จากกรณีที่ส.ส. 5 คน ประกอบด้วย นายประเสริฐ บุญเรือง, นายนพคุณ รัฐผไท, นายนิยม วรปัญญา และนางพรเพ็ญ บุญศิริวัฒนกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายสัมพันธ์ ตั้งเบญจผล ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ 2457 ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งกำนันโดยตรงจากประชาชน แทนการเลือกโดยผู้ใหญ่บ้าน และกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของกำนัน ผู้ใหญ่ บ้านคราวละ 5 ปี แทนการทำหน้าที่ถึงอายุ 60 ปี
ทำให้กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ ได้ออกมาแสดงความเห็น เพื่อคัดค้านการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า หากกำหนดวาระตำแหน่งเหลือเพียง 5 ปี จะต้องมีการเลือกตั้งบ่อยครั้ง และจะสร้างความขัดแย้งในชุมชน อีกทั้งการทำงานจะไม่ต่อเนื่อง โดยในหลายจังหวัด กลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปที่ ศาลากลางจังหวัด เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านร่างแก้ไขเพิ่ม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องถิ่น ฉบับดังกล่าว พร้อมกับขู่ว่า หากสภาผู้แทนราษฎร ยังเดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติม ร่าง พ.ร.บ.นี้ต่อไป กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และในการเลือกตั้งส.ส.ครั้งหน้า จะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย
ด้านนายปวีณ แซ่จึง ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยร่วมกัน เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวว่า จากการรับฟังความคิดเห็นทั่วไปของ ส.ส. ในวันรับหลักการ ส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะกำหนดวาระละ 5 ปี รวมทั้งให้กำนันมาจากการเลือกตั้งจากประชาชน เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน
นายปวีณ ยังเปิดเผยอีกว่าหลังจากการหารือของกรรมาธิการฯ ฝ่ายพรรค เพื่อไทยมองว่าควรจะปลดล็อกให้ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ แต่ที่มีการออกมาประท้วงขณะนี้ เพราะว่ามีการปล่อยข่าวว่าจะยกเลิกตำแหน่งกำนันผู้ใหญ่บ้าน แล้วให้เลือกตั้งใหม่ทันที แต่ความเป็นจริงแล้วกฎหมายจะไม่มีผลย้อนหลัง ดังนั้นผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันสามารถอยู่ได้จนอายุ 60 ปี และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก จึงต้องทำความเข้าใจกับพวกที่ออกมาต่อต้านให้เข้าใจว่าอยู่จนครบวาระได้
นายปวีณกล่าวด้วยว่า ขณะนี้รับทราบเรื่องราวในบางจังหวัดแล้ว กำลังหาทางออกโดยการทำความเข้าใจ โดยตัวแทนนายกสมาคมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ร่วมหารือรับฟังปัญหาในกรรมาธิการฯอยู่แล้ว ตอนนี้ผ่านขั้นรับหลักการแล้วโดยกรรมาธิการวิสามัญกำลังแปรญัตติก่อนเสนอสภา ส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะผลักดันไปได้ เพราะไม่ใช่เรื่องเสียหาย ซึ่งกรรมาธิการทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านก็เห็นไปในทางเดียวกัน และผลทางกฎหมาย จะไม่กระทบผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การเขียนกฎหมายไม่ควรมองผลประโยชน์แค่คนใดคนหนึ่ง แต่ต้องมองถึงคนทั้งประเทศ
ทำให้กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ ได้ออกมาแสดงความเห็น เพื่อคัดค้านการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า หากกำหนดวาระตำแหน่งเหลือเพียง 5 ปี จะต้องมีการเลือกตั้งบ่อยครั้ง และจะสร้างความขัดแย้งในชุมชน อีกทั้งการทำงานจะไม่ต่อเนื่อง โดยในหลายจังหวัด กลุ่มกำนัน ผู้ใหญ่บ้านได้เดินทางไปที่ ศาลากลางจังหวัด เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านร่างแก้ไขเพิ่ม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องถิ่น ฉบับดังกล่าว พร้อมกับขู่ว่า หากสภาผู้แทนราษฎร ยังเดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติม ร่าง พ.ร.บ.นี้ต่อไป กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ จะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และในการเลือกตั้งส.ส.ครั้งหน้า จะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย
ด้านนายปวีณ แซ่จึง ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยร่วมกัน เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.ดังกล่าวว่า จากการรับฟังความคิดเห็นทั่วไปของ ส.ส. ในวันรับหลักการ ส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะกำหนดวาระละ 5 ปี รวมทั้งให้กำนันมาจากการเลือกตั้งจากประชาชน เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน
นายปวีณ ยังเปิดเผยอีกว่าหลังจากการหารือของกรรมาธิการฯ ฝ่ายพรรค เพื่อไทยมองว่าควรจะปลดล็อกให้ผู้ที่อายุมากกว่า 60 ปี ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ แต่ที่มีการออกมาประท้วงขณะนี้ เพราะว่ามีการปล่อยข่าวว่าจะยกเลิกตำแหน่งกำนันผู้ใหญ่บ้าน แล้วให้เลือกตั้งใหม่ทันที แต่ความเป็นจริงแล้วกฎหมายจะไม่มีผลย้อนหลัง ดังนั้นผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันสามารถอยู่ได้จนอายุ 60 ปี และสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีก จึงต้องทำความเข้าใจกับพวกที่ออกมาต่อต้านให้เข้าใจว่าอยู่จนครบวาระได้
นายปวีณกล่าวด้วยว่า ขณะนี้รับทราบเรื่องราวในบางจังหวัดแล้ว กำลังหาทางออกโดยการทำความเข้าใจ โดยตัวแทนนายกสมาคมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้ร่วมหารือรับฟังปัญหาในกรรมาธิการฯอยู่แล้ว ตอนนี้ผ่านขั้นรับหลักการแล้วโดยกรรมาธิการวิสามัญกำลังแปรญัตติก่อนเสนอสภา ส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะผลักดันไปได้ เพราะไม่ใช่เรื่องเสียหาย ซึ่งกรรมาธิการทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านก็เห็นไปในทางเดียวกัน และผลทางกฎหมาย จะไม่กระทบผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การเขียนกฎหมายไม่ควรมองผลประโยชน์แค่คนใดคนหนึ่ง แต่ต้องมองถึงคนทั้งประเทศ