันไม่ได้มีกฎหมายบังคับหรอก แต่มันเป็นเรื่องของจรรยาบรรณและจริยธรรมของสื่อ
ขณะเดียวกันผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ก็น่าจะคุยกับคุณสรยุทธว่าจะหาทางออกอย่างไร เพราะว่าอาชีพสื่อสารมวลมวลชนคือการผลิตข่าวสารให้แก่ประชาชน เพราะฉะนั้นมันต้องมีความน่าเชื่อถือ ถ้ามีอะไรด่างพร้อยก็ควรยุติบทบาทการทำงานและไปเคลียร์คดีเสียก่อน ซึ่งก็เป็นเพียงความเห็นและคำแนะนำนะ ในวงการสื่อสารมวลชนก็ไม่ได้มีบทลงโทษ แต่การที่จะอยู่ในอาชีพสื่ออย่างสง่าผ่าเลยก็คงจะลำบาก เพราะคุณสรยุทธจะสูญเสียความน่าเชื่อถือไป แต่ถ้ากรณีนี้สังคมไม่ว่าอะไร ก็ปล่อยให้ทำมาหากินกันไป มันก็เป็นความตกต่ำของสังคมซึ่งเราคงไปทำอะไรไม่ได้
**ถ้าคุณสรยุทธยังดึงดันที่จะทำหน้าที่สื่อต่อไป ประชาชนจะเชื่อถือได้อย่างไรกับนักธุรกิจสื่อที่เคยมีพฤติกรรมฉ้อฉล
ประชาชนก็ไม่เชื่อถือไง ก็ไม่ต้องดู ไม่ให้การสนับสนุน หรือแสดงออกว่าไม่ให้การสนับสนุน เช่นอย่างที่กำลังทำกันอยู่ แสดงความเห็น ประชุมสัมมนา มีมติออกมา แล้วก็ประกาศต่อสาธารณะ ประชาชนเองก็สามารถทำหนังสือ ส่ง SMS ไปในรายการของคุณสรยุทธ สร้างกลุ่มในเฟซบุ๊ก, ทวิตเตอร์ หรือเว็บบล็อก เพื่อแสดงจุดยืนในเรื่องนี้
**แล้วในส่วนของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ควรรับผิดชอบต่อกรณีการทุจริตของคุณสรยุทธอย่างไร
ช่อง 3 ก็ควรรับผิดชอบในเชิงนโยบายว่าจะมีนโยบายอย่างไรต่อผู้เช่าเวลาและประกอบกิจการในช่องของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่นิสัยช่อง 3 ก็จะอะลุ้มอล่วยแล้วก็อยู่กันไป ยกเว้นว่าถ้าสร้างวิกฤตทางการเมือง ช่อง 3 ก็จะไม่เอา (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นกรณีคุณสรยุทธทางช่อง 3 ก็คงไม่ทำอะไรเพราะคุณสรยุทธทำเงินได้สูงมาก แล้วเขาก็ร่วมกับบริษัทบีเอซี เทโร เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ในการทำธุรกิจ อันนี้ก็ต้องไปถามคุณประสาร มาลีนนท์ (รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเมนต์ จำกัด) ก็เป็นเรื่องนโยบายของช่อง 3 ที่ผ่านมาช่อง 3 ต้องการข่าวแบบเอนเตอร์เทนอยู่แล้ว ขายดี คนดูเยอะ ผมคิดว่าช่อง 3คงไม่ขยับอะไรหรอก ปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป เว้นแต่ว่ามีกระแสกดดันจากสังคม เพราะช่อง 3 เป็นช่องธุรกิจ ธุรกิจจะอยู่ได้สังคมก็ต้องเอาด้วย ไม่ใช่แค่มีโฆษณาอย่างเดียว
เพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของสาธารณชนที่จะต้องกดดันแสดงความเห็นให้สถานีและคุณสรยุทธรู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อกรณีนี้ ซึ่งสาธารณชนที่ว่าก็มี 2 กลุ่ม คือเอกชนที่ลงโฆษณา และประชาชนที่เป็นผู้ชม ถ้าแสดงความเห็นกันเข้มข้นมากขึ้นมันก็มีผลเพราะช่อง 3 เป็นสถานีโทรทัศน์ของประชาชน แม้ว่าจะเป็นช่องบันเทิงซึ่งผู้ชมก็พอใจกับความบันเทิง แต่ถ้าประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นต่อกรณีของคุณสรยุทธอย่างไรทางช่อง 3 ก็คงต้องว่าตามนั้น คุณสรยุทธก็เช่นกัน แต่ถ้าไม่มีอะไรมากมาย ยังเจ๊าะแจ๊ะกันอยู่อย่างนี้ สังคมไทยก็อยู่กันไปแบบลูบหน้าปะจมูก อยู่กันไปแบบ 'รอมชอมจริยธรรม'
