ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ถามว่าผิดไหมกับการที่ไฮโซขายเพชรชื่อดังอย่าง “นายชูชัย ชัยฤทธิเลิศ” จะไปลงทุนสร้างโรงแรมระดับ 5 ดาว “โครงการชูชัยบุรี ศรีอัมพวา” ด้วยงบประมาณนับร้อยนับพันล้านบาทบนเนื้อที่ 3 ไร่เศษ ริมคลองอัมพวา สถานที่ท่องเที่ยวชื่อก้องของจังหวัดสมุทรสงคราม
คำตอบก็คือ “ไม่ผิด” เพราะเป็นการสร้างด้วยเงินและที่ดินของนายชูชัยเอง
ถามว่า ผิดไหมกับการที่นายชูชัยคิดรื้อห้องแถวเรือนไม้ริมคลองอัมพวาซึ่งมีอายุเก่าแก่เกือบร้อยปี จำนวน 12 ห้อง พร้อมระบุว่าอาจใช้พื้นที่แห่งนี้สร้าง “ลานศรัทธาเทวสถาน” อันมี “ศิวลึงค์” ตั้งตระหง่านหรือที่ความจริงสมควรใช้คำว่า “องคชาต” เสียมากกว่า
คำตอบก็คือ “ไม่ผิด” อีกเช่นกัน เพราะนั่นเป็นรสนิยมส่วนตัวของนายชูชัย
แต่ความผิดของนายชูชัยอยู่ตรงที่ “จิตสำนึกส่วนตัว” และ “รสนิยมส่วนตัวของนายชูชัยที่มีต่อสังคมส่วนรวมในการสร้างบูติคโฮเต็ลแห่งนี้ เพราะโครงการชัยบุรี ศรีอัมพวา รวมทั้งลานองคชาตของเขามิได้สร้างบนสถานที่รกร้างว่างเปล่า หากแต่เป็นอัมพวาที่มี “รากทางประวัติศาสตร์” เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นอันมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวจนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าไปเยี่ยมเยือนเพิ่มมากขึ้นทุกปี
แถมสถาปัตยกรรมที่นายชูชัยรังสรรค์ขึ้นมาก็เป็นสถาปัตยกรรมที่มิได้กลมกลืนหรือสอดรับกับสภาพแวดล้อม ตลอดรวมถึงวิถีชีวิตของคนอัมพวาที่นายชูชัยป่าวประกาศว่ารักอัมพวา(จนน้ำลายไหล) เลยแม้แต่น้อย
ดังนั้น แม้ว่านายชูชัยจะบีบน้ำตาและร่ำไห้ขอความเห็นอกเห็นใจอกมาสัก กี่ปี๊บก็มิอาจทำให้สังคมเข้าใจได้ เพราะหลักฐานปรากฏอยู่โทนโท่ว่า โครงการชูชัยบุรี ศรีอัมพวานั้น มิได้ “มีเจตนาบริสุทธิ์” และโครงการที่ทำก็มิได้ตั้งใจ “ช่วยเหลือพี่น้องอัมพวาและจะทำให้สอดคล้องกับสิ่งที่อนุรักษ์ไว้” หากแต่เป็นการลงทุนเพื่อแสวงหากำไรและรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ เนื่องจากถ้าหากนายชูชัยทำอย่างที่ปากพูดจริง โครงการอันอัปลักษณ์เช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นได้
เช่นเดียวกับการพลิกลิ้นประกาศไม่รื้อตึกแถว 12 ห้อง ก็เป็นเพราะกระแสสังคมกดดัน มิใช่เป็นเพราะนายชูชัยรักอัมพวาหรือเปลี่ยนแปลงความคิดได้เองแต่ประการใด
นายชูชัยเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงได้กลายเป็นนักธุรกิจขายเพชรที่มีเงินทองระดับพันล้านบาท กระทั่งสามารถลงทุนระดับร้อยล้านพันล้านเพื่อสร้างโครงการที่ผู้คนก่นด่ากันทั้งบ้านทั้งเมืองได้
จากการตรวจสอบข้อมูลที่นายชูชัยเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้หลายที่หลายทาง โดยเฉพาะในนิตยสาร WHO รวมถึงนิตยสาร Positioning ก็ทำให้พบข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ “ผู้ชายหัวใจสีม่วง” คนนี้ในหลากหลายมิติ ทั้งชีวิตส่วนตัวที่เต็มไปด้วยความแซ่บเวอร์ และชีวิตรักที่โลดโผนโจนทะยาน โดยปรากฏชื่อดารานักแสดงหนุ่มๆ เข้ามาพัวพันหลายคนด้วยกัน ทั้ง อาร์ต-พศุตม์ บานแย้ม หรือโฬม-พัชฏะ นามปาน เป็นต้น
