ASTVผู้จัดการรายวัน - กรมสรรพากรขอเพิ่มเจ้าหน้าที่กว่า 2 พันคน พร้อมงบประมาณอีก 2 พันล้าน พัฒนาระบบไอที แลกกับการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 4 แสนล้าน เผยนายกฯ ปูมอบนโยบายให้กรมสรรพากรเชื่อมโยงระบบข้อมูลเพื่อนำข้อมูลอื่นมาเป็นประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี
วานนี้ ( 29 ส.ค.) ที่กรมสรรพากร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลรัษฎากรพิพัฒน์ ให้กับภาคเอกชนและบุคคลธรรมดาทั่วไป 120 ราย สำหรับผู้เสียภาษีระดับดีและมีคุณภาพทั่วประเทศ โดยย้ำว่า จะนำภาษีที่ได้ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์และเกิดความโปร่งใสจากการใช้เงินของประชาชน
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพกรอยู่ระหว่างเตรียมการนำระบบบัตรสะสมแต้มมาใช้ร่วมกับการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ประชาชนที่ไปซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมโครงการ จะได้รับบัตรสะสมแต้ม ที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่ร้านค้าเองก็จะมียอดขายเพิ่ม ซึ่งจะจูงใจให้ทุกส่วนเข้ามาอยู่ในระบบการเสียภาษีมากขึ้นด้วย ซึ่งบัตรสะสมแต้มดังกล่าวใช้ได้ดีในหลายประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ซึ่งกรมสรรพากรได้เลือกนำระบบภาษีทั้ง การเชื่อมโยงข้อมูลและบัตรสะสมแต้ม จากทั้งหมด 20 ระบบที่ประสบความสำเร็จของเกาหลีใต้ โดยจะมีการลงนามระหว่างไทย-เกาหลีใต้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ ได้เสนอต่อกระทรวงการคลังเพื่อของบประมาณ 2 พันล้านบาท ในการเพิ่มเจ้าหน้าที่ 2,300 คน เพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยีและสารสนเทศ(ไอที)ในการเชื่อมระบบข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งข้อมูลการจดทะเบียนการค้า ข้อมูลการค้าขายต่างๆของส่วนราชการอื่นๆ อย่างกรมปศุสัตว์ เพื่อติดตามข้อมูลการซื้อขายสินค้าหากพบว่า ใครหลีกเลี่ยงภาษีจะติดตามได้ทุกกรณี เพราะมีการเชื่อมโยงข้อมูล และจะทำให้สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“หากมีการเชื่อมโยงข้อมูลจากในกำกับภาษี จะทำให้ทราบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพราะภาษีซื้อของคนหนึ่ง ย่อมเป็นภาษีขายของอีกคน ซึ่งจะเป็นต้องทำงานร่วมกันระหว่างระบบไอทีกับคน ระบบไอทีเป็นเพียงการชี้ถึงจุดเกิดเหตุว่า มีการซื้อขาย แต่จำเป็นต้องมีคนเข้าไปดูในรายละเอียดของจุดเกิดเหตุนั้น ซึ่งเราได้ประมาณการว่า เมื่อมีอัตรากำลังเพิ่มจะทำให้สรรพากรจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าคุ่มค่ากับการลงทุน คาดว่าจะทดลองเดินระบบได้ภายใน 5-6 เดือนข้างหน้านี้”นายสาธิตกล่าวและว่า นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กรมสรรพากรเชื่อมโยงระบบข้อมูลเพื่อนำข้อมูลอื่นมาเป็นประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี.
วานนี้ ( 29 ส.ค.) ที่กรมสรรพากร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบรางวัลรัษฎากรพิพัฒน์ ให้กับภาคเอกชนและบุคคลธรรมดาทั่วไป 120 ราย สำหรับผู้เสียภาษีระดับดีและมีคุณภาพทั่วประเทศ โดยย้ำว่า จะนำภาษีที่ได้ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์และเกิดความโปร่งใสจากการใช้เงินของประชาชน
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพกรอยู่ระหว่างเตรียมการนำระบบบัตรสะสมแต้มมาใช้ร่วมกับการพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อให้ประชาชนที่ไปซื้อสินค้ากับร้านค้าที่ร่วมโครงการ จะได้รับบัตรสะสมแต้ม ที่นำมาลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่ร้านค้าเองก็จะมียอดขายเพิ่ม ซึ่งจะจูงใจให้ทุกส่วนเข้ามาอยู่ในระบบการเสียภาษีมากขึ้นด้วย ซึ่งบัตรสะสมแต้มดังกล่าวใช้ได้ดีในหลายประเทศ โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ซึ่งกรมสรรพากรได้เลือกนำระบบภาษีทั้ง การเชื่อมโยงข้อมูลและบัตรสะสมแต้ม จากทั้งหมด 20 ระบบที่ประสบความสำเร็จของเกาหลีใต้ โดยจะมีการลงนามระหว่างไทย-เกาหลีใต้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
ทั้งนี้ ได้เสนอต่อกระทรวงการคลังเพื่อของบประมาณ 2 พันล้านบาท ในการเพิ่มเจ้าหน้าที่ 2,300 คน เพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยีและสารสนเทศ(ไอที)ในการเชื่อมระบบข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งข้อมูลการจดทะเบียนการค้า ข้อมูลการค้าขายต่างๆของส่วนราชการอื่นๆ อย่างกรมปศุสัตว์ เพื่อติดตามข้อมูลการซื้อขายสินค้าหากพบว่า ใครหลีกเลี่ยงภาษีจะติดตามได้ทุกกรณี เพราะมีการเชื่อมโยงข้อมูล และจะทำให้สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
“หากมีการเชื่อมโยงข้อมูลจากในกำกับภาษี จะทำให้ทราบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพราะภาษีซื้อของคนหนึ่ง ย่อมเป็นภาษีขายของอีกคน ซึ่งจะเป็นต้องทำงานร่วมกันระหว่างระบบไอทีกับคน ระบบไอทีเป็นเพียงการชี้ถึงจุดเกิดเหตุว่า มีการซื้อขาย แต่จำเป็นต้องมีคนเข้าไปดูในรายละเอียดของจุดเกิดเหตุนั้น ซึ่งเราได้ประมาณการว่า เมื่อมีอัตรากำลังเพิ่มจะทำให้สรรพากรจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าคุ่มค่ากับการลงทุน คาดว่าจะทดลองเดินระบบได้ภายใน 5-6 เดือนข้างหน้านี้”นายสาธิตกล่าวและว่า นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กรมสรรพากรเชื่อมโยงระบบข้อมูลเพื่อนำข้อมูลอื่นมาเป็นประโยชน์ในการจัดเก็บภาษี.