**หลายคนก็มองว่าคุณสรยุทธเป็นสื่อมวลชนซึ่งต้องมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของนักการเมืองและหน่วยราชการ แต่คุณสรยุทธกลับร่วมกับเจ้าหน้าที่ของ อสมท ในการทุจริตเสียเอง
มันไม่ได้อยู่แล้ว จรรยาบรรณในวิชาชีพนักหนังสือพิมพ์หรือสื่อสารมวลชนฉบับแรกนั้นออกมาจาก 'อิศรา อมันตกุล' นายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยคนแรก เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2500 ต้นๆ ซึ่งจริงๆก็มีอยู่ไม่กี่ข้อนะ ข้อแรกคือ จะต้องไม่ทุจริตประพฤติมิชอบ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวทั้งทางตรงและทางอ้อม ถ้าเป็นสื่อมวลชนแล้วทำไม่ได้เลย ยิ่งเป็นทั้งสื่อมวลชนแล้วยังไปทำธุรกิจด้วยเนี่ยอันนี้ทำไม่ได้ อันนี้คือจรรยาบรรณ หลังจากนั้นก็มีจรรยาบรรณที่ร่างโดยสมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย แต่ละองค์กรก็จะมีกรอบจรรยาบรรณของตัวเอง แล้วเขาก็สอนกันมาในคณะนิเทศศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์ สื่อสารมวลชนทุกหนทุกแห่งในเมืองไทยและในโลกนี้ มีในตำรับตำรา จิ้มไปตรงไหนก็เจอ ไม่ใช่ความลับ และไม่ใช่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยในหัวใจของคนเป็นสื่อ โดยไม่จำเป็นต้องจบมาจากคณะนิเทศฯ หรือวารสารฯนะ คุณมาทำอาชีพนี้ปุ๊บก็ต้องรู้แล้ว
แค่เราเปิดเว็บบล็อกส่วนตัวเราก็รู้แล้วว่าเราต้องรับผิดชอบต่อความจริงและต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลข่าวสารที่ออกไปจากเรา แล้วเราก็ต้องโปร่งใสเพราะเรามีหน้าที่ตรวจสอบผู้มีอำนาจในสังคม เราต้องไม่ทุจริตคอร์รัปชั่นเพราะเรามีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ถ้าสังคมอยู่กันแบบ เฮ้ย...ช่างมัน เขารวยแล้วก็แบ่งให้เราบ้าง สังคมก็จะเสื่อมลง เสื่อมลง ถ้าสังคมยังเฉื่อยแอยู่อย่างนี้เราก็ต้องตอกย้ำบ่อยๆว่าหน้าที่และจริยธรรมของสื่อควรเป็นอย่างไร ส่วนคุณสรยุทธและช่อง 3 จะตัดสินใจอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา
**แต่ทางด้านแฟนคลับของคุณสรยุทธ ก็มองว่า ป.ป.ช.แค่ชี้มูล ศาลยังไม่ได้ตัดสิน ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดทำหน้าที่
มันเป็นเรื่องของจริยธรรมไง ไม่มีคำสั่งจากศาล แต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกส่วนตัว ถ้าสั่งสมมาคำสั่งนี้ก็จะออกมาดัง ถ้าไม่สั่งสมมามันก็ไม่ได้ยิน เพราะเกิดมาไม่เคยเจอ ก็เหมือนนักการเมือง เขาไม่เคยสั่งสมเรื่องนี้เขาก็บอกว่า...ผมไม่ได้ทำผิด ทำไมผมต้องลาออกด้วย อย่างกรณีของคุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ ซึ่ง ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดในคดีอัลไพน์ คุณยงยุทธเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองนายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอีกต่างหาก ถ้าสั่งสมจริยธรรมมานานจิตสำนึกจะต้องบอกนายกฯยิ่งลักษณ์เลยว่า...ดิฉันขอลาออกทั้งรัฐบาลเพราะหัวหน้าพรรคมันโกง พรรคจะอยู่ได้ไงในเมื่อหัวหน้าพรรคมันโกงน่ะ แต่นี่นายกฯยังมานั่งยิ้มอยู่ได้ยังไง นี่คือเรื่องของจิตสำนึก เมื่อไม่ได้สั่งสมมามันก็ไม่ได้ยินเสียงนี้หรอก