“จากชีวิตติดลบของเด็กชายเชื้อสายจีน ผู้มาจากครอบครัวยากจน เรียนจบแค่ชั้นประถม 7 ทว่า วันนี้ชีวิตของเขาทะยานขึ้นสูงสุดจนกลายเป็นเจ้าของร้านเพชรพันบ้าน”
นั่นคือ ประโยคเกริ่นนำเข้าสู่เรื่องที่นิตยสาร WHO นำเสนอ พร้อมพาดหัวตัวเบ้อเริ่มว่า “ชูชัย ชัยฤทธิเลิศ” จากเด็ก ป.7 สู่นักธุรกิจเพชรพันล้าน เปิดคฤหาสน์แจงข่าว แจกเพชรดาราหนุ่ม”
สำหรับเพชรของนายชูชัยที่ว่านั้น กระทำภายใต้ “เครือเจมส์ พีซ กรุ๊ป” ใน 3 แบรนด์คือ เจมส์ พีซ บาย ชูชัย(Gem Peace by Chuchai) ชูชัย เจมส์ พีซ (Chuchai Gem Peace) และ ซีทู บาย ชูชัย(C2 by Chuchai)
ขณะที่คฤหาสน์หลังงามบนเนื้อที่ 500 ตารางวาของนายชูชัยมูลค่าราว 200 ล้านบาทนั้น ตั้งอยู่ย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา ซึ่งเคยเรียกเสียงฮือฮาเป็นข่าวใหญ่โตเมื่อคราวเปิดบ้านจัดแฟชั่นโชว์เพชรเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน
แต่กว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างอาณาจักรธุรกิจเพชร รวมถึงสร้างโครงการชูชัยบุรี ศรีอัมพวาได้นั้น มิใช่เรื่องง่าย
ในช่วงวัยเด็ก ครอบครัวของชูชัยกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำและเป็นที่ยอมรับของเจ้าตัวว่า “ยากจน” ทำให้มีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ และต้องกู้หนี้ยืมสินมาใช้จ่ายในครอบครัว เนื่องจากเงินไม่พอใช้ โดยพ่อของเขามีภรรยา 2 คน ทำให้มีพี่น้องมากถึง 20 คนเลยทีเดียว
ด้วยเหตุดังกล่าว ชูชัยจึงต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็ก โดยทุกวันหลังเลิกเรียน ชูชัยต้องรีบทำการบ้านให้เสร็จตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน จากนั้นก็กลับมาช่วยพี่สาวขัดแหวน ซึ่งเป็นรายได้หลักของบ้าน โดยรับมาจากร้านของญาติที่อยู่ตรอกหัวเพชร ย่านพาหุรัด กระทั่งพี่สาวมีเงินเก็บจำนวนหนึ่งจึงไปเซ้งร้านที่ชั้นใต้ดินศูนย์การค้าอินทรา ย่านประตูน้ำ เพื่อเปิดเป็นร้านขายของที่ระลึก ประเภทตุ๊กตา ผ้าไหม ปลอกหมอน โปสการ์ด ของตั้งโชว์ต่าง ๆ ที่ทำจากทองเหลืองและเงิน ก่อนที่จะประสบความสำเร็จด้วยการเปิดเคาน์เตอร์ร้านจิวเวลรีในห้างเดอะมอลล์ทั้ง 5 สาขา ภายใต้ชื่อ F.F.Jewelry
และนั่นก็เป็นเหตุที่ทำให้เจ้าของโครงการชูชัยบุรี ศรีอัมพวาได้เรียนหนังสือเพียงแค่ชั้น ป.7 เพราะต้องมาค้าขายหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว
หลังจากธุรกิจของครอบครัวประสบความสำเร็จ ชูชัยได้ขออนุญาตพี่สาวมาสร้างแบรนด์เป็นร้านของตัวเองในช่วงปี 2538 โดยแบ่งมุมส่วนหนึ่งภายในร้านเสื้อผ้าของพี่สาวแต่งเป็นร้านจิวเวลรี่ของตัวเองในชื่อ เจมส์ พีซ บายชูชัย และขายดีจนตัดสินใจเปิดเป็นเคาน์เตอร์จิวเวลรี่ในห้างดิ เอ็มโพเรียมซึ่งก็ขายดีเป็นทีน้ำเทท่าสวนกระแสเศรษฐกิจฟุบยุคฟองสบู่แตกในปี 2540 กระทั่งเปิดร้านสาขาแรกขึ้นที่เวิล์ดเทรด เซ็นเตอร์
