ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลแขวงพระนครใต้ จำคุก 2 ปี “แม่ศิริโชค โสภา” ส.ส.สงขลา ปชป. จ่ายเช็คเด้งเงินกู้ 15 ล้านกับเจ้าของโรงแรมแลนด์มาร์ค ด้าน “ศิริโชค” ใช้ตำแหน่ง ส.ส.ยื่นประกันตัว
ที่ห้องพิจารณาคดี 15 ศาลแขวงพระนครใต้ ถ.เจริญกรุง วานนี้ (27 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.7082/2553 ที่นายมนตรี สีหนาทกถากุล เจ้าของธุรกิจโรงแรมแลนมาร์ค เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.เสาวรส โสภา อายุ 74 ปี มารดาของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
โดยฟ้องโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2553 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 15 ล้านบาท โดยจะชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตกลงผ่อนชำระเงินต้นให้งวดละ 1.5 ล้านบาทรวม 10 งวด โดยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสวนจตุจักร เช็คเลขที่ 0651426 - 0651435 รวม 10 ฉบับๆ ละ 1.5 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยจะชำระทุกวันที่ 15 ของเดือน ซึ่งเริ่มชำระดอกเบี้ยงวดแรก 15 ต.ค. 2553 ขณะที่ทำสัญญากู้ยืม จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว และถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2550 ตามหลักฐานของกรมบังคับคดี ตามกฎหมายแล้วจำเลยทราบดีว่าจำเลยไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญาใดๆ รวมทั้งสัญญากู้ยืมเงิน แต่จำเลยยังได้หลอกลวงและปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกแก่โจทก์ มีเจตนาเพื่อให้โจทก์ส่งมอบเงิน 15 ล้านบาท โดยทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยสามารถกระทำการใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของจำเลยได้ รวมทั้งสามารถทำนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์ได้ หากโจทก์ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์จะไม่ทำสัญญาให้จำเลยกู้ยืมเงิน ละส่งมอบเงินให้จำเลย การกระทำดังกล่าวของจำเลยถือเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ โจทก์ทราบการกระทำผิดของจำเลยเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2553
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า โจทก์เบิกความเป็นพยานว่าประกอบกิจการธุรกิจโรงแรม รู้จักจำเลยมานาน 20 ปี และเคยให้กู้ยืมเงินหลายครั้ง ซึ่งจำเลยสามารถชำระหนี้ได้ ต่อมาเมื่อต้นเดือน ก.ย. 53 จำเลยติดต่อขอกู้ยืมเงิน 20 ล้านบาทเพื่อนำไปหมุนเวียนในธุรกิจของจำเลย โดยโจทก์รวบรวมเงินได้ 15 ล้านบาทจึงตกลงทำสัญญากู้ยืมเงินและกำหนดผ่อนชำระตามรายละเอียดในคำฟ้อง ต่อมาเมื่อเช็ค 3 ฉบับของจำเลยเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ได้นำไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่าย แจ้งว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ซึ่งขณะทำสัญญากู้ยืมเงินนั้นจำเลยทราบอยู่แล้วว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยจึงมีเจตนาปกปิดความจริงทำให้โจทก์หลงเชื่อทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว
ศาลเห็นว่าโจทก์เบิกความข้อเท็จจริงดังกล่าวได้สอดคล้องสมเหตุสมผลไม่มีข้อพิรุธ เชื่อว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจริง คำเบิกความของโจทก์ไม่มีเหตุกลั่นแกล้งให้จำเลยได้รับผิด อีกทั้งโจทก์ยังมีพนักงานธนาคารทหารไทย สาขาแลนด์มาร์ค ที่โจทก์เป็นเจ้าของบัญชี เบิกความสนับสนุนเรื่องที่โจทก์สั่งจ่ายเช็คถอนเงินสด 15 ล้านบาทไป และแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบตามระเบียบแล้ว รวมทั้งลายมือชื่อในเอกสารสัญญากู้ยืมเงินและเช็ค จากการตรวจพิสูจน์พบว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยทั้งหมด
ส่วนที่พยานจำเลยอ้างว่า ในวันทำสัญญากู้ยืมเงินไม่เห็นจำเลยได้รับเงินจำนวน 15 ล้านบาทแต่อย่างใดนั้น ต่างเป็นพยานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงเรื่องการกู้ยืมเงินของจำเลยแต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่อาจหักล้างหลักฐานของโจทก์ได้ หากจำเลยแจ้งเรื่องถูกพิทักษ์เด็ดขาดให้โจทก์ทราบเชื่อว่าโจทก์ย่อมจะไม่ยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินอย่างแน่นอน เพราะการทำนิติกรรมดังกล่าวไม่อาจมีผลบังคับชำระหนี้จากจำเลยได้
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ขณะที่ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้ จำเลยมีเจตนาปกปิดข้อความจริงดังกล่าวทำให้โจทก์หลงเชื่อตกลงทำสัญญา และให้เงินกู้แก่จำเลย ทั้งต่อมาจำเลยไม่ได้ชำระเงินคืนโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ลงโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
ต่อมาภายหลังนายศิริโชค ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ บุตรชายของ น.ส.เสาวรส ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.เป็นหลักทรัพย์ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสู้คดีชั้นอุทธรณ์ ศาลพิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท
ที่ห้องพิจารณาคดี 15 ศาลแขวงพระนครใต้ ถ.เจริญกรุง วานนี้ (27 ส.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.7082/2553 ที่นายมนตรี สีหนาทกถากุล เจ้าของธุรกิจโรงแรมแลนมาร์ค เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.เสาวรส โสภา อายุ 74 ปี มารดาของนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
โดยฟ้องโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2553 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 15 ล้านบาท โดยจะชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ตกลงผ่อนชำระเงินต้นให้งวดละ 1.5 ล้านบาทรวม 10 งวด โดยสั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาสวนจตุจักร เช็คเลขที่ 0651426 - 0651435 รวม 10 ฉบับๆ ละ 1.5 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยจะชำระทุกวันที่ 15 ของเดือน ซึ่งเริ่มชำระดอกเบี้ยงวดแรก 15 ต.ค. 2553 ขณะที่ทำสัญญากู้ยืม จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว และถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค. 2550 ตามหลักฐานของกรมบังคับคดี ตามกฎหมายแล้วจำเลยทราบดีว่าจำเลยไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญาใดๆ รวมทั้งสัญญากู้ยืมเงิน แต่จำเลยยังได้หลอกลวงและปกปิดข้อความจริงที่ควรบอกแก่โจทก์ มีเจตนาเพื่อให้โจทก์ส่งมอบเงิน 15 ล้านบาท โดยทำให้โจทก์หลงเชื่อว่าจำเลยสามารถกระทำการใดๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของจำเลยได้ รวมทั้งสามารถทำนิติกรรมสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์ได้ หากโจทก์ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์จะไม่ทำสัญญาให้จำเลยกู้ยืมเงิน ละส่งมอบเงินให้จำเลย การกระทำดังกล่าวของจำเลยถือเป็นการกระทำผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ โจทก์ทราบการกระทำผิดของจำเลยเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2553
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยนำสืบหักล้างกันแล้วเห็นว่า โจทก์เบิกความเป็นพยานว่าประกอบกิจการธุรกิจโรงแรม รู้จักจำเลยมานาน 20 ปี และเคยให้กู้ยืมเงินหลายครั้ง ซึ่งจำเลยสามารถชำระหนี้ได้ ต่อมาเมื่อต้นเดือน ก.ย. 53 จำเลยติดต่อขอกู้ยืมเงิน 20 ล้านบาทเพื่อนำไปหมุนเวียนในธุรกิจของจำเลย โดยโจทก์รวบรวมเงินได้ 15 ล้านบาทจึงตกลงทำสัญญากู้ยืมเงินและกำหนดผ่อนชำระตามรายละเอียดในคำฟ้อง ต่อมาเมื่อเช็ค 3 ฉบับของจำเลยเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน โจทก์ได้นำไปขึ้นเงินแต่ธนาคารปฏิเสธการจ่าย แจ้งว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ซึ่งขณะทำสัญญากู้ยืมเงินนั้นจำเลยทราบอยู่แล้วว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยจึงมีเจตนาปกปิดความจริงทำให้โจทก์หลงเชื่อทำสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว
ศาลเห็นว่าโจทก์เบิกความข้อเท็จจริงดังกล่าวได้สอดคล้องสมเหตุสมผลไม่มีข้อพิรุธ เชื่อว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจริง คำเบิกความของโจทก์ไม่มีเหตุกลั่นแกล้งให้จำเลยได้รับผิด อีกทั้งโจทก์ยังมีพนักงานธนาคารทหารไทย สาขาแลนด์มาร์ค ที่โจทก์เป็นเจ้าของบัญชี เบิกความสนับสนุนเรื่องที่โจทก์สั่งจ่ายเช็คถอนเงินสด 15 ล้านบาทไป และแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบตามระเบียบแล้ว รวมทั้งลายมือชื่อในเอกสารสัญญากู้ยืมเงินและเช็ค จากการตรวจพิสูจน์พบว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยทั้งหมด
ส่วนที่พยานจำเลยอ้างว่า ในวันทำสัญญากู้ยืมเงินไม่เห็นจำเลยได้รับเงินจำนวน 15 ล้านบาทแต่อย่างใดนั้น ต่างเป็นพยานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงเรื่องการกู้ยืมเงินของจำเลยแต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่อาจหักล้างหลักฐานของโจทก์ได้ หากจำเลยแจ้งเรื่องถูกพิทักษ์เด็ดขาดให้โจทก์ทราบเชื่อว่าโจทก์ย่อมจะไม่ยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินอย่างแน่นอน เพราะการทำนิติกรรมดังกล่าวไม่อาจมีผลบังคับชำระหนี้จากจำเลยได้
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ขณะที่ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าไม่สามารถทำนิติกรรมใดๆ ได้ จำเลยมีเจตนาปกปิดข้อความจริงดังกล่าวทำให้โจทก์หลงเชื่อตกลงทำสัญญา และให้เงินกู้แก่จำเลย ทั้งต่อมาจำเลยไม่ได้ชำระเงินคืนโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง ลงโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอการลงโทษ
ต่อมาภายหลังนายศิริโชค ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ บุตรชายของ น.ส.เสาวรส ได้ใช้ตำแหน่ง ส.ส.เป็นหลักทรัพย์ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างสู้คดีชั้นอุทธรณ์ ศาลพิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 1 ล้านบาท