**แล้วอาจารย์มองการทำหน้าที่สื่อของคุณสรยุทธในช่วงที่ผ่านมาอย่างไร
ส่วนใหญ่คุณสรยุทธก็จะเล่าข่าวเรื่อยเปื่อยเฉื่อยแฉะไปเรื่อยๆ ผิดบ้างถูกบ้าง ซึ่งมันเป็นความไม่น่าเชื่อถือของการผลิตรายการ เพราะฉะนั้นถ้าจะดูเอาเพลินๆ มันๆ สนุกๆ แล้วก็รู้ว่าเขาคุยโม้บ้าง เป็นข้อมูลที่ไม่แน่ใจบ้าง ไม่ได้ค้นคว้าบาง ข้อมูลถูกๆผิดๆ ผู้ชมคนไหนรับได้ก็ดูกันไป แต่สำหรับผม ผมไม่ดูเลย ไม่รู้จะดูไปทำไม ในเมื่อมันมีทั้งข้อมูลที่ถูกและผิดปนกันอยู่ มันแยกลำบาก ส่วนความลำเอียงในการนำเสนอข่าวมันก็คงมีแต่สังคมไม่ได้โวยวาย เช่น สัมภาษณ์คุณตัน (คุณตัน ภาสกรนที เจ้าของบริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด) บ่อยเพราะไปร่วมลงทุนด้วยกัน มีโฆษณาแฝง ไม่รู้ว่าอันไหนโฆษณา อันไหนประชาสัมพันธ์ ซึ่งจรรยาบรรณตรงนี้เราไม่ได้มีการตรวจสอบ ก็ไม่ใช่แค่คุณสรยุทธนะ หลายคนที่ทำรายการวิทยุโทรทัศน์บางทีโฆษณาแฝงแต่ไม่บอก อันนี้ก็ถือว่าละเมิดจริยธรรมและควรถูกตรวจสอบ
**ถ้าจะให้คะแนนความเป็นสื่อ อาจารย์จะให้คุณสรยุทธเท่าไหร่
คือคุณสรยุทธเนี่ยไม่ใช่นักข่าว หรือผู้ผลิตข่าว ไม่ใช่นักข่าวของสถานีโทรทัศน์ที่วันๆก็มุ่งหน้าไปค้นหาความจริงแล้วกลับมารายงาน แต่เป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ประเภทข่าว เป็นผู้ดำเนินรายการเชิงข่าว แต่ว่าพูดคุยไปเรื่อยๆตามที่มีคนทำข่าวไว้ให้ ส่วนใหญ่ก็ใช้หนังสือพิมพ์ที่วางแผงทุกเช้า แล้วก็ผสมกับข่าวที่ช่อง 3 ส่งมา แล้วก็มีการเตรียมข้อมูลกันว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ คุณสรยุทธจะต้องดำเนินเรื่องไปอย่างนั้น ก็อาจจะมีที่คุณสรยุทธออกไปทำข่าวเองบ้าง เช่นช่วงน้ำท่วม หรือข่าวสำคัญบางเรื่อง แกก็ได้ข้อมูลในส่วนที่แกเห็น เพราะฉะนั้นแกก็เป็นลักษณะของนักข่าวปนนักดำเนินรายการและผู้ผลิตรายการ เอาข่าวคนอื่นมาบ้างอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นข่าวที่ได้มันก็ผิดบ้างถูกบ้าง มันไม่ใช่ผู้สื่อข่าวอย่างจริงจังอย่างที่เราเข้าใจกัน
แต่รายการข่าวของคุณสรยุทธเป็นรายการที่น่าเป็นห่วงนะ เพราะเราเชื่อสิ่งที่เขานำเสนอทั้งหมดไม่ได้ เพราะว่าคุณสรยุทธเขาไม่ได้รู้ทุกอย่าง เขาก็เอาข่าวตามที่หนังสือพิมพ์เสนอ แล้วบางทีเขาก็พูดแถมเอง บางทีก็พูดจากความทรงจำ บางทีก็จำไม่ได้ เราจึงมักได้ยินคำนี้จากคุณสรยุทธบ่อยๆ “ ถ้าผมจำไม่ผิด ” ดูรายการคุณสรยุทธเนี่ยเราจะได้ยินคำนี้แทบจะทุกวัน “ ถ้าผมจำไม่ผิด เรื่องนี้มันจะเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น ” ก็พูดไปเรื่อยๆเหมือนกับมีความรู้จริง เสร็จแล้วพอประโยคสุดท้ายเริ่มไม่แน่ใจ แกก็จะบอกว่า “ รึยังไง ...