แน่นอน สิ่งที่หลายคนกระหายใคร่รู้ประการต่อก็คือ ชูชัยกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างและพลิกผันมายืนอยู่บนแถวหน้าของแวดวงไฮโซด้วยรูปแบบหรือวิธีการใด
“สมศักดิ์ ชลาชล” ช่างผมชื่อดังคือผู้ที่เปลี่ยนชีวิตของชูชัยจากพ่อค้าที่เก็บตัว ทำธุรกิจเงียบๆ เป็นคนขี้อาย ไม่สุงสิงกับใครมากนัก พลิกผันสู่สังคมใหม่ในเวทีสังคมชั้นหรู
สมศักดิ์ ชลาชลเป็นผู้ริเริ่มเชื้อเชิญให้ชูชัยออกงานสังคมไฮโซ ด้วยเหตุผลที่ว่า คนทำธุรกิจต้องสร้าง กลุ่มลูกค้า หมายถึงการออกงานสังคม โดยเฉพาะงานสังคมไฮโซ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ที่มีฐานะ มีรายได้ระดับเกรดเอ เป็นการขยับขยายช่องทางธุรกิจ สร้างแบรนด์ชูชัย ให้เติบใหญ่ยิ่งขึ้น
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการออกงานสังคม เมื่อประมาณปลายปี 2547 จากนั้นชื่อของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
“คุณสมศักดิ์ ชลาชล เป็นคนพาไปแนะนำเพื่อนในก๊วนของเขา นำพาไปรู้จักไฮโซคนดังทั้งหลาย จนวันนี้ทุกคนรู้ว่าเราคือพ่อค้าเพชร บางคนก็มาติดต่อซื้อเพชรกับเรา เพราะเขาเริ่มรู้จักเรา”
ในปี 2548 ชื่อของชูชัยปรากฏในหนังสือพิมพ์ นิตยสารและรายการโทรทัศน์ เมื่อเขาทุ่งเงิน 99,999 บาท เพื่อประมูลเสื้อสีม่วงยี่ห้อจิออร์ จิโอ อาร์มานี่ของเจ้าป้า “เจ้ากอแก้วประกายกาวิล ณ เชียงใหม่”
เมื่อเริ่มดัง เริ่มมีชื่อเสียงและเริ่มรวย ชูชัยได้สร้างวีรกรรมอันเป็นที่โจษขานในสังคมมากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการจัดงานแฟชั่นโชว์เครื่องเพชรอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยการใช้นายแบบนุ่งน้อยห่มน้อยมาเดินกรีดกรายโชว์เครื่องเพชรที่ได้รับการออกแบบอย่างเลิศหรูอลังการ ทั้งรสนิยมการใช้ชีวิตและรสนิยมทางเพศ
กล่าวสำหรับประเด็นอันเป็นที่มาของการเตรียมสร้างลานศรัทธาเทวสถานที่ชูชัยบุรี ศรีอัมพวาเพื่อประดิษฐานศิวลึงค์เพื่อให้คนที่ศรัทธามาบูชานั้น ก็เป็นผลมาจากความศรัทธาที่ชูชัยมีต่อศิวลึงค์ ดังจะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่เขาเปิดคฤหาสน์ 200 ล้าน ชูชัยก็งัดเอาคอกเลกชันเด็ดคือ ศิวลึงค์ประดับเพชรหรือปลัดขิกเพชร ออกมาโชว์อย่างไม่มีเหนียมอาย พร้อมเปิดเผยด้วยว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นักธุรกิจเช่นเขานับถือบูชา
“ปลัดขิกเป็นตัวแทนของพระศิวะ บูชาเพื่อนำโชค ให้มีสิ่งดีๆ เข้ามาหาตัวเรา ไม่อยากให้มองเป็นเรื่องลามก”
นั่นคือคำอธิบายของชูชัยที่มีต่อความศรัทธาในศิวลึงค์หรือปลัดขิก ซึ่งทำให้ชูชัยคิดสร้างลานศรัทธาเทวสถานที่โดดเด่นด้วยศิวลึงค์ยักษ์ พร้อมอัญเชิญพระศิวะ พระแม่อุมาเทวี และพระพิฆเนศวร มาประทับตรงกลางลานเพื่อกราบไหว้บูชา