ก็ต้องดูกันอีกที ” ตกลงไม่มีความจริง อันนี้ถือว่ามันไม่อยู่ในกรอบจรรยาบรรณวิชาชีพ คือไม่ได้ให้ความจริง รายการแบบนี้ไม่ควรมี สิ่งเหล่านี้ไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นคุณสรยุทธหรือใครก็ตามที่ชอบด้นข่าวสดโดยไม่มีสคริปต์ ไม่มีบท คือไม่ใช่ว่าเราอาวุโส เราผ่านงานมาเยอะ ปล่อยสดๆเลย มันไม่ได้นะ เรามีอาชีพผลิตและดำเนินรายงานข่าวก็มีหน้าที่ในการเสนอความจริง เพราะฉะนั้นจะต้องมีสคริปต์เพื่อความถูกต้อง อาจจะใช้ประสบการณ์ที่เรามีมากกว่าคนอื่นให้เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบ สมมุตินักข่าวส่งข่าวเข้ามาโดยที่เรายังไม่ทันตรวจ หลุดออกไปแล้วเกิดมันผิด เราก็ต้องแก้ไขและยืนยันว่ามันไม่ใช่อย่างนี้
ผมยกตัวอย่างเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ ของสหรัฐอเมริกา เขาถ่ายทอดสดจากเฮลิคอปเตอร์ รายงานข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะกำลังไล่ล่าผู้ต้องสงสัยโจรกรรมรถยนต์ ผู้ชายคนนี้วิ่งหนี ก็ถ่ายสดตลอด แต่ปรากฏว่าผู้ชายคนนี้ตัดสินใจยิงตัวตาย ภาพการยิงตัวตายก็หลุดออกอากาศ ทั้งๆที่มีระบบดีเลย์สัญญาณ 5 วินาที ผู้ประกาศก็ตกใจว่าทำไมทีมงานไม่ตัดภาพนี้ทิ้งเพราะมีเวลาตั้ง 5 วินาที เพราะการนำเสนอภาพการฆ่าตัวตายสดๆบนจอเนี่ยถือว่าผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ เขาไม่ทำกันไม่ว่าสถานีโทรทัศน์ช่องไหนในโลกเพราะถือเป็นภาพอุจาด พอภาพนี้ออกไปปุ๊บผู้ประกาศเลยสั่งให้หยุดการเสนอภาพ แล้วก็ขอโทษผู้ชมต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
ไม่ใช่ว่าไม่ต้องเอาเนื้อข่าวมาหรอก ผมจำได้ น้ำเหนือเขื่อนกี่ลูกบาศก์เมตรเนี่ยใครจะ ไปจำได้เพราะมันเปลี่ยนทุกวันมันก็ต้องมีข้อมูลอ้างอิง แต่รายการคุณสรยุทธ หรือรายการประเภทเล่าข่าวเนี่ยมันจะไม่ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง 100% รายการประเภทนี้ก็ควรจะเข้มงวดหน่อยในเรื่องข้อมูลข้อเท็จจริง คนดูก็อาจจะชอบเพราะมันเพลิน ดูสนุก แต่เราก็จะเต็มไปด้วยข้อมูลที่เป็นขยะอยู่ในสมองเรา ผมก็จะแก้ปัญหาโดยไม่ดูรายการพวกนี้เลยเพราะหลายเรื่องเราก็จะรู้ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น เราก็รู้สึกว่าเขาไม่ทำการบ้าน ขนาดเรื่องที่เรารู้เขายังไม่รู้แต่มาพูดเป็นตุเป็นตะ แล้วเรื่องที่เราไม่รู้ล่ะ มันน่ากลัวนะ
**อาจารย์คิดว่าตอนนี้สื่อมีปัญหาเรื่องจรรยาบรรณหรือเปล่า
คือเรื่องการละเมิดจรรยาบรรณของสื่อสารมวลชนเนี่ยมันไม่ใช่เฉพาะกรณีบริษัทไร่ส้มของคุณสรยุทธ ยังมีกรณีอื่นอีกเยอะนะ อย่างหนังสือพิมพ์บางฉบับมีผู้ถือหุ้นอยู่ในฝ่ายที่ลำเอียงทางการเมือง โดยไม่ได้บอกประชาชน เช่น มติชนไม่ได้บอกว่าแกรมมี่ถือหุ้นในมติชนอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ทั้งๆที่เคยบอกว่าแกรมมี่ถอนตัวจากการซื้อหุ้นมติชนแล้ว ไม่ได้บอกว่าแกรมมี่เป็นนอมินีของคุณทักษิณหรือเปล่า ซึ่งก็ควรจะนำมาเปิดเผยให้ประชาชนรับรู้ด้วย
กรณีของคุณสรยุทธถือว่าเป็นแค่กรณีหนึ่ง ดูเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ในตอนนี้เพราะยอดเงินที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิดนั้นเป็นร้อยล้าน แต่เคสอื่นๆเนี่ยเป็นพันล้านนะ ทีวีทั้งช่อง หนังสือพิมพ์ทั้งฉบับ ทีวีที่เป็นของพรรคการเมืองโดยตรง ทีวีสีแดง ทีวีสีเหลือง ก็ต้องบอกให้ชัดว่าเป็นของพรรคไหน ที่ชัดมากๆแต่ไม่บอกคือทีวีของพวกสีฟ้า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมือง แต่ไม่บอกว่าบลูสกายเป็นของประชาธิปัตย์ แต่คนประชาธิปัตย์ก็จัดรายการอยู่ในนั้น ปัจจุบันเราอยู่ในยุคที่สื่อเกิดง่าย เพราะมีเทคโนโลยีต่างๆเยอะ ต้นทุนถูกลง สื่อเลือกข้างก็เกิดง่าย ก็บอกมาเลยว่าอยู่ข้างไหน บอกให้ชัดมาเลย
แต่สื่อกระแสหลัก เช่น ฟรีทีวี และสถานีวิทยุที่ใช้คลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรของชาติและของประชาชน พวกนี้จะทำหน้าที่โดยไม่เป็นกลางไม่ได้ ต้องใช้สื่อเพื่อประชาชนทุกภาคส่วน จะใช้เพื่อเอียงเข้าข้างรัฐบาล อย่างที่กรมประชาสัมพันธ์เสนอข่าวเข้าข้างรัฐบาลทุกรัฐบาล อย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นช่อง 3 , 5, 7 , 9 ,11 จะเข้าข้างรัฐบาล เข้าข้างเหลือง เข้าข้างแดง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ต้องเปิดเวทีให้ทุกฝ่ายมาใช้ร่วมกัน เพราะคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของชาติ แต่ถ้าเราใช้ดาวเทียมที่เช่าจากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เราไม่ได้มาแย่งทรัพยากรของประชาชน
**ตอนนี้สังคมกำลังรู้สึกว่าสื่อในปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ถ่วงดุล นักการเมืองหรือภาครัฐ
ก็มันลำเอียงเลือกข้างแบบแอบแฝงกันหมด แล้วก็ไม่บอกประชาชน เราจะต้องพัฒนาสื่อที่เป็นของประชาชน ถ้ามีอยู่บ้างแล้วก็ต้องมีมากกว่านี้เพราะว่าเสียงมันไม่ไม่ดัง แค่กรณีของคุณสรยุทธเนี่ยก็ไม่เห็นมีสื่อไหนพูดอะไรกัน ผมว่าเราอยู่ในสังคมที่สื่อจะต้องเหลียวมาดูตัวเองแล้วเพราะสื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนไม่ได้ อย่างหนังสือพิมพ์มติชนเนี่ยเดี๋ยวนี้ผมไม่ซื้อนะ แต่ผมก็ยังเข้าไปดูเว็บไซต์ของเขาอยู่ แต่ว่าความลำเอียงมันชัดนะ คือมันบิดเบือน มันเข้าข้างกันอย่างไม่มีศิลปะ แก้ตัวให้รัฐบาลตลอดเวลา ประชาชนทั่วไปที่พอมีพื้นฐานความรู้อ่านแล้วก็นั่งหัวเราะว่า เฮ้ย..ทำมันทำหนังสืออย่างนี้ได้ยังไง ต้องบอกว่าหมดสมัยจริงๆที่จะเป็นสื่อของประชาชน ผมเสียดายนะเพราะเคยเสียตังค์ซื้อมาตั้งแต่สมัยที่ผมเริ่มเป็นหนุ่ม มีเงินเดือนใช้ ก็แปลกนะ คนเขียนข่าวนี่คนเดิมทั้งนั้นเลย คนเดิมที่เราติดตามชีวิตและงานเขียนของเขามาตั้งแต่ครั้งต่อสู้ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ16 จนกระทั่งร่ำรวยเนี่ย เขาเปลี่ยนไปได้ยังไง เขาเอาเงินไปทำอะไร
หมายเหตุ : เนื่องในโอกาสครบรอบ 3 ปีของ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมกิจกกรรมในแฟนเพจ เพื่อชิงรางวัลอันทรงคุณค่า กับคำถามที่ว่า "ถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คิดว่าเธอเหมาะกับอาชีพใดมากที่สุด "