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ มีข้อมูลยืนยันว่า ศิวลึงค์ของชูชัยบุรี ไม่ใช่ศิวลิงค์ธรรมดา หากเป็นศิวลึงค์ที่สามารถพ่นน้ำออกมาจากบริเวณส่วนหัวได้ถ้า หากคำเสี่ยงทายไปหยุดอยู่ ณ จุดที่ได้รับการออกแบบเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
ขณะที่รสนิยมทางเพศก็เป็นที่ชัดเจนว่า เขาคือผู้ชายที่ชื่นชอบ “ไม้ป่าเดียวกัน” ซึ่งนั่นทำให้ชูชัยมีชื่อไปเกี่ยวพันกับดารานักแสดงชื่อดังหลายต่อหลายคนด้วยกัน โดยเฉพาะความเป็นเจ้าบุญทุ่มที่พร้อมจะแจกจ่ายของกำนัลให้กับหนุ่มๆ ที่โดนใจ
ไม่ว่าจะเป็นข่าวแจกต่างหูให้นักข่าว แชมป์-พีรพล เอื้ออารียกุล เมื่อคราวมาเป็นนายแบบในงานเปิดคฤหาสน์
ไม่ว่าจะเป็นดารารูปหล่อที่เพิ่งเปิดศึกกับกะเทยพลอยจนสร้างความฮือฮาทั้งบ้านทั้งเมืองอย่าง อาร์ต-พศุตม์ บานแย้ม ที่มีข่าวว่าสนิทสนมกันถึงขั้นเข้านอกออกในใช้ฟิตเนสที่บ้านเป็นประจำจนหุ่นน่าหม่ำ และมีข่าวว่าซื้อเพชร ของขวัญวันแม่ให้หนุ่มอาร์ตอีกต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็นพระเอกแถวหน้าอย่าง โฬม-พัชฏะ นามปาน ที่ลือกันว่าเป็นอีกหนึ่งหนุ่มในสต็อกที่ได้รับเพชรเป็นของขวัญจากเจ้าของโครงการชูชัยบุรี ศรีอัมพวา
รวมถึงข่าวล่าสุดกับพระเอกหนุ่ม โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ ที่เจ้าตัวออกอาการปลื้มจนถึงขั้นอยากชวนดินเนอร์สองต่อสอง และยอมรับว่าทำจี้เพชรรูปตัวพีเตรียมให้พระเอกหนุ่มเป็นการปลอบขวัญจากการตกเป็นข่าว
“เราไม่ใช่คนตะกละตะกลามเที่ยวไปซื้อผู้ชายเพื่อนั่งกินข้าวด้วย มันไร้สาระ แล้วชูชัยก็ไม่ทำ อย่างนั้นหรอก เพราะเงินทองกว่าจะหามาได้ลำบากยากเย็น อยู่ตรงนี้ เรามีพร้อมทุกอย่าง ไม่จำเป็นต้องไป ทำอย่างนั้น มาเองตลอด มีแต่เราจะเขี่ยออกไปด้วยซ้ำ เพราะเราก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนะ (หัวเราะ) เราต้องเป็นฝ่ายเลือก ไม่ใช่เค้ามาเลือก คนอย่างชูชัยไม่จำเป็นต้องเอาเงินไปซื้อใคร และไม่มีทางที่จะได้เงิน จากชูชัยแม้แต่บาทเดียว กล้าพูดเลยว่า ไม่เคยซื้อผู้ชาย no…never in my life แล้วที่สำคัญจะซื้อไปเพื่ออะไร ไม่มีความภูมิใจเลย เพื่อมากินข้าวมื้อเดียว หมดไปเป็นแสนเป็นล้านนี่นะ คนนั้นคงไม่ใช่นักธุรกิจแล้ว แต่เป็นพวกสติแตก เครซี่หรือบ้ามากกว่า”
และด้วยประสบการณ์ชีวิต รวมถึงแนวคิด รสนิยมทั้งหลายทั้งปวง ทำให้หลายคนคงไม่แปลกใจว่า ทำไมเขาถึงไปสร้างโครงการชูชัยบุรี ศรีอัมพวา
และนั่นคือเรื่องราวชีวิตของชูชัย ชัยฤทธิเลิศ ผู้ชายขายเพชรที่กำลังตกเป็นจำเลยของสังคมจากการแผ่ขยายธุรกิจไปสร้างบูติคโฮเต็ลที่อัมพวา ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้ว ก็คงจะไม่น่าแปลกใจอะไรนักที่โครงการชูชัยบุรี ศรีอัมพวาของเขาจะถูกต่อต้านอย่างหนักในขณะนี้ เพราะทั้งรสนิยม แนวคิดและทัศนคติส่วนตัวของชูชัยนั้นนิยมความแซ่บเวอร์เลิศหรูอลังการเพื่อสร้างปมเด่นให้กับตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว